“หนูจ๊ะ...ป้ายหน้าถึงแล้วจ้ะ”
“ขอบคุณนะคะคุณป้า” ฉันหันไปมองหน้าคนที่หลับตาพริ้มอย่างรู้สึกเสียดายที่เวลาแห่งความสุขนี้ของฉันใกล้จะจบสิ้นลงแล้ว
สุดท้ายแล้วฉันก็ปล่อยให้เธอได้ใช้ไหล่ของฉันเป็นที่พักพิง และนั่งรถมากับเธอราว ๆ ครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ไม่คิดเลยว่าเธอจะต้องเหนื่อยนั่งรถไปกลับไกลขนาดนี้ วันนี้เธอก็อยู่กับพวกเราจนดึกดื่น จะเหนื่อยง่วงเพลียมันก็คงไม่ได้แปลกอะไรเท่าไหร่
ดีเสียอีกที่ฉันได้เห็นเธอในมาดมุมที่ทั้งชีวิตฉันก็ไม่รู้จะได้เห็นอีกหรือเปล่า ฉันน่าจะมีโทรศัพท์มือถือนะ...จะได้เก็บภาพของเธอเอาไว้เป็นความทรงจำที่จะอยู่ในหัวใจของฉันตลอดไป
“มายด์ มายด์คะ...ถึงแล้วนะ”
“อือ...” ฉันสะกิดเธอบางเบาราวกับกลัวว่าเธอจะบุบสลาย และฉันก็เผลอยกยิ้มออกมาอย่างเปี่ยมสุขเพราะใบหน้าของเธอในตอนนี้กำลังงัวเงียตามฉบับคนพึ่งตื่นนอน
มายด์ผละศีรษะขึ้นตรงและยกมือขยี้ตาตัวเองเบา ๆ ให้ฉันได้แต่สบมองราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์ ใบหน้าของเจ้าหล่อนดูมึนงงก่อนจะหันมองไปรอบ ๆ ให้ฉันเผลอยิ้มขันออกมาเพราะภาพที่อยู่ตรงหน้าของฉันมันชั่งน่ารักน่าชังเสียจนหัวใจของฉันเต้นไม่เป็นจังหวะ
“บีม?” และเธอก็เอ่ยเรียกฉันราวกับว่าหลงลืมไปแล้วว่าฉันขึ้นรถคันนี้มากับเธอด้วย “ไหนว่าลงพระราม 2 ไง” กลับเป็นฉันที่คลายยิ้มลงและพยายามหันซ้ายแลขวาเพื่อหาตัวช่วย ก่อนในที่สุดฟ้าก็ราวกับเป็นใจเพราะรถดันจอดที่ป้ายรถเมล์พอดิบพอดี
“ถึงแล้วนางหนู”
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะคุณป้า” ก่อนที่ฉันจะลุกขึ้นยืนแต่คนด้านข้างของฉันยังคงทำหน้ามึนงง “รีบลงสิ เดี๋ยวเขาจะปิดประตูแล้วนะ” ซึ่งเธอก็ลุกลี้ลุกลนขึ้นมาก่อนที่เราทั้งสองจะเดินลงไปจากรถด้วยกัน
สถานที่แห่งนี้ฉันไม่เคยมาเลยเพราะมันไกลจากตัวบ้านของฉันมาก ผู้คนก็ยังพลุกพล่านแม้เวลานี้จะดึกแล้วแต่มันก็คงไม่แปลกเพราะฉันเห็นตลาดนัดอยู่ที่มุมไกล ๆ และดูเหมือนว่าคนที่มาจับจ่ายใช้สอยคงจะเยอะน่าดู
“ไหนว่าลงพระราม 2 ไง...” เธอยังคงไม่ยอมแพ้และยกมือกอดอกอย่างรอฟังคำตอบ ฉันเผลอยิ้มขันกับทีท่าน่ารักของเธอจนเผลอหัวเราะออกมาให้คนที่พองลมอยู่ในแก้มยิ่งจ้องฉันตาเขม็ง “บีม!”
“โทษที ๆ ไม่ขำแล้ว” ฉันพยายามปรับอารมณ์ของตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปสบมองที่เธออีกครั้ง “ก็มายด์เล่นพิงไหล่เราตลอดทางแบบนั้น...เราจะกล้าลุกออกไปก่อนได้อย่างไร?”
เจ้าหล่อนใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อทันทีเมื่อยามที่ฉันบอกเหตุผลของฉันแล้ว ก่อนที่เธอจะหันซ้ายแลขวาราวกับพยายามจะหาตัวช่วยแต่แล้วเธอก็ทำทีเป็นฟึดฟัดเพื่อกลบเกลื่อนอาการเขินอายให้ฉันได้แต่มองทั้งรอยยิ้ม
“ก็...ก็สะกิดเรียกกันก็ได้นี่หน่า!” เธอหันหน้าหนีไม่สบมองฉันให้ฉันได้แต่มองด้วยหัวใจที่พองโต และคิดอยู่ภายในใจเป็นพัน ๆ ครั้งว่าทำไมเธอถึงได้น่ารักมากมายถึงเพียงนี้
“ไม่เป็นไร ไหน ๆ เราก็มาถึงนี่แล้ว ให้เราเดินไปส่งมายด์นะ” ฉันเอ่ยขอออกไปทั้งความหวั่นกลัวและเธอก็หันมาสบหน้าของฉันราวกับสงสัย
เราสบสายตากันพอดีและฉันก็ทำได้แต่กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอเพราะกลัวว่าเธอจะข้องใจในการกระทำของฉัน ซึ่งฉันก็ได้แต่หวังให้เธอมองว่าฉันเป็นห่วงเธอในฐานะเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
“แต่มันก็ดึกแล้วนะ เราเป็นห่วงบีมจัง” เธอพูดออกมาอย่างนั้นให้ฉันที่ได้ฟังใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาจนต้องเบนหน้าหนี ฉันยกมือลูบจมูกของตัวเองป้อย ๆ ราวกับคนทำตัวไม่ถูกเพราะกำลังเขินหนัก
“ไม่เป็นไร กลับไปอีก 2 ป้ายก็บ้านเราแล้วนี่หน่า” ฉันยังโกหกต่อไปเพื่อหวังที่จะได้อยู่กับเธอต่ออีกสักหน่อย ซึ่งดูเหมือนว่าเธอเองก็เชื่อฉันหมดใจก่อนจะพยักหน้าตอบรับและเราก็ออกเดินเท้ากันไปในทันที
ฉันมองไปรอบ ๆ ราวกับให้กำลังใจตัวเองในการกล้าขอช่องทางการติดต่อของเธอและก็ได้เห็นว่าที่นี่ก็มีสถาบันเรียนพิเศษรวมไปถึงร้านขายหนังสือการ์ตูนและแผ่นซีดี ฉันที่เคยมีความคิดว่านอกเมืองจะไม่มีสิ่งของพวกนี้แต่แล้วฉันก็คิดผิดเพราะละแวกบ้านของเธอหรูหรามากกว่าละแวกบ้านของฉันด้วยซ้ำไป
“ถึงแล้ว” ฉันที่มองอะไรอยู่เพลิน ๆ พลางหันหน้ากลับมาทางเธอและก็ได้เห็นว่าบ้านที่เธออาศัยอยู่คือคอนโดหรูที่อยู่ตรงหน้าของฉัน
มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอกที่เด็กนักเรียนโรงเรียนเอกชนอย่างเธอจะอยู่ที่หรูหราหมาเห่าขนาดนี้ แต่ฉันก็ยังอึ้งอยู่ดีเพราะฐานะของพวกเราคงต่างกันมากจนฉันเขินเลยทีเดียว
“ว้าว! หรูหรามากเลย ข้างในคงกว้างขวางอยู่สบายเลยใช่ไหม?” ฉันพูดออกมาอย่างชื่นชมก่อนจะได้เห็นว่าอยู่ ๆ เธอก็ทำหน้าเศร้าขึ้นมาให้ฉันหุบยิ้มลงในทันใด
“มันกว้างมาก แต่ก็เหงามากเหมือนกันนะ” ก่อนที่เธอจะกลับมายกยิ้มอย่างฝืดฝืนอีกครั้งให้ฉันที่สบมองราวกับหัวใจสลาย “ฉันอยู่คนเดียวน่ะ มันกว้างและเหงามาก ๆ เลย”
“มายด์...” อยู่ ๆ ก็มีคำถามขึ้นมาอีกครั้งให้ฉันได้แต่สงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามออกไป เธอพยายามทำตัวร่าเริงอีกครั้งและโบกมือลาฉันอีกทีแต่ว่าตอนนี้ฉันรู้ว่าเธอกำลังฝืนที่จะยิ้มมากจนฉันไม่อาจจะกลับไปทั้งอย่างนี้ได้
“ถ้ามายด์เหงา เรา...มาอยู่เล่นเป็นเพื่อนมายด์ได้นะ”
บ้าจริง! นี่แกพูดอะไรของแกน่ะไอบีม!
ฉันที่ตั้งใจว่าจะทำให้เธอยิ้มได้ก่อนที่จะจากกันได้แต่สถบด่าว่าตัวเองในใจเพราะคำที่ฉันพูดออกไปมันไม่ได้เป็นดั่งที่ฉันคาดหวัง มายด์ดูมีสีหน้าตื่นตระหนกที่ฉันพูดออกไปแบบนั้นและตอนนี้ฉันก็พยายามที่จะแก้สถานการณ์ให้มันดีขึ้น
“เอ่อ หมายถึง...”
“จริงเหรอ บีมจะมาอยู่เล่นเป็นเพื่อนมายด์ได้จริง ๆ เหรอ?” แต่แววตาสุกใสของเธอทำเอาสิ่งที่ฉันกำลังจะพูดถูกกลืนหายไปและเกิดเป็นความไม่เข้าใจขึ้นมาทันควัน “บ้านมายด์อยู่ไกล เพื่อน ๆ ไม่ค่อยอยากมาหามายด์กันเท่าไหร่ มายด์ดีใจมากนะที่บีมบอกว่าจะมาเล่นที่บ้านของมายด์” แววตาแห่งความสุขของเธอฉายชัดออกมาอย่างไม่มีปิดบัง
และมันทำให้ฉันที่ตอนแรกพยายามจะแก้ตัวต้องรีบยกยิ้มตอบเธอกลับไปในทันใด...
“อื้ม...ถ้ามายด์อนุญาตเรามาหามายด์บ่อย ๆ ได้นะ” ฉันยกยิ้มออกมาอีกครั้งด้วยหัวใจที่พองโต และเธอก็ยิ้มตอบกลับมาให้ฉันที่หลงรักเธออยู่แล้วยิ่งตกหลุมรักมากยิ่งขึ้นไปอีก
“ตกลง! ไว้วันหยุดบีมมาเที่ยวเล่นที่บ้านของมายด์นะ”
“ได้เลย...” และเจ้าคนตรงหน้าของฉันก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ให้ฉันได้แต่สบมองเธอราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความฝันอีกครั้ง
รอบกายของเธอยังเฉิดฉายส่องสว่างราวกับดวงตะวันอยู่เสมอเมื่อยามที่เธอฉายยิ้มออกมา...ฉันจะรักษารอยยิ้มของเธอให้ประดับอยู่บนใบหน้าสวย ๆ นั้นอย่างสุดความสามารถของตัวฉันเอง
ฉันสัญญา...
“มายด์รีบเข้าบ้านเถอะ มันดึกมากแล้ว” ฉันพูดออกมาอย่างห่วงใยด้วยหัวใจที่ล้นเปี่ยมไปด้วยความสุขก่อนที่เธอจะพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“งั้นเราเข้าบ้านก่อนนะ บีมก็กลับดี ๆ ล่ะ” เธอโบกมือลาและกำลังจะเดินเข้าไปในเขตของคอนโด
“มายด์...” แต่แล้วขาของเธอก็หยุดชะงัก เพราะฉันดันเอ่ยเรียกเธอเอาไว้เสียก่อน เพราะสิ่งที่ฉันตั้งใจและไม่อาจจะพลาดโอกาสไปได้อีกแล้วกำลังรออยู่
“หืม?”
“คือ...” แต่พอฉันจะพูดปากมันกลับหนักอึ้งจนสมองขาวโพลน แต่ถ้าฉันไม่พูด...ฉันก็จะต้องทนคิดถึงเธอจนเป็นบ้าแน่ ๆ “ฉันขอเมล์หรือว่าเบอร์ของเธอเอาไว้ได้ไหม?” ในที่สุดฉันก็กลั้นใจพูดมันออกไป
ฉันหลับตาแน่นเพื่อรอคำตอบของเธอ แต่แล้วความเงียบสงบก็พาให้ฉันลืมตาขึ้นสบและเห็นว่าเธอกำลังยกยิ้มออกมา ทั้งดวงหน้าของเธอก็กำลังขึ้นสีแดงระเรื่อให้หัวใจของฉันสั่นไหว
“ไหน ๆ เราก็จะได้เจอกันอีกตั้งนาน...มายด์ชอบคุยกับบีมต่อหน้ามากกว่าคุยกันผ่านเสียงหรือตัวหนังสือนะ”
ตึกตัก ตึกตัก
นี่เป็นอีกครั้งแล้วที่โลกราวกับหยุดหมุนไปและที่แห่งนี้มีเพียงเราสอง ฉันกำลังตกหลุมรักผู้หญิงตรงหน้าที่ส่องสว่างราวกับดวงตะวันจนไม่อาจจะหาทางขึ้นมาจากหลุมได้แม้ว่าฉันพยายามจะปีนป่ายสักเพียงไหน
เวลาเพียงไม่นานที่ฉันได้รู้จักเธอ ดวงหน้าหวานสวยของเธอที่ฉันตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบกำลังทำให้ความรู้สึกของฉันมันเพิ่มพูนมากขึ้นกว่าเก่าและฉันกำลังมีความสุขกับมันมากราวกับเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงความฝันของผู้หญิงธรรมดา ๆ อย่างฉัน
“ไปได้แล้ว กลับบ้านคนเดียวดึก ๆ อันตรายนะ” เธอพูดออกมาอีกครั้งให้ฉันตื่นขึ้นมาจากภวังค์แห่งความรักของเธอ “มายด์เป็นห่วงนะ...ไว้เจอกันพรุ่งนี้” ก่อนที่ร่างของเธอจะโบกมือลาฉันอีกครั้ง และเธอก็เดินเข้าไปภายในคอนโดจนท้ายสุดแล้วเธอก็ลับสายตาของฉันไป
ฉันได้แต่ยืนนิ่งค้างอย่างคนทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น นี่ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหมที่เธอบอกว่าเป็นห่วงฉัน และอยากคุยกับฉันตัวเป็น ๆ มากกว่าผ่านเสียงหรือตัวหนังสือ...
ฉันยกมือขึ้นมาปิดหน้าของตัวเองเอาไว้และกรีดร้องออกมาเบา ๆ โดยไม่สนสายตาของใครทั้งนั้นที่กำลังเดินผ่านไปมา
และฉันจะกลับไปจดวันนี้ในปฏิทิน...
ฉันจะเขียนว่าวันนี้เป็นวันที่ฉันมีความสุขมากที่สุข มีความสุขกับผู้หญิงที่ฉันพึ่งเจอได้ไม่นานแต่ตกหลุมรักเธอจนไม่อาจจะหาทางขึ้นจากหลุมนี้ได้อีกต่อไป...
และฉันตัดสินใจแล้วว่าสักวันฉันจะบอกความรู้สึกที่ฉันมีต่อเธอ...
ฉันอยากมอบเพลงที่ฉันแต่งให้เธอเร็ว ๆ จังเลยมายด์ ผลสุดท้ายแล้วไม่ว่าเธอจะพูดอะไร ฉันก็ยินดีที่จะรับฟังเธอทั้งนั้น...ยัยหางม้าของฉัน