รัณย์กลับเข้ามายังห้องทำงานของตัวเองภายในร้านจิลเวลรี่หลังจากที่สองพ่อลูกกลับไป เขาเดินมาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ทำงาน เอนหลังพิงไปกับพนัก ดวงตาคู่คมค่อยๆ ปิดลง แล้วภาพของเด็กสาวเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มก็ฉายชัดขึ้นมาในมโนภาพของเขาแทบจะในทันที รอยยิ้มสดใส ดวงตาที่เจิดจ้าเป็นประกาย น้ำเสียงใสๆ ที่เอื้อนเอ่ยออกมา ตอนนี้มันดังก้องอยู่ในโสตประสาทอย่างที่เขาไม่เคยเป็นมาก่อน
"เป็นบ้าอะไรวะ ตามมาหลอกหลอนไม่เลิก" รัณย์ลืมตาขึ้นระบายลมหายใจหนักหน่วงแล้วส่ายศีรษะราวกับจะขับไล่ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในห้วงความคิดออกไปให้หมด จนเขารู้สึกปวดหัวตุบๆ
รัณย์เดินไปหยิบยาแก้ปวดมาใส่ปากตนเองแล้วตามด้วยน้ำ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาโน้มตัวไปข้างหน้า หลุมตาลงต่ำ สองมือประสานกันไว้ ศอกเท้าบนหัวเข่าอย่างคนใช้ความคิด
"ลุงเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวของภิณนะ"
"เจ้าชายขี่ม้าขาว หึ...เพ้อเจ่อสิ้นดี" รัณย์แสยะยิ้มเมื่อนึกถึงคำพูดของเด็กสาวก่อนจะเอนหลังพิงพนักโซฟาเงยหน้าขึ้นแล้วหลับตาลง เอาขาพาดกับโต๊ะกลางไว้และหลับไปในที่สุด
วันต่อมา
"พี่สาวคนสวยขา" น้ำเสียงใสๆ เอ่ยเรียกพนักงานสาวของร้าน จิลเวลรี่
"อ้าวน้องคนเมื่อวานนี่" พนักงานสาวคนที่ภิณเจอเมื่อวานทักทายเมื่อเงยหน้าขึ้นจากงานที่ทำอยู่
"สวัสดีค่ะ ลุงอยู่ไหมคะ หนูมาหาลุง" ภิณบอกความต้องการของตัวเองทันที
"ลุง? คุณอารัณย์ใช่ไหม" พนักงานมีสีหน้างุนงงเล็กน้อย
"ใช่ค่ะ" ภิณยิ้มแป้นพยักหน้าหงึกหงัก
"วันนี้คุณอารัณย์ยังไม่เข้ามานะ"
"เหรอค่ะ แล้วลุงจะมาตอนไหนคะ" คนตัวเล็กหน้าสลดลงทันทีอย่างรู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้เจอคนที่เธออยากพบ
"พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ปกติคุณอารัณย์ก็มาบ้างไม่มาบ้างอยู่แล้ว ส่วนมากคุณอารัณย์จะอยู่ที่สนามแข่งรถมากกว่าที่จะมาที่ร้าน"
"สนามแข่งรถเหรอคะ" ภิณมีสีหน้าผิดหวังเข้าไปอีก
"ใช่จ้ะ ช่วงนี้ใกล้ถึงวันแข่งคุณอารัณย์น่าจะซ้อมอยู่ที่สนาม"
"แล้วสนามแข่งรถของลุงอยู่ที่ไหนเหรอคะ พี่สาวคนสวยพอจะรู้ไหมคะ"
"อยู่แถวๆ ชานเมืองเลยค่ะ มันไกลน้องไปเองไม่ได้หรอก น้องเป็นหลานคุณอารัณย์เหรอ"
"งั้นหนูกลับก่อนนะคะ ขอบคุณพี่สาวคนสวยมากค่ะ" ภิณไม่ตอบคำถามของพนักงานสาว ขอบคุณเสียงแผ่วเบาอย่างคนผิดหวัง สองมือกระชับสายกระเป๋าเป้กลับหลังหัน
"ระวัง!" พนักงานสาวร้องเตือนแต่ก็ไม่ทันการณ์
ปึก!
ขณะที่คนตัวเล็กหันหลังจะเดินออกจากร้านจิวเวลรี่ก็ชนเข้ากับแผงอกแกร่งของใครบางคน มือหนาคว้าเอวเล็กไว้ไม่ให้ล้มหงายหลัง
"ลุง" คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของแผงอกแกร่งที่เผลอเดินชน ก่อนที่ริมฝีปากเรียวเล็กจะฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
"มาทำไม" รัณย์ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา คิ้วหนาขมวดกันเป็นปมตามแบบฉบับของเขา
"มาหาลุงไง"
"เธอเห็นที่นี่เป็นสนามเด็กเล่นหรือไง"
"ภิณไม่ได้มาเล่น ภิณมาหาลุง ภิณมาหาลุงไม่ได้เหรอ" คนตัวเล็กเอียงคอถามอย่างน่ารักอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง
พนักงานสาวสามคนต่างหันมองหน้ากัน ขณะที่เจ้านายหนุ่มยืนประคองกอดเด็กสาววัยใสไว้ แล้วยังต่อล้อต่อเถียงกันอีก ซึ่งเป็นภาพที่พวกเธอไม่เคยเห็นมาก่อน ต่างซุบซิบกันด้วยความแปลกประหลาดใจ แต่เมื่อเจอสายตาคมจ้องเขม็งด้วยความดุดัน แผ่รังสีอำมหิตอย่างที่เคยเป็น พนักงานสาวต่างรู้สึกเย็นสันหลังวาบรีบแยกตัวกันออกไปทำงานของตัวเอง
"น่ารำคาญฉิบ" รัณย์ปล่อยแขนที่ประคองคนตัวเล็กโดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัวจนล้มหงายหลัง
"ว้าย!!! ...เจ็บๆ อย่างกับชนกำแพงหินแหนะ" มือหนากระชากแขนเล็กกลับขึ้นมาจนจมูกโด่งเล็กชนแผงอกของเขาเข้าอย่างแรง มือเล็กยกขึ้นจับจมูกตัวเองด้วยความเจ็บ
"ปล่อยหัวฝาดพื้นตายไปเลยซะดีมั่ง" น้ำเสียงของคนตัวสูงเย็นชาและดุดันมากขึ้น
"ลุงอย่าใจร้ายสิ ภิณเจ็บ เป่าให้ภิณเลยนะ" เสียงเล็กเอ่ยว่าใบหน้างอง้ำ เงยหน้ามองคนตัวสูง ดวงตากลมโตมีน้ำใสเอ่อคลอพร้อมจะไหลออกมาทุกเมื่อ ดวงตาคู่คมมองจมูกโด่งเล็กที่เป็นสีแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแรงปะทะหรือเป็นเพราะผิวขาวๆ ของเธอกันแน่ที่ทำให้ดูบอบบาง กระทบอะไรนิดอะไรหน่อยก็ขึ้นรอยแดง แต่เมื่อเห็นดวงตาของเธอก็ทำให้พอรู้ว่าเธอคงจะเจ็บจริงๆ
"เกิดมาเพื่อเป็นภาระจริงๆ" คนตัวสูงเอ่ยว่าด้วยน้ำเสียงเย็นชาและแข็งกระด้าง ก่อนจะจับมือเล็กดึงเข้าไปในห้องทำงาน แต่ด้วยขาที่สั้นกว่าเขามากทำให้คนตัวเล็กก้าวเท้าไม่ทัน
"โอ๊ย!!" ร่างเล็กล้มขมำลงไปกับพื้นทั้งที่มือใหญ่ยังจับมือของเธอไว้ กลายเป็นว่าเขากำลังลากเธอไปกับพื้น
"เฮ้ย!!" คนตัวสูงหันมาแล้วก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น รีบเข้าประคองเธอลุก
"ฮือๆ ภิณเจ็บ ลุงใจร้าย แกล้งภิณทำไม ฮือๆ" คนตัวเล็กร้องไห้โฮ ต่อว่าคนตัวสูงเสียงสะอื้น
"ใครไปแกล้งเธอ ถ้าจะโทษต้องโทษที่ขาเธอสั้นเอง"
"อุ้มภิณเลย ภิณลุกไม่ไหวแล้ว" เรียวแขนเล็กอ้าออกกว้างรอให้คนตัวสูงมาอุ้ม
"ฉันไม่ใช่พ่อเธอนะ ถึงจะต้องมาอุ้มเธอ"
"ภิณก็ไม่ให้ลุงมาเป็นพ่อภิณหรอก อุ้มภิณเลยนะ" เสียงสะอื้นแฝงไปด้วยการบังคับขู่เข็ญกลายๆ
"เวรกรรมอะไรของกูวะเนี่ย" รัณย์บ่นอุบอิบอย่างหัวเสีย แต่ก็ยอมอุ้มคนตัวเล็กขึ้นมา เรียวแขนเล็กโอบรอบลำคอแกร่ง ส่วนขาขาวเกี่ยวกระหวัดเอวสอบของอีกฝ่ายทันทีเพราะกลัวตก อยู่ในท่าหันหน้าเข้าหากัน
"ลุงจะไปไหน" ภิณถามหลังจากที่รัณย์วางเธอลงบนโซฟา เขาเดินออกไปทันทีโดยไม่ยอมตอบคำถามเธอ
"ไปซื้อยามานี่เอง" ภิณยิ้มแป้นทันทีที่รัณย์เดินกลับเข้ามาพร้อมถุงยา
"มาทำไม" รัณย์ย่อตัวลงไปตรงหน้าคนตัวเล็กเอ่ยถามเสียงเรียบขณะทายาแก้ฟกช้ำที่หัวเข่าให้เธอ
"ภิณก็บอกไปแล้วไงว่ามาหาลุง"
"เฮ้อ!" รัณย์ถอนหายใจออกมาหนักๆ อย่างรู้สึกเหนื่อยหน่ายหัวใจ ก่อนจะป้ายยาแก้ฟกช้ำไปที่จมูกของเธอ
"ถอนหายใจมากระวังแก่เร็วนะ"
"กลับไปได้ละ" คนตัวสูงบอกหลังจากทายาให้เธอเสร็จ
"คุณพ่อยังไม่มารับเลย"
"แล้วมาแถวนี้ทำไมทุกวัน"
"มาเรียนกวดวิชา แต่วันนี้เลิกเร็ว"
"ก็โทรให้พ่อมารับสิ"
"ก็อยากมาหาลุง ลุงไปกินข้าวบ้านภิณไหม คุณย่าภิณทำอาหารอร่อยนะ"
"ไม่ แล้วก็โทรให้พ่อเธอมารับเดี๋ยวนี้" รัณย์ปฏิเสธอย่างไม่ใยดี
"ถ้าลุงจะทำงานลุงก็ทำไปสิ ภิณไม่กวนลุงหรอก"
"โทรให้พ่อเธอมารับเดี๋ยวนี้" น้ำเสียงของเขาพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ บอกกับเธออย่างเน้นย้ำชัดถ้อยชัดคำ
"ภิณจะอยู่กับลุง" เสียงเล็กใสแฝงไปด้วยความจริงจังและหมายมั่นอย่างไม่ยอม ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เปิดกระเป๋าเป้ของตัวเอง หยิบหนังสือออกมา ถอดรองเท้าผ้าใบออกแล้วล้มตัวนอนคว่ำเหยียดยาวไปกับโซฟา กางหนังสือออกอ่าน
"อยากโดนจับทุ่มออกไปหรือไง" คนตัวสูงตวาดเสียงดังสนั่นหู สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
"ลุงอย่าใจร้ายนักสิ ภิณไม่กวนลุงหรอก จะไม่ทำเสียงดังด้วย ภิณจะอ่านหนังสือเงียบๆ อยู่ตรงนี้" เสียงหวานใสออดอ้อน ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ
"ทำไมดื้อแบบนี้วะ อย่าให้ได้ยินเสียงนะ ไม่งั้นโดนจับทุ่มออกไปข้างนอกแน่" นัยน์ตาของคนตัวเล็กเป็นประกายด้วยรอยยิ้มต่างกับคนตัวสูงที่มีสีหน้าดุร้ายสายตาดุดันคมกริบอยากจะจับเธอทุ่มออกไปเสียตอนนี้เลย แต่ก็ทำได้เพียงเดินไปนั่งทำงานที่โต๊ะ