ให้ตายสิ! ฉันเอาใบหน้ากับประโยคพูดของเธอออกไปจากหัวสมองของฉันไม่ได้เลย!
“ไอบีม! มีสมาธิหน่อย วันนี้ได้ซ้อมแค่ชั่วโมงเดียวนะ!” นี่เป็นรอบที่สามแล้วที่การซ้อมของเราต้องหยุดชะงักลงเพราะฉันคนนี้ที่เป็นตัวปัญหา
หลังจากคำพูดนั้นของมายด์ก็ทำเอาฉันเสียสติจนเริ่มขึ้นท่อนเพลงแบบติดขัดอยู่บ่อยครั้ง แถมยังลืมเนื้อร้องที่ตัวเองเป็นคนเขียนเองกับมืออย่างน่าประหลาดเพราะฉันไม่เคยเสียสมาธิกับเรื่องดนตรีมาก่อน
“ขอโทษ ๆ ขอแก้ตัวอีกทีนะ” ฉันยกมือไหว้เพื่อน ๆ ทั้งสามคนอย่างที่รู้สึกผิดจริง ๆ ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาหันกลับไปจับไมค์อีกครั้ง
พวกเธอทั้งสองยังคงนั่งฟังอย่างตั้งใจไม่ได้หนีหายกลับไปไหน แถมมายด์ของฉันเองก็ทำหน้าแปลก ๆ ออกมาจนฉันต้องรีบสะบัดหัวไล่ความคิดที่ฟุ้งซ่านและกลับมาโฟกัสที่เพลงของฉันต่อเพราะเวลาก็จวนจะหมดลงเต็มที
ก๊อก ๆ
“เด็ก ๆ หมดเวลาแล้ว มีคนรอต่ออยู่นะอย่าช้าล่ะ” ก่อนที่เฮียเจ้าของห้องซ้อมจะเดินจากออกไปให้ฉันยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่เพราะวันนี้ไม่คืบหน้าเลย
“เห้อ!”
“ขอโทษนะ ขอโทษจริง ๆ” ฉันยกมือไหว้อีกครั้งซึ่งคนทั้งสามเองก็ทำหน้าเซ็ง ๆ ออกมาก่อนจะลงมือเก็บข้าวของ
เวลาเพียงไม่นานพวกเราก็ย้ายร่างออกมาจากห้องซ้อมเพราะไม่ได้มีสำมะโนครัวอะไรเยอะแยะมากมาย
“ไปตั้งสติหน่อยนะบีม ครั้งหน้าถ้าเป็นอย่างนี้อีกจะเสียเงินฟรีนะ” เก่งพูดออกมาอย่างเอือม ๆ ก่อนจะโบกมือลาและเดินจากออกไปอีกทางให้ฉันยิ่งรู้สึกผิด
ตอนนี้รอบข้างของฉันอยู่ในความเงียบสงบ พวกเรายืนกันอยู่สี่คนรวมสกาย และหมอนั่นก็มีสีหน้าผิดหวังออกมาอย่างเห็นได้ชัดจนฉันยิ่งรู้สึกผิดจนทำอะไรไม่ถูก
“เป็นเพราะพวกเราหรือเปล่า...บีมเลยไม่มีสมาธิเลย” เจ้าคนตัวเล็กพูดออกมาอย่างรู้สึกผิดหลังจากเงียบอยู่นาน
ฉันที่ไม่อยากให้วันนี้มันจบลงไปทั้งแบบนี้ก็รีบส่ายมือเป็นพัลวันในทันทีเพราะไม่อยากให้เธอเข้าใจผิด อันที่จริงแล้วฉันชอบเสียด้วยซ้ำที่เธอมานั่งดูพวกเราซ้อมในวันนี้ ถ้าเกิดว่าปล่อยให้เธอเข้าใจผิดจนไม่ยอมมาดูซ้อมอีกฉันคงจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตแน่ ๆ เพราะเธอคือพลังบวกที่ดีของฉันเลยนะ...
“ไม่ใช่นะมายด์ พอดีเราง่วงน่ะเลยไม่ค่อยมีสมาธิ” ท่าทีของฉันคงดูลุกลี้ลุกลนมากจนได้สายตาแปลก ๆ จากสกาย ก่อนที่มันจะรีบหันไปบอกกับมายด์เพื่อยืนยันว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริง ๆ
“ช่วงนี้บีมมันเรียนหนักน่ะ วันก่อนก็เบลอหยิบกระเป๋าเรากลับบ้าน อย่าคิดมากเลยนะ” ฉันได้แต่นึกขอบคุณมันจริง ๆ ที่ช่วยพูดออกมาแบบนั้น
เจ้าหล่อนทั้งสองดูมีสีหน้าโอเคขึ้นมากหลังจากที่เราทั้งสองยืนยันแล้วว่ามันไม่เกี่ยวกับพวกเธอที่ทำให้ฉันเสียสมาธิ
“งั้นเราแยกกันตรงนี้เลยดีไหม จะได้ไม่ต้องดึกมากเกินไป” มายด์ของสกายเสนอขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ดีขึ้นมากกว่าก่อนหน้านี้ ก่อนที่มายด์ของฉันเองจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วยพลางยกนาฬิกาข้อมืออันเล็ก ๆ ขึ้นมาดูเวลา
“โอเค งั้นแยกกันเลยนะ สกายไปส่งมายด์ใช่ไหม?” แต่เธอก็ยังไม่วายหันไปถามสกายอย่างเป็นห่วงเพื่อนสาวของตัวเอง
“ครับ ผมไปส่งมายด์ถึงบ้านปลอดภัยอย่างแน่นอน” เจ้าตัวยกยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีผิดกับเมื่อครู่ไปมากจนฉันเริ่มจะหมั่นไส้ แต่อย่างน้อยก็ดีที่เขาไปส่งมายด์ ไม่อย่างนั้นก็คงได้เป็นห่วงกันไปหมดแน่ ๆ
“งั้นเราฝากมายด์ด้วยนะ ส่งให้ถึงบ้านอย่าไปแวะต่อที่ไหนล่ะ” คนตัวเล็กยังส่งสายตาดุ ๆ ไปให้สกายจนฉันกับมายด์เผลอยิ้มขันออกมา
มายด์ของสกายอาจจะมองว่าเป็นเรื่องตลก แต่สำหรับฉันแล้วเธอน่ารักมาก ๆ จนฉันแทบจะคุมตัวเองไม่อยู่เลยล่ะ...
“ถึงบ้านเดี๋ยวโทรหานะ หรือว่าคืนนี้จะออน M” (ตัวย่อ MSN)
“คืนนี้จะออน M เป็นห่วงกลัวเพื่อนไม่ถึงบ้าน” เธอยังพูดต่อออกมาอย่างน่ารักให้ฉันได้แต่มองหน้าเธออยู่อย่างนั้นราวกับคนที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์
ก่อนจะมีสติขึ้นมาอีกครั้งเพราะไอสกายดันตบหลังฉันเสียจนลืมไปแล้วว่าฉันเองก็เป็นผู้หญิง!
“เหม่ออะไร! กลับบ้าน!”
“เออ ๆ กลับดี ๆ ล่ะ” ฉันบอกกับมันก่อนจะหันไปที่คนข้างกายของเขา “มายด์ก็กลับดี ๆ นะ ไว้วันหลังมาดูซ้อมอีกนะ”
“เช่นกันนะบีม ไว้ว่าง ๆ จะไปป่วนอีกนะ” ก่อนที่คนทั้งสองจะเดินแยกออกไปอีกทาง ฉันเดาว่าบ้านของมายด์จะต้องข้ามสะพานลอยไปขึ้นรถอีกฝั่ง เพราะสองคนนั้นเดินเท้ากันไปขึ้นสะพานลอยแล้วเหลือตรงนี้คือฉันกับมายด์เท่านั้น
ฉันหันไปสบมองคนสวยข้าง ๆ ตัวฉันก่อนจะได้เห็นว่าเธอยกยิ้มให้กับฉันอย่างน่ารัก เธอยกมือขึ้นมาหวังจะโบกลาแต่ฉันกลับกลัวการจากลาจนต้องเอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“แล้วมายด์ล่ะกลับไง?” ฉันจิกกระเป๋าที่อยู่ในมือของตัวเองเสียจนน่าจะเป็นรอยเล็บไปหมดแล้ว ได้คุยกันอีกสักหน่อยก่อนแยกจากกันก็ยังดี ฉันจะใช้โอกาสนี้ขอเมล์หรือเบอร์ติดต่อเธอไว้เลย
“อ๋อ เดี๋ยวเราเดินไปขึ้นรถที่ป้ายรถเมล์น่ะ” ฉันยกยิ้มออกมาเพราะเราบังเอิญต้องเดินไปที่เดียวกันพอดี
“งั้นเดินไปด้วยกันนะ เราเองก็ต้องไปขึ้นรถที่นั่นเหมือนกัน” ฉันยกยิ้มให้กับคนสวยตรงหน้า ซึ่งเธอก็ส่งยิ้มกลับมาทั้งยังพยักหน้ารับ
เราเดินเคียงข้างกันด้วยความเงียบสงบ มีเพียงเสียงจอแจของผู้คนรอบข้างพร้อมกับตัวของฉันที่มีคำถามมากมายที่อยู่ในใจแต่ไม่รู้จะเริ่มต้นมันออกไปอย่างไร
ฉันหันมองที่เธออยู่บ่อยครั้งแต่ไม่มีสักครั้งเลยที่เราจะหันมาสบสายตากัน แต่ฉันกลับมองว่ามันเป็นเรื่องที่ดีเพราะฉันก็ไม่อยากให้เธอรู้เหมือนกันว่าฉันคิดกับเธอเช่นไร
บางทีการที่ฉันชอบผู้หญิงอย่างเธออาจจะเป็นเรื่องที่น่าประหลาดสำหรับเธอก็ได้ บางที...เป็นเพื่อนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เสียยังดีกว่า อย่างน้อยฉันก็ได้อยู่เคียงข้างเธอเหมือนกับที่ตอนนี้ฉันกำลังเป็นอยู่
เราหยุดยืนที่หน้าป้ายรถเมล์ด้วยผู้คนรอบข้างที่แออัดเนื่องจากเป็นเวลาที่เหล่าหนุ่มสาวต่างก็ต้องกลับบ้านกันไม่เว้นแม้แต่ผู้ใหญ่ในวัยทำงาน ตอนนี้พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว...แต่แสงจากไฟข้างทางก็ยังไม่อาจจะเปล่งประกายเท่ากับคนด้านข้างของฉันที่กำลังส่องสว่างอยู่ได้เลย
แม้ว่าที่ตรงนี้จะมีผู้คนนับร้อย แต่ในสายตาของฉันก็มองเห็นแต่เธอผู้เดียว...
เธอผู้เปล่งปลั่งราวกับดวงตะวัน...แม้เวลานี้ดวงตะวันจะลาลับขอบฟ้าแต่แสงสว่างจากรอบกายของเธอก็ยังคงส่องสว่างอยู่เสมอ
“บีม ไว้เจอกันนะ รถเมล์สายของเรามาพอดี” ฉันออกจากห้วงภวังค์และหันไปมองรถเมล์ที่กำลังเคลื่อนตัวมาจอดเทียบ ฉันยกยิ้มให้กับเธออย่างนึกเสียดายก่อนจะเผลอนึกขึ้นได้ว่าฉันยังไม่ได้ขอช่องทางการติดต่อของเธอเอาไว้เลย “ไว้เจอกันนะ” เธอโบกมือลาอีกครั้งและเดินขึ้นไปยังรถประจำทางสายของเธอ
ซึ่งรถคันนี้มันมุ่งหน้าออกนอกเมืองและเป็นรถเมล์ที่มีแอร์และราคาสูงผู้คนจึงไม่เลือกที่จะใช้งาน ฉันมองเธอขึ้นไปบนรถอย่างชั่งใจ ก่อนวินาทีสุดท้ายที่ประตูกำลังจะปิดลงฉันก็รีบวิ่งขึ้นตามเธอไปในทันทีอย่างคนไร้ซึ่งสติ
มายด์สบมองมาที่ฉันอย่างสงสัยแต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร ฉันพาตัวเองไปนั่งเคียงข้างกับเธอและยกยิ้มให้กับเธออีกครั้งทั้งยังคิดหาคำพูดบางอย่างเพื่อมาแก้ตัวให้ตัวเองไม่ดูน่าสงสัยมากจนเกินไป
“บ้านเราก็ต้องขึ้นสายนี้น่ะ”
“อ๋อ...”
ซะที่ไหน...จริง ๆ แล้วบ้านของฉันต้องขึ้นอีกสายต่างหาก แยกหน้าฉันจะต้องเลี้ยวขวาแต่รถสายนี้มันเลี้ยวซ้าย และอีกอย่างคือฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอต้องนั่งไปอีกนานขนาดไหน
ฉันหันมองเธอบ่อย ๆ เพราะกำลังตีกับตัวเองว่าจะเอาอย่างไรต่อไป ไหน ๆ ตอนนี้ฉันก็ขึ้นมาแล้วถ้ายังมัวแต่ชักช้าอย่างนี้อีกมีหวังวันนี้ก็ไม่มีวันได้ช่องทางติดต่อของเธอแน่
แต่อีกใจของฉันกำลังบอกว่าเป็นอย่างนี้ไปสิดี...ฉันจะได้หาทางมากับเธอบ่อย ๆ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าฉันจะต้องกลับบ้านดึกขึ้นกว่าเดิมมากจนไม่มีเวลาไปทำการบ้านหรือทำอย่างอื่น
และแล้วก็เกิดเป็นการถกเถียงกับตัวเองจนสีหน้าท่าทางของฉันมันแสดงออกมาอย่างปิดไม่มิด แต่แล้วฉันก็ต้องหยุดทะเลาะกับตัวเองเพราะคนข้าง ๆ ดันหัวเราะขึ้นมาเสียงแผ่วพาให้ฉันต้องหันกลับไปสบมองอย่างสงสัย
“มีอะไรหรือเปล่า?”
“ก็ดูเธอสิ เธอดูเป็นคนโลเลที่กำลังเถียงอะไรบางอย่างกับตัวเองอยู่ คิก!”
จึก!
เป็นอีกครั้งที่ฉันได้ยินเสียงมีดปักลงมากลางอกกับคำว่าโลเลของเธอ ฉันคงดูเป็นตัวตลกในสายตาของเธอมากเลยใช่ไหม แต่จะให้ฉันทำอย่างไรฉันเองก็ไม่คิดไม่ฝันเหมือนกันนี่หน่าว่าวันหนึ่งจะต้องมาตกหลุมรักผู้หญิงอย่างเธอ...
เธอพูดจบก็เอนศีรษะไปพิงกับกระจกให้ฉันหยุดคิดทุกอย่างและมองการกระทำของเธอด้วยหัวใจที่สั่นไหว พลางสมองก็คิดไปเรื่อยเปื่อยว่าถ้าเธอมาสบที่ไหล่ของฉันบ้างมันคงจะดีไม่น้อยเลย
น่าอิจฉาเจ้ากระจกจัง...
“บีมลงป้ายไหนเหรอ?”
“เอ่อ...” เอาแล้วสิ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารถคันนี้มันจะมุ่งหน้าไปทางไหน
ฉันหันมองไปรอบ ๆ ก่อนสายตาจะบังเอิญไปเห็นบนกระจกที่ติดอยู่ด้านนอกพอดิบพอดี ฉันหวังว่ามันคงจะเป็นป้ายที่เลยจากบ้านของเธอไปอีกนะ...
“พระราม 2 เราลงที่พระราม 2 น่ะ”
“ว้า...ลงก่อนตั้งสองป้ายแหน่ะ” เธอพูดออกมาด้วยความง่วงซึม ก่อนที่เธอจะค่อย ๆ หลับตาลงและไม่นานเธอก็ผล็อยหลับไปจนฉันได้แต่ภาวนาว่าขอให้เธอลืมเรื่องที่ฉันพูดก่อนหน้าไปซะ
“ป้าคะ...ถ้าเลยจากพระราม 2 ไป 2 ป้ายแล้วป้าเรียกหนูทีนะคะ”
“ได้เลยจ้ะหนู...” คุณป้ากระเป๋ารถเมล์ยกยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะเดินจากออกไปให้ฉันหันกลับไปสนใจที่เธออีกครั้ง
ฉันเหม่อมองใบหน้าของเธอยามหลับใหลด้วยหัวใจของฉันที่กำลังเต้นอย่างเป็นจังหวะอีกครั้ง ใบหน้าหวานสวยไร้พิษสงของเธอช่างน่ารักและน่าทะนุถนอมแม้ตอนที่เธอกำลังหลับตาพริ้ม
ฉันสำรวจตั้งแต่คิ้วหนาของเธอไล่ลงมาเรื่อย ๆ จนถึงดวงตาทั้งสองข้างที่กำลังหลับตาพริ้ม สันจมูกที่โด่งเป็นสันอย่างเด็กลูกครึ่งยิ่งทำให้ฉันหัวใจสั่นไหวเมื่อยามที่ได้สบมอง ไหนจะริมฝีปากเล็กจิ้มลิ้มของเธอที่เป็นกระจับสวยนั่นอีก...
ถ้าได้สัมผัสมันสักครั้งฉันคงจะจดจำมันไปตลอดทั้งชีวี...
ฉันสะบัดหัวไล่ความคิดของตัวเองก่อนจะหันหน้าหนีใบหน้าที่ความน่ารักของเธอช่างรุนแรงไม่ปราณีต่อหัวใจของฉันเอาเสียเลย
ก่อนที่ฉันจะรู้สึกหนักที่ไหล่ข้างซ้ายจนต้องหันกลับไปสบมองและยิ่งหัวใจสั่นหวั่นไหวเพราะเธอย้ายศีรษะที่พิงกระจกของตัวเองมาพิงที่ไหล่ของฉันแทนแล้ว
เจ้าตัวดูจะนอนไม่สบายเพราะฉันกำลังเกร็งไหล่อย่างคนที่เขินอายจนทำตัวไม่ถูก ก่อนที่สุดแล้วฉันจะปรับองศาให้เหมาะสมและเธอก็ยกยิ้มออกมาราวกับคนที่นอนหลับอย่างสบายดี
วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุดในชีวิตของฉันเลยก็ว่าได้ ฉันไม่คาดหวังกับเรื่องความสัมพันธ์อะไรระหว่างเราทั้งนั้น บางทีเธอไม่ต้องรู้ยังดีเสียกว่าเพราะฉันไม่อยากจะเสียเธอไปอีกแล้วแม้เราจะเจอกันได้ไม่นานก็ตาม
ฉันเอื้อมมือไปหยิบเครื่องเล่น MP3 ของตัวเองที่อยู่ในกระเป๋าออกมาอย่างระวังเพราะกลัวเธอตื่น ก่อนฉันจะเปิดเพลงที่ตัวเองได้อัดเอาไว้ด้วยเสียงสดของฉันและสบมองไปที่เธออีกครั้งด้วยหัวใจที่พองโต
“อยากจะบอกเธอว่า...”
“…”
“ชอบ เธอ นะ...มายด์”