เมรีเดินหาสองหนุ่มต่างวัยจนพบ อีธานนั่งบนเก้าอี้เตี้ยๆ มีบุตรชายของเธอยืนตรงหน้า เขากำลังเล่าเรื่องในนิทานภาพ หน้าตาขึงขังให้ชายหนุ่มฟัง มีคำถามย้อนกลับมาบางคำ และอันนาก็ตอบได้ดีทีเดียว เมรีมองเพลินจนเมื่ออีธานหันมาสบตา เธอจึงหลบไม่ทัน!! หญิงสาวแสร้งกระแอม “อะแห้ม!!” อันนาผินหน้ามามองมารดา เมื่อเขาจำเสียงของท่านได้
“หม่าม๊าคร๊าบ...อันอันเล่านิทานให้ ‘ลุง’ ฟัง อันอันเก่งมั้ยคร๊าฟ”
เมรียิ้มกว้าง “เก่งค่ะ อันอันจะเอาหนังสือเล่มนั้นมั้ยล่ะหม่าม๊าจะซื้อให้” หญิงสาวเอ่ยถามบุตรชาย
อันนายิ้มกว้าง... เขาตอบเสียงใส “ไม่ต้องคร๊าฟ ลุงซื้อให้อันอันแล้ว” นิ้วมือป้อมๆ ชี้ไปยังถุงใบใหญ่ที่วางอยู่บนพื้น เมรีแอบเบ้ปาก เธอสะบัดหน้าเดินไปยังเคาน์เตอร์จ่ายสตางค์ เพื่อชำระสตางค์ในส่วนของตัวเองแต่...
“ไม่ต้องค่ะ คุณคนนั้นให้คิดรวมกับของเขาค่ะ”
พนักงานสาวท่าทางใจดีรีบโบกมือปฏิเสธ ตอนที่เมรีหยิบสตางค์ส่งให้
หญิงสาวมองตามมือของเธอไป อีธานนั่งตรงนั้น เขากำลังส่งยิ้มให้เธอ
“หึ!!”
“เขาชำระด้วยบัตรเครดิตเหรอคะ...” เมรียิ้มมุมปาก...เธอถามต่อ
“ค่ะ” พนักงานสาวตอบ เธอยิ้มหวานหยดทอดสายตามองไปยังอีธานเช่นกัน
“งั้น ถ้าดิฉันจะซื้อเพิ่ม...เขาก็จะเป็นคนจ่ายใช่มั้ยคะ?” เมรีถามต่อ...
พนักงานสาวคนเดิมพยักหน้ารับ แบบงงๆ “ค่ะ”
“ดีค่ะ อย่าเพิ่งคิดสตางค์นะคะ ขอดิฉันหยิบหนังสือเพิ่มสักหน่อย พอดีนึกได้ว่าอยากได้เรื่องอื่นด้วย” เมรีกล่าวเสียงเรียบ เธอเดินตรงไปยังชั้นหนังสือ รวบหนังสือที่ตนเองอ่านไว้คร่าวๆ มากอดไว้แนบอก เพราะถึงจะชอบ แต่งบเธอมีจำกัด แต่เมื่อมีเศรษฐีใจดีอยากเปย์ ก็จะจัดให้...
เมรีย้อนกลับมาอีกครั้ง เธอหอบหนังสือมาอีกตั้งใหญ่ๆ มีรอยยิ้มเล็กๆ แต้มมุมปาก เมรีรู้ดี...สตางค์แค่นี้...ขนหน้าแข้งของเจ้านายเธอไม่ร่วงหรอก แต่มันเป็นความสะใจนิดๆ ที่ได้เอาคืนเขา
สามถุง...หลังพนักงานห่อปกคิดสตางค์ บรรจุหนังสือทั้งหมดลงในถุงใบใหญ่ และส่งให้เมรี
เธอกำลังเอื้อมมือไปรับ คิดในใจเซ็งๆ ตั้งใจแกล้งเจ้านายหนุ่มแท้ๆ จริงจังมากไป...จนลืมนึกถึงน้ำหนักของหนังสือทั้งหมด หากต้องแบกไว้ ในขณะที่อันนายังสนุกกับการเดินเที่ยว มือเธอคงล้าแย่!!
มือสีคร้ามแดดเอื้อมจับถุง เมรีเหลือบมอง เขาเป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่ใส่สูทสีดำ หน้านิ่งสนิท เขาค้อมศีรษะลงต่ำ
“ผมถือให้เองครับ” เสียงเรียบๆ กล่าวบอกเธอ เขายกถุงหนังสือสามถุง เดินเลยหยิบถุงบนพื้นข้างตัวของอีธานด้วย เมรีมองตาม เขาเดินไหล่ตั้งหลังตรง และมีคนลักษณะเดียวกันกับผู้ชายคนนี้ ยืนรออยู่ด้านนอก เธอนับจำนวนคนก่อนจะครางเบาๆ ในลำคอ...มันเหมือนเจ้าพ่อ หรือมาเฟีย ที่มีคนติดตามเป็นพรวน เธอลืมไปได้ไงว่าอีธานคือหัวหอกของ จางไท่กรุ๊ป
ไม่แปลกหรอกที่เขาจะต้องมีคนคุ้มกัน...
“ไม่ยักรู้ว่าคุณมีการ์ดตามเป็นพรวน” เมรีเปรย เธอฉวยมือบุตรชาย และจูงให้อันนาเดินออกจากร้านหนังสือ
“หม่าม๊า...ได้หนังสือเล่มโปรดครบมั้ยครับ” อันนาเงยหน้าขึ้นมองมารดา เขาถามเมรี น้ำเสียงที่เธอฟังแล้วอยากบิดให้เนื้อขาด ไม่รู้ว่าเขาไปเอาความเจ้าเล่ห์นี้มาจากใคร?
“อันอัน!!”
“คร๊าฟ” เด็กชายวัยสี่ปีตอบเสียงสูงยิ้มหน้าเป็น “หม่าม๊า ครั้งหน้า เหมาทั้งร้านเลยดีมั้ยคร๊าฟ” อันนายกมือป้องปาก เขาพูดเสียงเหมือนกระซิบ
เมรีเบิกตากว้าง ตกใจกับความคิดของบุตรชาย เขารู้ทันความคิดของเธอ ทั้งที่เขาเพิ่งจะสี่ปีเท่านั้นเอง
“ลุ๊งงงงง...อันอันอยากไปตรงนู้น” อันนาผละไปจากเธอ เขาวิ่งตื๋อไปหาอีธานที่เดินตามมาทางด้านหลัง
สองหนุ่มต่างวัยเดินจูงมือกัน มีคุณแม่ยังสาวเดินลากขาตามแบบเซ็งๆ เมื่อไม่อยากขัดใจบุตรชาย ไหนๆ วันนี้เขาก็สนุกสุดเหวี่ยงเธอจะหยวนๆ ให้หนึ่งวัน แต่หลังจากนั้นเธอจะต้องกำราบให้อันนาอยู่ห่างจากอีธานให้ไกล...
“พ่อลูกคู่นั้น น่ารักเนาะ...เสียดายจัง” เป็นเพราะเธอทิ้งช่วง เดินห่างสองหนุ่มต่างวัยนั่นพอสมควร เมรีจึงได้ยินสาวๆ หลายคนเปรยถึงคนทั้งคู่
“ไม่เห็นมีแม่...พ่อหม้ายหรือเปล่า?”
“นั่นสิ...” รอยวิบวับในหน่วยตาตอนที่มองไปยังอีธาน เมรียิ้มแค่นๆ ชายหนุ่มยังคงเสน่ห์แรง แม้จะมีคนเข้าใจผิดว่าเขามีภรรยาแล้ว แต่ก็ยังมีสาวๆ หลายคนแอบหวังเล็กๆ
เมรีมองอีธานสลับกับอันนา เธอผ่อนลมหายใจช้าๆ รู้สึกตื้อๆ ในอก ไม่มีใครรู้ความลับที่เธอปกปิดไว้ แต่สักวัน...มันคงเปิดเผยขึ้นมาเอง เมื่อสองคนนี้เหมือนเคมีต้องกัน เป็นขั้วบวก ขั้วลบที่วิ่งใส่กัน แยกออกจากกันไม่ได้...
แต่...เธอจะไม่มีวันให้ความลับเปิดเผย เพราะมันจะกระทบใครหลายคน โดยเฉพาะ...อันนา
เธอสร้างภาพ ใส่ความจำแสนดีเกี่ยวกับบิดาของเขาไว้ หากอันนารู้ว่าสิ่งที่เธอบอกกล่าวไม่ใช่ความจริง เมรีไม่อยากคิดเลยว่าอันนาจะเสียใจเพียงใด...
“หม่าม๊า...เหนื่อยมั้ยคร๊าฟ” เด็กชายตัวอ้วนป้อมวิ่งย้อนกลับมาหาเธอ เขาส่งเสียงเรียกดังๆ จนสาวๆ ที่แอบนินทาสะดุ้ง หล่อนหันมามองเมรี พลางส่งยิ้มแหยๆ ให้ เมรีส่ายหน้า เธอเกือบจะเอ่ยปฏิเสธความเข้าใจผิดเหล่านั้น แต่... อีธานเดินมาถึงก่อน เมรีจึงกลืนคำพูดปฏิเสธไว้ เพราะหากชายหนุ่มรู้เข้า เธอเกรงว่าตนเองจะเสียหน้ามากว่าการปฏิเสธสถานะระหว่างเขากับเธอ
“หม่าม๊าว่าเรากลับบ้านกันดีมั้ยจ้ะ คุณตา คุณยายอาจจะรออยู่”
เมรีเห็นว่าเธอปล่อยให้สองหนุ่มสนุกมามากพอแล้ว จึงเอ่ยชักชวนอันนากลับที่พัก คืนนี้บุตรชายของเธอคงหลับสนิท เพราะออกแรงวิ่งจนเพลีย
“เอ่อ...กลับก็ได้ครับ...” อันนามีท่าทีลังเลเล็กน้อย แต่เขาก็พยักหน้ารับโดยดี
“ลุง อันอันกลับบ้านก่อนนะ ไว้ค่อยเจอกันครับ” มือป้อมๆ โบกไหวไปมา เขาพูดเสียงอ่อยๆ เพราะรู้สึกว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมันเดินเร็วมาก
“เดี๋ยวซิ!! ทำไมรีบจังล่ะ นี่เพิ่งจะบ่ายกว่าๆ เอง” อีธานท้วง เขารู้สึกไม่อยากห่างจากเด็กชายตรงหน้าเลย
“หม๊าเหนื่อยแล้วครับ อันอันอยากให้หม่าม๊าพักด้วย” อันนาเป็นเด็กฉลาด เขาช่างสังเกตและจับความรู้สึกของคนที่ตนเองรักได้
“ว้า...แย่จัง เอางั้นก็ได้ เดี๋ยวฉันไปส่ง” อีธานยอมตัดใจ เขาชำเลืองมองเมรี มองเห็นตวามเหนื่อยล้าบนหน้านั่น ชายหนุ่มจึงยอมถอยให้...
“ขอบคุณค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันกลับเองได้ค่ะ” เมรีรีบปฏิเสธแบบเป็นทางการ เธอเหนื่อยใจ เหนื่อยกาย อยากจะพักจริงๆ สักที เพราะเธอคงต้องตั้งรับอีธานอีกนาน เมื่อเขาออกอาการติดใจบุตรชายของเธอเสียแล้ว
“เมรี อย่าพยายามปฏิเสธฉัน เธอก็น่าจะรู้สันดานฉันดีนะ” ชายหนุ่มกล่าวเสียงแข็ง เขาผายมือให้เมรีเดินนำ หากหล่อนต้องการจะกลับ ก็ย่อมได้ แต่เขาจะเป็นคนไปส่งหล่อนเอง...
หญิงสาวฮึดฮัดพอสมควร...แต่ก็ยอมเดินนำดีๆ เพราะป่วยการที่จะขัดใจคนดื้อ...เมื่อผู้ชายอย่างอีธาน เขาไม่ยอมลงให้ใครง่ายๆ
ภายในรถยนต์ที่เงียบกริบ อันนานอนหลับคอพับกับอกของมารดา หลังรถยนต์เคลื่อนที่ออกจากแหล่งได้ไม่นาน อากาศเย็นๆ บวกกับความเหนื่อยล้าที่สะสมไว้ เด็กชายจึงหลับสนิท...
“หยาง ปิดกระจกหลังด้วย”
อีธานสั่ง เขาต้องการความเป็นส่วนตัว จึงสั่งให้สารถีคนขับปิดกั้นในส่วนของตนเอง
เมรีขยับตัวช้าๆ เธอคอยชำเลืองมองชายหนุ่มบ่อยๆ หลังกระจกกั้นถูกเคลื่อนจนปิดสนิท กั้นส่วนที่เธอนั่งกับส่วนคนขับรถยนต์ แยกออกจากกัน
“ทำไมเธอถึง...พยายามให้ไอ้หนูนี่อยู่ห่างฉัน?” อีธานถาม เมรีสะดุ้ง เธอหลุบเปลือกตาลงปิดบังแววตาตื่นตระหนก