พริมาเดินออกมาจากห้องการเงินของผู้ป่วยใน มุ่งหน้าไปยังห้องพักที่กิ่งดาวนอนรักษาตัวอยู่ ในห้องมีแม่นั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง ส่วนพ่อออกไปทำงานรับจ้างไม่ได้แวะมา
“เรียบร้อยแล้วนะจ๊ะแม่”
มารดายิ้มโล่งอกอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะมองหล่อนด้วยความวิตกกังวล
“พิมไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะล่ะลูก”
“เอ่อ...”
หญิงสาวอึกอัก ก่อนจะรีบตอบ
“เจ้านายของป้าเจียมน่ะจ้ะแม่ ให้พิมเบิกเงินล่วงหน้ามาก่อน”
“ไม่น่าเชื่อนะว่าจะยังมีคนมีน้ำใจแบบนี้อยู่อีก”
หล่อนพยายามยิ้ม แต่ก็ทำได้แค่ยิ้มเศร้าหมองเท่านั้น ก่อนจะเสหลบตามารดา พร้อมกับเปลี่ยนเรื่องคุย
“วันนี้กิ่งเป็นยังไงบ้างจ๊ะแม่”
“ยังไม่ร้องปวดหัวเลย นี่ก็เพิ่งจะหลับไป ว่าแต่คุณหมอจะผ่าตัดให้น้องวันไหนเหรอพิม”
พริมามองร่างหลับใหลของน้องสาวด้วยความสงสาร ก่อนจะหันมาตอบมารดา
“น่าจะวันพรุ่งนี้จ้ะแม่”
“ยิ่งผ่าเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
“จ้ะแม่”
น้ำผึ้งมองร่างของลูกสาวคนโตที่เดินไปทรุดนั่งบนโซฟาอย่างเวทนาสงสาร
“เหนื่อยมากไหมพิม”
“ไม่... ไม่เหนื่อยหรอกจ้ะแม่”
หล่อนเห็นน้ำตาในดวงตาของมารดา และมันก็ทำให้หล่อนเจ็บปวด
“พิมยินดีทำทุกอย่างเพื่อน้องและเพื่อครอบครัวของเราค่ะ แม่ไม่ต้องคิดมากนะ”
น้ำตาของแม่ไหลออกมาจากดวงตา “แม่อดคิดไม่ได้ พิมควรจะได้เรียนหนังสือ ไม่ใช่ต้องออกมาทำงานหาเลี้ยงแม่และน้องๆ แบบนี้”
พริมารีบเดินมาคุกเข่าตรงหน้ามารดา หล่อนกุมมือของท่านเอาไว้แน่น
“พิมไม่เหนื่อย พิมมีความสุขจ้ะแม่”
น้ำผึ้งยกมือขึ้นลูบศีรษะของลูกสาว
“แม่ขอให้ลูกสาวของแม่พบเจอแต่คนดีๆ นะลูก ขอให้ใครเห็นก็เมตตา”
หล่อนยิ้มให้แม่ทั้งน้ำตา ก่อนจะซบหน้าลงกับตักของท่านและร้องไห้เงียบๆ
หล่อนรักแม่ รักพ่อ และรักทุกคนในครอบครัว ดังนั้นไม่ว่าจะต้องเสียสละอะไร และมากมายแค่ไหน หล่อนก็ยินดีจะทำ
เช้าวันต่อมา พริมาเดินทางมาที่ห้างสรรพสินค้าที่ตัวเองทำงานอยู่ และเข้าไปพบฝ่ายบุคคลเพื่อยื่นใบลาออกจากงาน
“เซ็นต์ตรงนี้ด้วยค่ะ คุณพริมา” เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลยื่นเอกสารอีกฉบับให้ หล่อนอ่านและเซ็นชื่อลงไป ก่อนจะยื่นเอกสารคืนให้คู่สนทนาตรงหน้า
“เรียบร้อยแล้วค่ะ ส่วนเรื่องเงินเดือนงวดสุดท้ายจะโอนเข้าบัญชีเดิม”
“ขอบคุณค่ะ”
หล่อนยกมือไหว้เจ้าหน้าที่ตรงหน้า ก่อนจะลุกขึ้นยืน กำลังจะเดินออกจากห้องทำงานของฝ่ายทรัพยากรบุคคล แต่ร่างสูงใหญ่ของกวินเปิดประตูเข้ามาเสียก่อน พร้อมกับเสียงกระด้างที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดของเขาที่ดังขึ้น
“ป้ายราคาไม่ตรงกับราคาของสินค้าในระบบ พวกคุณทำงานกันยังไง”
“เอ่อ... พนักงานลาออกไปหลายคนเลยค่ะ ทางเรากำลังเปิดรับเปิด” หัวหน้าฝ่ายบุคคลเอ่ยขึ้นเสียงสุภาพระคนหวาดหวั่น
“มันหน้าที่ของพวกคุณโดยตรงไม่ใช่หรือ คุณกฤษณา”
“เอ่อ... ดิฉันกำลังคัดคนเข้ามาแทนอยู่ค่ะ ช่วงนี้พนักงานของห้างเราลาออกถี่มาก นั่นก็อีกคน...”
หัวหน้าฝ่ายบุคคลมองมาที่หล่อน ที่ยังยืนจ้องหน้ากวินนิ่งราวกับคนบ้าไร้สติ
“เอ่อ...” พริมาอึกอัก และจะรีบเดินหนี แต่สายตาดุกระด้างของกวินตวัดมาจ้องมองเสียก่อน
“เธอจะลาออกหรือ”
เขาจำหล่อนได้ หล่อนเป็นพนักงานขายที่แผนกรองเท้า
“เอ่อ คือว่า...”
กวินเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าหล่อน “ไหนลองบอกเหตุผลมาสิว่าทำไมถึงลาออก”
เขาคงเห็นหล่อนอึกอัก จึงพูดขึ้นเสียเอง
“เงินเดือนน้อย สวัสดิการแย่ หรือว่าไม่ถูกกับเพื่อนร่วมงาน หรือว่า...”
“ดิฉันได้งานใหม่ค่ะ” ในที่สุดหล่อนก็ค้นหาเสียงจนเจอและเปล่งมันออกมา
ผู้ชายรูปหล่อที่ทำให้หัวใจของหล่อนเต้นแรงได้เสมออย่างกวินจ้องหน้าหล่อนเขม็ง ก่อนจะโน้มศีรษะต่ำลงมา เพื่อให้สายตาของเขาอยู่ในระดับเดียวกันกับหล่อน
“ที่ไหน”
“เอ่อ... มันเป็นเรื่องส่วนตัวน่ะค่ะ”
หล่อนเห็นเขาขบกรามจนเนื้อข้างแก้มกระตุก และก็ไล่หล่อนทันที
“จะไปไหนก็ไป ฉันไม่รั้งเอาไว้อยู่แล้ว”
หล่อนเม้มปากเป็นเส้นตรง โค้งศีรษะให้เขาเป็นเชิงกล่าวลาเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
“น่าจะได้งานอื่นที่เงินดีกว่าค่ะ”
“เหตุผลง่ายๆ แบบนี้ผมคิดได้ครับ” กวินหันไปตอกใส่หน้าหัวหน้าฝ่ายบุคคล ก่อนจะออกคำสั่งอีกครั้ง “ผมต้องการให้ปัญหาขาดแคลนพนักงานจบภายในอาทิตย์นี้ หวังว่าคุณจะไม่มีปัญหาอะไรนะ”
“ไม่มีปัญหาค่ะ พวกเราจะทำเต็มที่ค่ะ”
กวินไม่พูดอะไรออกมาอีก นอกจากหมุนตัวเดินออกไปจากห้องทำงานของฝ่ายบุคคลทันที
เหล่าบรรดาเจ้าหน้าที่ภายในห้องฝ่ายบุคคลต่างถอนใจโล่งอกกันเป็นแถว
“นึกว่าจะถูกไล่ออกเสียแล้ว” พนักงานคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว
“ก็ถ้าไม่อยากถูกไล่ออก ก็รีบๆ ทำหน้าที่ของตัวเองกันให้สมบูรณ์เสียสิ ไม่ใช่มัวแต่นั่งเม้า นั่งนินทาหัวหน้ากันอยู่แบบนี้”
หัวหน้าฝ่ายบุคคลหันไปเอ็ดตะโรลูกน้อง และนั่นก็ทำให้ลูกน้องทั้งหลาย แตกกระเจิงกันไปคนละทิศละทาง
กวินเดินออกมาจากห้องของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล มุ่งหน้ากลับไปยังห้องทำงานของตัวเอง แต่ระหว่างทางเขาก็มองออกไปนอกกระจกใสของห้างสรรพสินค้า
เขาหรี่ตาเล็กน้อยก่อนจะยิ้มเยาะออกมา เมื่อเห็นพริมายืนคุยกับผู้ชายด้วยท่าทางสนิทสนม
“จะรีบมีผัวไปถึงไหน ยังเด็กอยู่เลย”
เขาส่ายหน้าน้อยๆ และไม่สนใจอะไรอีกเลย เดินตรงไปยังห้องทำงาน
“คุณกวินคะ เอ่อ...”
เลขาฯ หน้าห้องวิ่งมาดักหน้าเอาไว้ สีหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ
“มีอะไรหรือ”
“คือว่า...”
“ผมถามว่ามีอะไร”
“มีผู้หญิงมารอคุณกวินในห้องทำงานค่ะ”
เลขาสาวก็เกรงว่าเจ้านายหนุ่มจะไม่พอใจ แต่กลับไม่ใช่อย่างนั้นแม้แต่นิดเดียว
“ผมนัดมาเองแหละ คุณมีอะไรก็ไปทำเถอะ อ้อ แล้วอย่าให้ใครมารบกวนผมล่ะ”
“หมายถึง...”
“ก็หมายความตามที่พูดนั่นแหละ ห้ามรบกวนผม อย่างน้อยๆ ก็หนึ่งชั่วโมงต่อจากนี้”
ร่างสูงใหญ่หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง ประตูถูกกดล็อกเสียงดัง จนเลขาสาวได้ยิน
“นี่อย่าบอกนะว่าคุณกวินจะ...”
“พี่มาเป็นอะไรเหรอ ทำไมทำหน้าตาเหมือนถูกผีหลอกแบบนั้นล่ะ” พนักงานอีกคนซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันเดินผ่านมาและเอ่ยถาม
“ก็คุณกวินเรียกผู้หญิงมาหาน่ะสิ แล้วยังบอกว่าห้ามรบกวนอย่างน้อยๆ ก็หนึ่งชั่วโมง”
คู่สนทนาของอโนมาหัวเราะคิกคัก ก่อนจะกระซิบกระซาบก่อนมา
“พี่มาเพิ่งมาทำงานได้ไม่กี่อาทิตย์เลยไม่รู้น่ะสิ”
“ไม่รู้อะไรเหรอ”
“ก็คุณกวินน่ะ ชอบเรียกผู้หญิงมาพลอดรักในห้องทำงานบ่อยๆ”
“ตายแล้ว...”
“ไม่ตายหรอกพี่มา ฟินาเล่ต่างหาก”
“เพราะแบบนี้ใช่ไหม ถึงมีห้องนอนอยู่ในห้องทำงานด้วย”
คนเป็นเลขาที่เพิ่งเข้ามาทำงานเอ่ยถามคนที่ทำงานมาก่อนหน้า
“ก็ใช่น่ะสิ”
อโนมาทำหน้าตาตื่นและไม่อยากเชื่อ “ไม่คิดเลยว่าคุณกวินจะเจ้าชู้ขนาดนี้”
“มากๆ เลยล่ะค่ะ เห็นว่าคุณแม่ของคุณกวินอยากให้แต่งงาน คุณกวินก็ไม่ยอมแต่งสักที เสือไม่มีวันเลิกกินเนื้อยังไง คุณกวินก็ไม่เลิกเจ้าชู้อย่างนั้นแหละ”
เลขาสาวพยักหน้ารับน้อยๆ ก่อนจะแสดงความคิดเห็นออกมา
“แต่สักวันก็ต้องเจอเนื้อคู่ของตัวเอง”
“ใครจะเป็นผู้หญิงโชคร้ายคนนั้นล่ะคะพี่มา”
อโนมาก็นึกไม่ออกเหมือนกัน หล่อนคุยกับเพื่อนอีกสองสามประโยคก็เดินกลับไปทำงานของตัวเองตามเดิม