หลังจากเกิดสงครามในห้องอาหารในค่ำวันนั้นแล้ว เด็กหญิงบัวรินก็รู้สึกหวาดกลัวเสมอ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับภวินท์ เพราะสายตาที่เขามองมานั้นช่างเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
ป้าวัลลีย์บอกให้หล่อนหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเขา แต่โชคชะตาก็มักจะกลั่นแกล้งให้หล่อนได้เจอกับเขาเสมอ
เช่นตอนนี้...
ขณะที่ร่างเล็กของเด็กหญิงบัวรินกำลังนั่งคุกเข่ากับพื้นดิน มือขาวสะอาดกำลังเก็บดอกจำปีขึ้นมาดม ภวินท์ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า จากนั้นก็ใช้เท้าเหยียบดอกจำปีดอกที่มือเล็กกำลังหยิบแรงๆ จนนิ้วเรียวของบัวรินถูกรองเท้าผ้าใบราคาแพงขยี้ไปด้วย
“แม้แต่ดอกไม้ในบ้านของฉัน เธอก็คิดจะเอาเป็นของตัวเองเหรอ แม่เด็กกาฝาก”
บัวรินดึงมือออกมาจากใต้ฝ่าเท้าของภวินท์และก็ส่ายหน้าไปมา
“บัว... ไม่ได้คิดจะเอาอะไรของคุณไบร์ทเลยค่ะ”
“ไม่ได้คิดจะเอาอะไรของฉัน แต่เธอก็เอาไปหมดทุกอย่างแล้ว อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าเธอกับป้าของเธอคิดจะกอบโกยสมบัติของพ่อฉันน่ะ”
“ไม่ใช่นะคะ”
เด็กหญิงส่ายหน้า ดวงตาแดงระเรื่อเพราะเจียนจะร้องไห้
ภวินท์ยิ้มเยาะ ใช้เท้าขยี้ดอกจำปีอีกดอกที่ตกอยู่บนพื้นใกล้ๆ กัน จากนั้นก็ก้มลงหยิบและเหวี่ยงใส่หน้าของบัวริน
“ถ้าเธอยังไม่ออกไปจากบ้านของฉัน เธอก็จะไม่ต่างจากดอกจำปีดอกนี้หรอก เพราะฉันจะขยี้ให้แหลกไม่เหลือชิ้นดีเลย”
“แกทำอะไรหนูบัวน่ะ เจ้าไบร์ท”
เสียงของเจ้าสัวภวัตดังขึ้นด้านหลัง ทำให้
ภวินท์หน้าถอดสีเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้เกรงกลัวอะไรเลย
“ก็อยากที่คุณพ่อเห็นนั่นแหละครับ”
เจ้าสัวภวัตที่มีวัลลีย์ประคองอยู่รีบเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าของลูกชาย และมองบัวรินด้วยความสงสาร
“นี่แกรังแกหนูบัวอีกแล้วเหรอ”
“ผมไม่ได้ทำอะไร”
“ก็ฉันเห็นอยู่ว่าแกทำ ไอ้ลูกไม่รักดี!”
“เจ้าสัวคะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
วัลลีย์พยายามอ้อนวอน แต่กลับทำให้ภวินท์ยิ่งมองในทางไม่ดี
“เล่นบทเป็นคนดีอีกแล้ว”
“น้าวัลอุตส่าห์ปกป้องแก ทำไมแกจะต้องมองเขาเป็นคนไม่ดีด้วย ไอ้ไบร์ท”
“ก็เพราะเมียใหม่ของพ่อเป็นคนไม่ดียังไงล่ะครับ ผมถึงมองว่าไม่ดี”
ภวินท์เถียงบิดาอย่างไม่ลดละ นั่นทำให้ถูกเจ้าสัวภวัตลืมตัวตบหน้าจนหัน
“เจ้าสัว...”
วัลลีย์มองใบหน้าขาวสะอาดที่กำลังขึ้นรอยนิ้วแดงช้ำที่ซีกแก้มด้วยความตกใจ
เจ้าสัวภวัตเองก็รู้สึกผิดไม่น้อย แต่ก็ยังปากแข็ง
“จำเอาไว้ หนูบัวอยู่ที่นี่ในฐานะคนของฉัน ห้ามแกรังแกอีกเด็ดขาด”
ภวินท์ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก นอกจากรีบจากไปอย่างรวดเร็ว
บัวรินมองตามร่างของภวินท์ที่หายไปด้วยความรู้สึกผิด ซึ่งก็ไม่ต่างจากวัลลีย์เลยแม้แต่น้อย
“บัว... ไม่เป็นไรค่ะเจ้าสัว คุณไบร์ทไม่ได้ทำอะไรบัวเลยค่ะ”
ยิ่งบัวรินพูดแบบนี้ เจ้าสัวภวัตก็ยิ่งเอ็นดูระคนสงสาร เพราะเด็กหญิงเจียมตัวเหลือเกิน
“วัล เธอพาหนูบัวเข้าบ้านเถอะ”
“แล้วเจ้าสัวล่ะคะ”
“ฉันจะนั่งตรงนี้สักพักน่ะ”
คำสั่งของสามีผู้ร่ำรวยคือประกาศศิตที่วัลลีย์ไม่เคยกล้าโต้แย้ง
“ค่ะเจ้าสัว”
วัลลีย์พาบัวรินเดินเข้ามาภายในบ้าน ระหว่างทางก็เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“นิ้วเป็นอะไรมากไหมบัว”
“แค่แดงนิดเดียวค่ะป้าวัล แต่คุณไบร์ทสิ ถูกเจ้าสัวตี”
เด็กหญิงบัวรินอดที่จะรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้
“คุณไบร์ทไม่ชอบป้า ไม่ชอบบัว ดังนั้นบัวต้องคอยหลบคุณไบร์ทดีๆ นะลูก เพราะถ้าเจอหน้ากันก็จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก บัวคงไม่อยากเห็นคุณไบร์ทกับเจ้าสัวทะเลาะกันใช่ไหม”
บัวรินส่ายหน้าไปมา
“ค่ะ บัวไม่อยากเห็นคุณไบร์ทถูกเจ้าสัวตี”
“งั้นก็พยายามเลี่ยงนะลูก”
“ค่ะป้าวัล”
หลายวันต่อมา บัวรินเข้าไปช่วยแม่ครัวทำขนม จึงคิดอยากจะให้ภวินท์ได้กินด้วย เด็กหญิงที่คิดว่าตอนนี้ภวินท์ออกไปนอกบ้าน จึงแอบเข้าไปในห้องของเขา พร้อมกับจานใส่ขนมในมือ
หล่อนวางขนมลงบนโต๊ะเตี้ยใกล้กับโซฟาสีเทาเข้มตัวยาว และกำลังจะออกไป แต่ภวินท์ก็กลับเข้ามาเสียก่อน
บัวรินถึงกับช็อก อ้าปากค้าง หล่อนตัวสั่นเทา และไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือทำอะไรดี
ภวินท์ดึงประตูห้องปิด มองเด็กหญิงที่เขาเกลียดขี้หน้าด้วยสายตาชิงชัง
“เข้ามาทำอะไรในห้องของฉัน แม่เด็กกาฝาก”
“บัว...”
ภวินท์โยนกระเป๋าสะพายหลังทิ้งลงกับโซฟา ดวงตาเลื่อนมาจับจ้องขนมในจานเล็กสีชมพูบานเย็น ก่อนจะหัวเราะเยาะ
“เอาขนมมาให้ฉัน?”
“ค่ะ”
เด็กหญิงบัวรินก้มหน้าตอบอย่างเจียมตัว จึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มหยันร้ายกาจของภวินท์
“เอามาให้ทำไม”
“เอ่อ...”
“บอกมาสิ ตอบมาว่าเอาขนมมาให้ฉันทำไม หรือคิดว่ามันจะทำให้ฉันมองเธอกับป้าของเธอดีขึ้น!”
ต้นแขนเล็กของบัวรินถูกบีบแรงๆ จนเด็กหญิงเจ็บน้ำตาริน
“บัว... อยากขอโทษที่เคยทำให้คุณไบร์ทถูกเจ้าสัวดุน่ะค่ะ”
ในที่สุดก็บอกความจริงออกไป แต่กลับไม่ได้ทำให้เขาใจเย็นลงหรือเอ็นดูขึ้นเลย
เสียงหัวเราะเยาะของภวินท์ทำให้บัวรินถึงกับตัวสั่นเทา ต้นแขนยังคงถูกบีบแน่น
“คิดหรือว่าแค่ขนมเนี่ยจะไถ่โทษได้”
“บัว... ต้องทำยังไงคะ ถึงจะทำให้คุณ
ไบร์ทหายโกรธ”
“คุกเข่าลง”
บัวรินยังคงยืนนิ่ง ดวงตากลมโตฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำตา
“ฉันไม่ได้บังคับนะ เธอจะคุกเข่าหรือไม่ก็ตามใจ”