“กลับดี ๆ นะทุกคน” ฉันโบกมือลาเพื่อน ๆ ทั้งสามของฉันที่กำลังจะเดินออกไปจากห้องดนตรี และเมื่อพวกนั้นลับสายตาไปแล้ว ฉันก็กลับมานั่งที่เปียโนอีกครั้ง
ฉันหยิบเครื่องอัดเสียงขึ้นมาก่อนที่ฉันตั้งใจว่าจะอัดเดโม่เพลงที่ฉันแต่งให้กับมายด์และยกยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเพราะสิ่งที่ฉันหวังมันกำลังจะเสร็จสิ้นลง และเมื่อนั้นผลมันจะออกมาเป็นอย่างไรฉันก็ยินดีที่จะรับมันไว้ทั้งนั้น เพราะฉันดันชอบเธอมาก ๆ เลยน่ะสิ
ชอบเธอมากจนอยากจะทำอะไรแบบนี้ให้กับเธอเป็นคนแรก...
“หู้ว! ก็เหมือนร้องเพลงธรรมดาแหละน่า!” ฉันให้กำลังใจตัวเองเพราะฉันกำลังรู้สึกประหม่า ทั้ง ๆ ที่มันก็ไม่ใช่เพลงแรกที่ฉันแต่ง แต่ฉันกลับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ฉันกดลงที่ลิ่มเปียโนเป็นทำนองเกริ่นเพลงขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้า นิ้วมือค่อย ๆ ไล่เมโลดี้ไปทีละตัวทีละตัวอย่างตั้งใจและมีใบหน้าของเธอขึ้นมาทุกวินาทีที่ฉันเอ่ยร้องเป็นทำนองออกมา
เพลงที่ฉันแต่งเพลงนี้ฉันตั้งใจว่าฉันอยากจะมอบให้กับเธอเพื่อสารภาพความรู้สึกของฉันที่อยู่ข้างใน ใบหน้าของเธอตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอมาจนถึงวันนี้ก็ยังทำให้ฉันประหม่าและตกหลุมรักได้อยู่เสมอ
ฉันชอบเวลาที่ฉันได้เจอเธอ
ฉันชอบเวลาที่ฉันได้พูดคุยกับเธอ
ฉันชอบรอยยิ้มของเธอ
ฉันชอบดวงตาของเธอ
เอาเป็นว่าฉันชอบทุกอย่างที่มันเป็นเธออย่างไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น...
“เรียบร้อย...” ฉันเป่าปากออกมาอีกครั้งด้วยหัวใจที่พองโต เพลงมันดูจบเร็วไปเลยเพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ฉันชื่นชอบและมีความสุข
ฉันกดฟังมันอย่างตั้งใจอีกครั้งด้วยหัวใจที่สั่นไหว ใจฉันสั่นระรัวอย่างตื่นเต้นตันใจที่ฝันของฉันกำลังจะเป็นจริง แต่สุดท้ายฉันก็รู้สึกว่ามันขาดอะไรบางอย่างไป
ฉันหันไปสบมองที่กีต้าร์ก่อนจะเกิดไอเดียขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าฉันเพิ่มเมโลดี้ที่เล่นกับกีต้าร์เพลงมันจะยิ่งน่าฟังและน่าดึงดูดมากขึ้นไปอีก...
ฉันลุกขึ้นยืนทั้งรอยยิ้มและเดินไปจับที่สายกีต้าร์เพื่อลองทดสอบดูสักหน่อย ก่อนจะพบว่าเมโลดี้ที่ฉันเล่นมันเข้ากันกับคอร์ดเปียโนของฉันมากและฉันไม่ลังเลที่จะใส่มันเข้าไปในบทเพลงด้วย
ฉันอยากให้เธอได้ฟังเร็ว ๆ จังเลยมายด์...และฉันเองก็หวังว่าเธอจะชื่นชอบบทเพลงที่ฉันตั้งใจเขียนมันขึ้นมาให้กับเธอ ถ้าหากว่าใจเราตรงกัน...มันคงจะเป็นเรื่องดีของฉันไม่น้อยเลยนะยัยหางม้า
ช่วงเวลาแห่งความสุขจบลงพร้อมกับที่ฉันอัดเพลงจนเกือบจะเสร็จสมบูรณ์ ฉันนั่งฟังอยู่ในห้องอีกเป็นสิบ ๆ ครั้งและฉันก็ชื่นชอบมันมาก ๆ จนอยากที่จะให้เธอได้ฟังมันเร็ว ๆ
ฉันหยิบหูฟังขึ้นมาสวมก่อนจะเปิดเจ้าเครื่องเล่น MP3 ฉันเดินออกจากห้องซ้อมด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ก่อนจะสังเกตว่าเวลานี้ดึกมากแล้ว และเธอเองก็คงจะไม่อยู่เรียนพิเศษจนดึกดื่นขนาดนี้แน่ ๆ
ฉันแสร้งทำเป็นเดินผ่านที่หน้าสถาบันเรียนพิเศษของเธอก่อนจะชะโงกหน้ามองดูว่าเธอยังอยู่ที่แห่งนี้หรือเปล่า แต่ผลปรากฏว่าฉันเห็นแต่เด็กนักเรียนคนอื่น ๆ รวมไปถึงแก๊งเพื่อน ๆ ที่เคยเดินกับเธอก็ไม่ได้อยู่ให้ฉันเห็นอีกแล้ว
ฉันเดินจากออกมาด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว วันนี้คงจะเป็นวันที่ฉันมีความสุขและก็เป็นวันที่ฉันจะแสนเศร้าไปด้วยเพราะได้แต่ทนคิดถึงเธอจนอาจจะนอนไม่หลับ
ร่างสูงสง่าเดินก้าวเท้าช้า ๆ อย่างไม่เร่งรีบไปที่ป้ายรถเมล์ ก่อนที่เสียงเพลงแห่งความสุขจะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ให้ฉันดื่มด่ำกับบรรยากาศยามค่ำคืนจนลืมผู้คนที่อยู่รอบกาย
ฉันเดินขึ้นรถเมล์และเดินตรงไปหาพื้นที่ว่างและหย่อนก้นนั่งลงไปพลางคิดถึงเธอ ทำไมเพลงนี้มันช่างเหมาะกับผู้หญิงอย่างเธอจังเลยมายด์ รอยยิ้มที่แสนสวยงามของเธอทำให้ฉันอยากจะเห็นมันก่อนที่ฉันจะนอนหลับจัง...
“19 บาทจ้ะหนู” ฉันหันไปมองอย่างสงสัยเพราะรถเมล์ประจำที่ฉันนั่งค่าโดยสารมันเพียงแค่ 6 บาทเท่านั้น ทำไมวันนี้มันถึงได้แพงนักจนฉันต้องถอดหูฟังออกมามองอย่างสงสัย
“เท่าไหร่นะคะ?” ฉันถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าฉันไม่ได้หูฟาดไปเอง
“หนูลงป้ายที่เลยพระราม 2 ไปอีกสองป้ายใช่ไหมจ๊ะ? 19 บาทจ้ะ...” แต่แล้วคำตอบของคุณป้าก็ทำให้ฉันต้องรีบหันมองรอบข้างของตัวเองในทันทีด้วยความตกใจ
และฉันก็พบว่ารถเมล์สายที่ฉันขึ้นนั้นไม่ใช่สายประจำเพื่อกลับบ้านของฉัน แต่ดันเป็นสายที่เมื่อวานฉันนั่งไปกับมายด์และมันกำลังจะมุ่งหน้าไปที่บ้านของเธอ!
“เอ่อ...” ฉันนั่งคิดลังเลใจว่าควรจะลงป้ายหน้าดีไหม เพราะมันเลยมาแค่เล็กน้อยและฉันยังสามารถที่จะขึ้นรถสายของฉันได้อยู่
ก่อนที่ความปั่นป่วนจะเกิดขึ้นมาในใจอีกครั้ง แต่ฉันกลับหยิบแบงก์ 20 ที่อยู่ในกระโปรงนักเรียนส่งให้กับคุณป้ากระเป๋ารถเมล์ไปแล้วแม้ว่าฉันจะยังเถียงกับตัวเองอยู่ก็ตาม
“ตังทอนจ้ะ” คุณป้ายื่นมาให้และฉันก็รับมันมาถือเอาไว้พร้อมกับร่างของคุณป้าที่กำลังจะไปเก็บค่าโดยสารที่ผู้โดยสารคนอื่นต่อ
“ป้าคะ!”
“ว่าไงลูก?” คุณป้าหันมามองอย่างสงสัย และฉันก็อึกอักพูดออกไปเพราะคนกำลังสบมองมาที่ฉันว่าทำไมฉันถึงได้เรื่องเยอะนัก
“ถึงที่แล้วรบกวนบอกหนูหน่อยได้ไหมคะ?”
“ได้จ้ะ ถึงแล้วเดี๋ยวป้าเดินมาเรียกนะ” ก่อนที่แกจะเดินจากออกไป พร้อมกับฉันที่หยิบหูฟังขึ้นมาสวมอีกครั้งด้วยความไม่เข้าใจตัวเองว่าเป็นเพราะอะไรฉันถึงมานั่งอยู่บนรถเมล์สายนี้ได้...
เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงฉันก็มาถึงที่หมาย ฉันยืนอยู่ตรงนี้มากว่า 5 นาทีแล้วเพราะไม่รู้จะเอาอย่างไรต่อไป จะเดินไปด้อม ๆ มอง ๆ ที่หน้าคอนโดของเธอก็จะดูเหมือนว่าฉันจะคล้ายเป็นโรคจิต ดีที่วันนี้เป็นวันศุกร์และไม่มีการบ้าน ไม่อย่างนั้นฉันคงจะกลับบ้านไปทำการบ้านไม่ทันแน่ ๆ
“มาแล้วยังไงต่อดีล่ะ?” ฉันเกาหัวตัวเองอย่างใช้ความคิดก่อนจะตัดสินใจเดินเท้าออกไปเพราะคิดว่าไม่ได้เจอหน้าแต่เห็นหลังคาบ้านก็ยังดี
ฉันเดินไปเรื่อย ๆ อย่างไม่เร่งรีบนักด้วยหัวใจที่สั่นไหว ในใจฉันลึก ๆ แล้วก็หวังที่จะได้เจอเธออยู่ดี เพียงแค่เธอลงมาหาอะไรทานหรือว่าจะลงมาร้านสะดวกซื้อก็ได้ทั้งนั้น ถ้าฉันไม่เห็นเธอวันนี้ฉันจะต้องทนนอนไม่หลับไปกว่า 2 วันเต็ม ๆ อย่างแน่นอน
ฉันเดินผ่านร้านสะดวกซื้อและเดินต่อไปจนใกล้จะถึงคอนโดของเธอแล้ว หัวใจของฉันก็ยิ่งสั่นไหวอย่างหนักเพราะกำลังมีความหวังว่าเธอก็อาจจะยืนอยู่ตรงนั้น
“บ้าจริง...ใครมันจะมายืนอยู่ตรงนี้เวลานี้กันล่ะ” แต่แล้วสิ่งที่ฉันคาดหวังมันก็ไม่เป็นผล หน้าคอนโดของเธอว่างเปล่าไร้ผู้คน และฉันก็ได้แต่ยืนคอตกเพราะวันนี้มันคงไม่มีหวังที่ฉันจะได้เจอเธอแล้ว เพลงก็ช่างเข้าจังหวะดีต่อความผิดหวังของฉันจริงเชียว “กลับบ้านก็ได้วะ...” ฉันพึมพำกับตัวเองอีกครั้งและกำลังจะเดินไปขึ้นสะพานลอยเพื่อข้ามไปฝั่งตรงข้าม
“บีม?” แต่แล้วเสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นมาให้ฉันที่เปิดเพลงไม่ได้ดังมากต้องหันกลับไปสบมอง พอดีกับที่รอยยิ้มของฉันประดับขึ้นมาเพราะหวังของฉันนั้นมันเป็นจริงแล้ว...
“มายด์...” ฉันเรียกชื่อเธออย่างดีใจก่อนจะเดินเข้าไปหาเธอด้วยหัวใจที่พองโต
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นเธอในชุดไปรเวท เสื้อยืดตัวโคร่งสีขาวกับกางเกงขาสั้นแบรด์กีฬาดังไม่ได้ทำให้ออร่าความน่ารักของเธอลดน้อยลงไปเลย
“นี่มาทำอะไรเวลานี้?” เธอยกมือดูเวลาก่อนที่ฉันจะชะโงกไปดูแล้วก็พบว่าตอนนี้ 3 ทุ่มแล้ว และฉันกำลังหาข้อแก้ตัวไปพลาง ๆ เพราะไม่คิดมาก่อนว่าเราจะบังเอิญได้มาเจอกัน
“เอ่อ...” ฉันหันมองรอบ ๆ อย่างหาตัวช่วย ก่อนจะเห็นว่าด้านข้างมีร้านขายหนังสือการ์ตูนให้ฉันปิ๊งไอเดียขึ้นมา “เรามาหาซื้อการ์ตูนอ่านน่ะ” และมายด์ก็หันไปที่ร้านหนังสือและหันกลับมาสบมองฉันราวกับไม่เชื่อ “แล้วมายด์ลงมาทำอะไรดึกดื่น?” ฉันถามบ้างเพื่อเบี่ยงเบน
“พอดีประจำเดือนมาแล้วผ้าอนามัยมันหมดพอดีเลยลงมาซื้อน่ะ” ขอบคุณประจำเดือนของเธอหรือขอบคุณผ้าอนามัยดีนะที่ทำให้เราได้เจอกัน...
“แล้วไปซื้อมายัง?” ฉันถามทั้ง ๆ ที่ก็เห็นอยู่ว่าในมือของเธอยังไม่ได้ถืออะไร แต่ฉันอยากคุยกับเธอนี่หน่า อุตส่าห์นั่งรถมาครึ่งชั่วโมงเพื่อการนี้เลยนะ
“ยังเลย แล้วนี่ซื้อเรื่องอะไรมาอ่านน่ะ?”
“เอ่อ...” ฉันเลิ่กลั่กเพราะฉันเองก็ไม่ได้เป็นสาวกการ์ตูนเรื่องไหนเสียด้วยสิ “พอดียังไม่มีที่ถูกใจเลยไม่ได้ซื้อมาน่ะ”
“อ๋อ...” ก่อนที่ความเงียบจะปรากฏขึ้นมาให้ฉันรู้สึกอึดอัดชอบกล
“ไปซื้อของไหม เดี๋ยวเราไปเป็นเพื่อน?” ฉันเสนอไอเดียขึ้นมา ซึ่งมายด์ก็มองมาที่ฉันอีกที
“บีมกำลังจะขึ้นสะพานลอยไปขึ้นรถแล้วไม่ใช่เหรอ? ดึกแล้วนะกลับก่อนไหม?” เธอถามขึ้นมาอย่างห่วงใย และมันกำลังทำให้หัวใจของฉันพองโตขึ้นมาอย่างมีความสุข
“ไม่เป็นไร ว่าจะไปหาน้ำดื่มอยู่พอดี” ฉันยกยิ้มออกมาเพราะมันกลั้นต่อไปแทบไม่ไหว ฉันจะต้องนอนหลับฝันดีไปอีกหลายวันแน่ ๆ เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นก็ไม่อาจทำให้ความสวยของเธอลดน้อยลงไปได้เลย
“อื้ม ไปกัน” และมายด์ก็ยกยิ้มออกมาให้หัวใจของฉันแทบจะเหลวเป๋วกลายเป็นน้ำ ฉันอยากเก็บรอยยิ้มของเธอเอาไว้ดูยามคิดถึงจัง คงต้องวางแผนซื้อโทรศัพท์สักเครื่องเสียแล้วสิ...
เราเดินกลับกันมาที่หน้าคอนโดของมายด์อีกครั้งหลังจากที่เราซื้อของกันที่ร้านสะดวกซื้อเสร็จ ฉันกำลังเสียดายที่เวลาแห่งความสุขนี้ของฉันกำลังจะหมดลงไปอีกครั้ง ถ้าหยุดเวลาได้ฉันขอหยุดไว้ที่ตรงนี้เลยได้ไหมนะ...ไม่อยากจากกันเลย ฉันคิดถึงรอยยิ้มของเธอเสียแล้วล่ะ...
“กลับบ้านดี ๆ นะบีม” เธอโบกมือลาให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้นสบ ฉันโบกมือลาเธอบ้างแต่ก็ยังคงอาวรณ์อยู่
ฉันจะทำอย่างไรดีให้วันพรุ่งนี้เราได้เจอกัน ชวนเธอไปเที่ยวดีไหมนะ? หรือว่าพรุ่งนี้จะขอมานั่งเล่นที่บ้านของเธอดี?
“มายด์...” ฉันเรียกเธอเอาไว้ก่อนที่ร่างของเธอจะเดินเข้าไปในตัวตึก ซึ่งเธอก็หยุดชะงักและกำลังยืนสบมองฉันอยู่ว่าฉันเรียกเธอทำไม “เอ่อ...พรุ่งนี้ว่างไหม?” สีหน้าสงสัยของเธอถูกแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นรอยยิ้มจนฉันเริ่มรู้สึกไม่อยากจะจากเธอไปจริง ๆ เสียแล้ว
“ว่างนะ...ทำไมเหรอ?” เธอยังคงเป็นดวงตะวันที่สดใสอยู่เสมอ รอยยิ้มของเธอมันเฉิดฉายเสียจนหัวใจของฉันแทบไม่เหลือที่ว่างให้กับใครอีกแล้ว
“งั้น...” แต่ฉันทำได้เพียงอ้ำอึ้งอย่างคนเขินอาย ฉันยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยของตัวเองป้อย ๆ พร้อมกับความกังวลว่าถ้าเกิดเธอปฏิเสธขึ้นมาแล้วฉันจะทนคิดถึงรอยยิ้มของเธอได้อย่างไร....
“พรุ่งนี้ไปดูหนังกันไหม?” ฉันเงยหน้าขึ้นสบมองเธอในทันทีที่เธอเป็นฝ่ายเอ่ยชวนฉันขึ้นมา
เธอกำลังสบมองมาที่ฉันและยกยิ้มออกมาอย่างน่ารักให้ฉันที่เงยหน้าขึ้นสบได้แต่ใบหน้าร้อนผะผ่าวเพราะไม่คิดว่าเธอจะเป็นฝ่ายที่เอ่ยชวนฉัน
จะว่าไปแล้วฉันนี่มันไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ เพราะมายด์มักจะเป็นฝ่ายที่พยายามเข้าหาฉันเสมอแม้ว่าฉันจะชอบเธอเพียงฝ่ายเดียวก็ตาม และฉันก็มักจะเขินอายจนไม่กล้าทำอะไรอยู่แบบนี้...
“ว่าไง? ดึกแล้วเดี๋ยวรถหมดนะ”
“ไปสิ เราไป” ฉันรีบตอบกลับไปเมื่อเธอเอ่ยเร่งกัน หัวใจของฉันกำลังสั่นไหวอย่างหนักหน่วงเพราะเขินอายจนทำตัวไม่ถูก
“งั้นพรุ่งนี้เจอกันที่ห้างตอน 10 โมงเช้านะ ไปดูรอบเช้าจะได้ไม่ต้องเสียค่าตั๋วแพง” เธอยกยิ้มออกมาอีกครั้ง “ฉันจะรอได้เจอเธอนะ แล้วพบกันพรุ่งนี้...” ก่อนที่เธอจะโบกมือลาฉันและเตรียมจะเดินจากเข้าไปในตัวตึก
ฉันหันหลังและเตรียมจะเดินจากไปพร้อมกับอยากจะกรีดร้องออกมาจนแทบคลั่ง นี่มันบ้าไปแล้ว...ฉันกำลังจะได้ไปดูหนังกับคนที่ฉันกำลังชอบจริง ๆ น่ะหรือ?
“บีม!” ฉันรีบหันกลับไปหาเธอและมองอย่างสงสัยอีกครั้ง “พรุ่งนี้มาแลกเมล์กันนะ...บางทีได้คุยผ่านตัวอักษรก็อาจจะไม่ได้แย่เท่าไหร่ ไปละ” และเธอก็เดินจากออกไปให้ฉันได้แต่ยืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น
ใบหน้าของฉันร้อนผ่าวพร้อมกับความรู้สึกที่กำลังประมวลผลเริ่มทำงาน ฉันรวบกระโปรงนักเรียนของตัวเองก่อนจะลงไปนั่งยอง ๆ ที่พื้นและปิดหน้ากรีดร้องออกมาอย่างไม่อายใครหน้าไหนทั้งนั้น
ฉันมีความสุขมากจนอยากจะให้วันพรุ่งนี้มาถึงเร็ว ๆ คืนนี้ฉันคงจะนอนหลับฝันดีและการที่ฉันไม่ได้เจอเธอจะไม่แย่อีกแล้วต่อไปเพราะฉันกำลังจะได้คุยกับเธอผ่านตัวอักษร
วันนี้ฉันจะกลับไปจดลงในปฏิทินอีกครั้งว่าฉันกำลังมีความสุข ฉันตกหลุมรักคนไม่ผิดและถ้าได้เจอเธออีกครั้งฉันก็สาบานกับตัวเองตรงนี้ว่าฉันก็ยังจะเลือกตกหลุมรักเธอ
ยัยหางม้าผู้เปรียบดั่งดวงอาทิตย์ของผู้หญิงธรรมดา ๆ อย่างฉัน...มายด์