เรื่องมันผ่านมาปีกว่าแล้ว แต่สำหรับคนเป็นเหยื่อ ไม่ว่าจะนานแค่ไหนกลับไม่เคยลืมเลือน ดวงตากลมเหลือบมองเอกสารในมือของตัวเอง เจ้าหล่อนกอดมันเอาไว้แน่น ไม่รู้ว่าถ้าเปิดมันออกอีกครั้ง จะทำให้แฟนสาวของตนเศร้าแค่ไหน
“คุณโอบนะคุณโอบ ไม่นึกถึงตัวเองบ้างเลย” แพรไพลินถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้มันครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่อยากจะนับ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ไอ้การถอนหายใจไม่เห็นว่ามันจะช่วยอะไรได้เลย
Errr~
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมา เจ้าหล่อนรีบงัดขึ้นมาและกดรับสายทันที ไม่ต้องบอกก็พอรู้ว่าปลายสายคงมีเรื่องเครียดมากแค่ไหน จึงโทร. เข้ามาในเวลางานแบบนี้
“เวลางานนะแพง” พี่สาวดุน้องสาวเล็กน้อย
[เราจะโทร. มาระบาย ขอเวลาสักนิดเถอะนะ ตอนนี้เรารู้สึก... หงุดหงิดมาก และอับจนหนทางด้วย] ปลายสายหน้าเศร้า เจ้าหล่อนเพิ่งตะเพิดหน้านายซึ่งมาตามตอแยขอซื้อที่ได้ ต่อด้วยปฏิเสธการดูตัวจากคนรู้จักของปู่อีกหนึ่งยก ตอนนี้จึงหนีมาหลบอยู่กับต้นทุเรียนสุดที่รักแทน
“มันขนาดนั้นเลยเหรอ?” คนพี่ย่อมห่วงคนเป็นน้อง แม้ว่าช่วงนี้จะไม่ค่อยได้เจอกัน แต่ทั้งคู่ยังติดต่อหากันเสมอ “นายหน้าคนนั้นยังไม่ยอมแพ้อีกหรือแพง?”
[อืม ครั้งนี้มาเพิ่มให้เป็นสามเท่า แต่เราไม่คิดจะขายอยู่แล้ว เลยเอานายไปอ้างว่าเป็นชื่อของพี่สาวด้วย] คนน้องบุ้ยปาก แม้ความจริงในตอนแรกพื้นที่กว่าห้าสิบไร่ของสวน ‘เพื่อนแพง’ จะมีชื่อของทั้งคู่ก็ตาม แต่แพรพิไลยกทุกอย่างให้น้องสาวหมดแล้ว เท่ากับว่าคนที่มีสิทธิ์ขาด คือตัวของแพรววนิดคนเดียว
“ทำไมถึงต้องการขนาดนั้น นายรู้หรือเปล่าว่าเขาจะเอาไปทำอะไร?”
[พวกเขาไม่บอก บอกแค่ว่ามีคนต้องการจะซื้อส่วนนั้น แต่นายลองคิดดูนะ พื้นที่แค่สิบกว่าไร่ จะเอาไปทำอะไร แถมยังติดภูเขาอีก ตรงนั้นถ้าไม่บำรุงดินดี ๆ ปลูกอะไรขึ้นที่ไหนกัน]
คนพี่ฟังน้องสาวบ่นอยู่แบบนั้น ถึงจะเป็นเรื่องที่ตัวเองเข้าใจบ้าง และไม่เข้าใจบ้างก็ตาม “เอาล่ะ ๆ เดี๋ยวเราลองปรึกษาคุณโอบดู อาจจะช่วยหาทางออกให้ได้ แต่ว่านะแพง เรากลัวว่าพวกนั้นจะทำอันตรายนายนะ ระวังตัวด้วย”
[คนงานเต็มสวน แถมยังมีลูกน้องขาลุยอีก ไม่ต้องห่วงหรอกน่า~] ถึงจะโทร. มาปรึกษา แต่เจ้าตัวไม่ค่อยอยากให้พี่สาวเป็นห่วงเกินไปเช่นกัน
แพรพิไลส่ายหัวเล็กน้อยกับคนที่เอาชีวิตฝากไว้กับสุนัขพันธุ์ไทยหลังอานสามตัวเบา ๆ “อย่าประมาทล่ะ เราเป็นห่วง ถ้าเป็นไปได้ติดกล้องวงจรปิดเอาไว้ด้วยจะดีมาก เดี๋ยวเราช่วยออก”
[จะลองปรึกษากับปู่ดูนะ ไม่กวนแล้ว วางนะ]
ปลายสายตัดไป คนพี่เอาแต่มองหน้าจอและส่ายหัวอีกครั้ง รู้ว่าน้องสาวตัวเองไม่ชอบการติดกล้องวงจรปิดเท่าไหร่ เพราะกลัวว่านอกจากภาพโจรขโมยทุเรียนแล้ว จะมีภาพตัวเองตอนโอบกอดต้นไม้ หรือคุยกับต้นไม้ออกมาให้เห็นด้วยเป็นของแถมชวนฮา
ประตูห้องกว้างถูกเปิดออก คนไปเอาเอกสารสำคัญเปิดยิ้มให้แขกหนุ่มทั้งสอง และแฟนสาวซึ่งจ้องเขม็งกับรุ่นพี่ตัวเองไม่ยอมละสายตา สุดท้ายคนที่พ่ายก็คือ...
“ยอม ๆ ฉันเลี้ยงเอง” ก็รุ่นพี่ของเธออย่างไรล่ะ
“ปกติมันต้องแบบนั้นอยู่แล้วนะรุ่นพี่ มาขอข้อมูลทั้งที จะไม่มีของตอบแทนได้ยังไง?” อัญชิสากอดอกแน่น มองชายหนุ่มและยืดหลังใส่ เพราะว่าได้รับชัยเป็นบุฟเฟ่ต์โรงแรมสุดหรู
แต่สิ่งที่ทำให้คนขี้หวงหงุดหงิด คือสายตาของคนที่ตามติดรุ่นพี่ของตัวเองมาด้วยต่างหาก เพราะว่าเขา... เอาแต่จ้องแฟนสาวของตัวเองตาไม่กะพริบ คงไม่ใช่ว่าคิดไปไกลหรอกใช่ไหม!?!
“เฮ้! อาโรว์ นั่นคุณเพื่อน แฟนฉันนะ!” อัญชิสาหรี่สายตามองคนตรงหน้า รู้ว่าเขามองเพราะอะไร แต่คนขี้หวง อย่างไรก็ยังหวงอยู่วันยังค่ำ!
“ทราบครับ” อาโรว์บอกด้วยเสียงเรียบนิ่ม ก่อนจะยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้นมาจิบเบา ๆ “ผมไม่ได้... ตาทั่วนะครับ”
“ตาถั่วหรือเปล่าคะคุณอาโรว์” แพรพิไลเดินมาหย่อนตัวข้างแฟนสาวของตัวเองบนโซฟาตัวยาวสีแดงเลือดหมู เป็นของใหม่ที่เพิ่งได้มาในวันเกิดที่ผ่านมาเร็ว ๆ นี้ ก่อนจะวางชุดเอกสารลงบนโต๊ะกระจกสีดำใสตรงหน้าให้คนที่ต้องการมัน
“อ่อ น่าจะใช่ครับ”
“นั่นลูกน้องรุ่นพี่นะ ฝึกภาษาไทยเยอะ ๆ หน่อยสิคะ” อัญชิสาหันไปตำหนิรุ่นพี่ตัวเองหนึ่งที ก่อนจะเสสายตาไปหาอดีตบอดี้การ์ดส่วนตัวอีกครั้ง “แต่ว่านะอาโรว์ สำเนียงแปลก ๆ ของนายลดลงไปเยอะเลยนะ”
“ขอบคุณครับ แต่ยังมีอีกหลายอย่างที่ไม่เข้าใจ พอดีว่าภาษาไทยยากมากครับ”
ทั้งสามคนพยักหน้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ขนาดคนไทยแท้ ๆ ยังเห็นด้วย แล้วลูกครึ่งไทย ฝรั่งเศส อเมริกันอย่าง ‘อาโรว์ แวงซ์’ คนนี้จะไปเหลืออะไร แค่พูดคล่องก็ถือว่าปาฏิหาริย์แล้ว
“จริงสิคะ เรื่องนี้มันจบไปตั้งนานแล้ว คุณขุนพลจะเอาเอกสารพวกนี้ไปทำอะไรคะ?” แพรพิไลถามขึ้น ใจจริงเธออยากจะเผาของพวกนี้เสียด้วยซ้ำ อย่างน้อยมันอาจจะทำให้คนที่ตัวเองรักที่สุดรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง
“ถึงไอ้จิรกรมันจะอยู่ในตาราง แต่มันมีเรื่องคาใจเล็กน้อย เลยมาดูเอกสารที่ไม่ได้เปิดเผยกับสื่อ บางทีอาจจะเจออะไรบ้าง” ขุนพลเลื่อนเอกสารเกี่ยวกับคดีและผลตรวจร่างกายของอัญชิสาไปเปิดดูอีกครั้ง แม้ว่าจะทำให้รู้สึกแย่กับคนตรงหน้าก็ตาม “แกโอเคใช่มั้ยโอบ?”
“เรื่องมันผ่านไปแล้วไงรุ่นพี่” แต่หน้าเธอไม่โอเคเลยสักนิด มือเล็ก ๆ ยังสั่นแม้จะเล็กน้อย แฟนสาวเลยเอื้อมมือไปกุมเอาไว้อย่างแผ่วเบา “ขอบคุณค่ะ คุณเพื่อน”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
เด็กน้อยที่ไม่รู้เรื่องอะไร ถูกกระทำจนเกือบตายขนาดนั้น ต่อให้เรื่องมันผ่านไปกี่สิบปี สำหรับอัญชิสาที่เป็นเหยื่อ มันยังเหมือนเกิดขึ้นเมื่อวาน แม้ว่าสำหรับเธอตอนนี้จะรู้สึกดีมากขึ้นแล้วเพราะคนผิดไปรับโทษของเขา แต่ถ้าให้เลือก ก็ไม่อยากหันกลับไปมองอีก
ขุนพลมองดูรุ่นน้องที่ดูมีความสุขตั้งเจอกับแฟนสาวของตัวเอง มันทำให้ริมฝีปากหยักลึกค่อย ๆ กรีดขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ลืมเหลือบสายตาไปมองคนข้างหาย เมื่อไหร่กันนะ... มันจะเลิกใจร้ายกับตัวเองสักที ทั้ง ๆ ที่ชอบเขาขนาดนั้นแท้ ๆ
“ฮึ? ทำไมไม่เคยเห็นรูปนี้?” ขุนพลหยิบรูปจากแฟ้มเอกสารขึ้นมา มันเป็นภาพของเจ้าสัวจิรกรแบบปกติ แต่คนรอบข้างดันมีคนหน้าคุ้นเข้ามาในรูปด้วย “เพิ่งเอามาเพิ่มหรือโอบ?”
“เปล่านะ มันอยู่ของมันอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว รุ่นพี่ไม่ได้สังเกตหรือเปล่า?” อัญชิสาคัดค้าน ใครมันจะไปแตะต้องกับสิ่งที่อยากลืมกัน
ขุนพลเอียงรูปถ่ายไปให้ลูกน้องดูด้วยตาของตัวเอง ทั้งคู่ขมวดคิ้วแน่นไม่ต่างกัน เพราะนอกจากภาพของจิรกรแล้ว ยังมีภาพของคนที่ไม่น่าจะมาอยู่ในภาพนี้โผล่ขึ้นมาด้วย แม้จะแค่ครึ่งหน้าก็ตาม “นี่มัน... ไอ้ตัวปลอมหรือเปล่า?”
“ใช่ครับ ผมจำได้ ไม่ผิดแน่” ใช่ เพราะไอ้หมอนี่ มันบังอาจจับมือของเธออย่างไรล่ะ ถ้ามีโอกาสละก็... อาโรว์จะตัดมันทิ้งด้วยมือของตัวเองแน่!!
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?” แพรพิไลถามขึ้น เพราะดูจากสีหน้าของทั้งคู่ คงเจอกับอะไรเข้าสักอย่าง
“ครับ พอจะรู้หรือเปล่าว่ารูปใบหน้าถ่ายเมื่อไหร่?” ขุนพลถามเสียงจริงจัง
“ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นงานเปิดตัวอะไรสักอย่างเมื่อห้าหรือหกปีก่อน ฉันไม่ได้อยู่ไทยค่ะ เลยไม่รู้ มีอะไรหรือเปล่าคะ?” มันเลยพาให้อัญชิสาอยากรู้จนเผลอขมวดคิ้วไปด้วย
“อ่า~ มันก็มีนั่นแหละ แต่ตอนนี้ยังบอกอะไรไม่ได้ ฉันขอรูปนี้นะโอบ” ขุนพลยิ้มออก ไม่เสียแรงที่มาให้รุ่นน้องโขกสับถึงที่
“ตามสบาย แต่อย่าลืมบุฟเฟ่ต์โรงแรมหรูห้าดาวสามที่นะคะ รุ่นพี่” สมกับเป็นไอ้โอบจอมกวนประสาทจริง ๆ ทำเอาความดีใจชั่วครู่ของรุ่นพี่เธอพัดหายไปในพริบตา
“เออ! ฉันไม่ลืมหรอก ถ้าขืนลืมแกคงไปทวงฉันถึงที่ศูนย์พอดี ฉันไม่อยากให้ศูนย์วุ่นวายเพราะแกนะ”
เป็นการปะทะฝีปากของทั้งคู่ แม้จะเป็นเรื่องให้เห็นเป็นปกติก็ตามที แต่คนเอาแต่จ้องมองรูปภาพในมือ มันยิ่งทำให้ใจของเขาร้อนรุ่ม หากมันเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนพวกนั้นจริง ๆ คุณแพงของชายหนุ่ม จะต้องมีอันตรายแน่ ๆ
“จริงสิคะ ฉันมีเรื่องอยากปรึกษาพอดี” แพรไพลินยิงคำถามขึ้นมาเพื่อไม่ให้รุ่นพี่กับรุ่นน้องทะเลาะกันไปมากกว่านี้ “พอดีว่าฉันเพิ่งวางสายจากน้องสาวค่ะ มันเป็นเป็นเรื่องที่กวนใจฉันมาระยะหนึ่งแล้ว”
“อะไรครับ?” ดูคนที่กระตือรือร้นมากที่สุด จะไม่ใช่หัวหน้าอย่างขุนพล แต่เป็นลูกน้องอย่างอาโรว์ต่างหาก
คนเป็นหัวหน้าหันมาหรี่ตามอง ปกติดูจะไม่สนใจอะไรแท้ ๆ แต่พอเป็นเรื่องของแพรววนิดเท่านั้น ตาเป็นประกายเชียว
“คือ... เรื่องที่ดินค่ะ มีนายหน้ามาขอซื้อที่ดินของสวนเพื่อนแพง แต่แพงไม่ยอมขาย เขาเลยให้ราคาเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่า แต่ที่แปลกก็คือ ที่ตรงนั้นดูจะทำอะไรไม่ได้ แพงบอกว่ามันต้องปรับสภาพดินอีกเยอะ ถ้าเอาไปปลูกอะไรคงลงทุนไม่น้อย แต่การที่เขาให้ราคาสูงกับที่ดินแค่สิบกว่าไร่ มันดูแปลกเกินไปค่ะ”
ใบหน้าของคนเป็นพี่สาวเครียดขึ้นทันทีเมื่อนึกถึงเรื่องที่น้องตัวเองกำลังเผชิญอยู่ ก่อนจะหันไปมองแฟนสาวของตัวเอง เธอดูทำหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ “อะไรคะคุณโอบ?”
“ทำไมไม่ปรึกษาฉันล่ะคะ เรื่องลงทุน หรือเรื่องเงินฉันให้คำปรึกษาคุณเพื่อนได้ตลอดนะคะ” ความอยากทำให้เมียประทับใจ รีบยื่นมือเข้าไปสอดทันที ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้อะไร แต่พอโดนตากลมขึงใส่เท่านั้น “ชะ... เชิญพูดต่อได้เลยค่ะ แฮะ ๆ”
“บางทีเขาอาจจะเอาไปทำบ้าน หรือที่อยู่ก็ได้นะครับ” ขุนพลเป็นคนพูดขึ้น แต่ยังตัดเรื่องที่ว่ามันมีจุดน่าสงสัยออกไปไม่ได้เช่นกัน
“ตรงนั้นมันเป็นภูเขาค่ะ แถมยังไม่มีทางออกอีก แต่เรื่องที่น่าสงสัยมากที่สุดคือเรื่องตื๊อค่ะ เป็นนายหน้าที่น่ารำคาญมากที่สุดเท่าที่แพงเคยเจอ ก่อนหน้านี้แค่บอกปัดเขาก็ไม่มาอีกแล้วนะคะ แต่คราวนี้ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ถึงได้พยายามมากนัก”
ความกังวลมันกำลังแสดงออกทางสีหน้าทั้งสี่คนในห้อง โดยเฉพาะอาโรว์ ช่วงนี้แพรววนิดมีเรื่องบ่อยเกินไปหรือเปล่า ก่อนหน้านี้เจ้าหล่อนเองเกือบเป็นเหยื่อของฆาตกร แล้วยังมาเรื่องที่ดินอีก
“จริง ๆ ตอนนี้มันยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกนะคะ แต่แพง... เออ” แพรไพลินค่อนข้างลำบากใจสักหน่อยที่จะพูดเรื่องข้อเสียของน้องสาวตัวเอง “แพงมันค่อนข้างหาเรื่องใส่ตัวค่ะ เป็นพวกปากเสีย และกวนประสาทอยู่บ้าง”
“แหม~ นิสัยคุ้น ๆ นะครับ” สายตาของรุ่นพี่เลื่อนไปมองรุ่นน้องที่นั่งฟังเรื่องราวแบบปิดปากสนิท
แถมแฝดคนพี่ยังหันไปมองคนที่นั่งข้าง ๆ เพื่อยืนยันอีกเสียง “จะว่าไป... ก็เหมือนนะคะ”
“แบบนี้แย่เลยนะครับ” ขุนพลยิ้มแหย แน่ล่ะ ในที่นี้คนที่ปะทะกับนิสัยเสียของไอ้โอบ คงมีแค่ขุนพลที่รู้ซึ้งถึงมันที่สุดนั่นแหละ!
ส่วนคนโดนนินทาต่อหน้า ได้แต่หันมองรุ่นพี่กับแฟนสาวสลับกัน “เดี๋ยวสิ นี่นินทาฉันอยู่เหรอ? ทำไมมาลงที่ฉันได้ล่ะ อุตส่าห์นั่งเงียบ ๆ แล้วนะ”
“เอาเป็นว่า เดี๋ยวผมตรวจสอบให้นะครับ ผมเองก็สงสัยเหมือนกัน อีกอย่างก่อนหน้านี้คุณพะแพงเพิ่งมีเรื่องให้ตกใจมา มันเป็นลางสังหรณ์ของผมที่คิดว่าอาจจะเกี่ยวข้องกันครับ” ขุนพลนั่งหน้าเครียดกว่าเดิม
“เดี๋ยวก่อนสิคะ เรื่องตกใจที่ว่ามันคือเรื่องอะไร แพงไม่เห็นเล่าอะไรให้ฉันฟังเลยนะคะ” แพรไพลินลุกพรวด!
“เรื่องจบแล้วครับ เราจับตัวของหมอนั่นได้แล้ว คุณเพื่อนไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” อาโรว์ตอบแทน เพราะตอนนี้หัวหน้าของตนจมลงเข้าไปในความคิดตัวเองเรียบร้อย
“อะไรกันเนี่ย!!” แพรพิไลทิ้งตัวลงนั่งอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ ก่อนจะควักโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพร้อมส่งข้อความไปถามเรื่องที่เกิดขึ้นกับน้องสาวทันที
“เอาอย่างนี้ดีไหมครับ ผมจะส่งคนไปเป็นบอดี้การ์ดให้น้องสาวคุณ ส่วนทางผมเองก็อยากตรวจสอบเรื่องบางอย่างด้วย ได้ทั้งความปลอดภัย และได้ทั้งข้อมูล ถือว่าวินวินกันทั้งสองฝ่าย” และในที่สุด ขุนพลก็ออกมาจากการใช้ความคิดจนได้ “มันอาจจะไม่เกี่ยวข้องกันก็ได้ แต่ผมไม่อยากทิ้งข้อสงสัยนี้ไปครับ”
“ถ้าอย่างนั้นรบกวนด้วยนะคะ” แฝดคนพี่ดูสบายใจขึ้นบ้าง อย่างน้อยมีคนคอยดูแลความปลอดภัย ยังดีกว่าเอาชีวิตไปฝากไว้กับสุนัขพันธุ์ไทยหลังอานทั้งสามตัว
หัวหน้าและลูกน้องกำลังเดินกลับไปที่รถยนต์ของตัวเอง แต่มีคนที่ทนความสงสัยไม่ไหว รีบเดินมาดักหน้าชายหนุ่มผู้เป็นทั้งรุ่นพี่และเจ้านายตนอีกครั้ง
“อะไร?” ขุนพลถามขึ้น พร้อมกรีดยิ้มเล็กน้อย แน่ล่ะ หน้าของอาโรว์มีความกังวลชัดเจนขนาดนั้น
“จะให้ใครไปครับ?” ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่น จะใครก็ได้ที่จะไป แต่ต้องเป็นที่ตัวเองไว้ใจได้ ไม่หน้าหม้อจีบสาวไปทั่วถึงจะสบายใจ “คุณแพงเป็นผู้หญิงนะครับ ส่งคนจากหอพักสวรรค์ไปดีกว่าครับ”
“แกจะไปคุยกับพวกเธอเหรอ? คุยยากกว่าภาษาไทยอีกนะ” ขุนพลยิ้มกว้างกว่าเดิมเสียอีก อุตส่าห์นิ่งเป็นปี จะมาออกอาการเอาตอนนี้เนี่ยนะ อาโรว์!!
“กวินดีหรือเปล่า?”
“ไม่เอาครับ” หน้าตาดีเกินไป
“ริกกี้ล่ะ?”
“ไม่ครับ มันไม่ค่อยสู้งาน” คุณแพงตายก่อนพอดี
“ไอ้แทนไทล่ะ?” แม้จะไม่มีคำคัดค้าน แต่หน้าของอาโรว์มันแสดงออกมาว่าแขยงสุด ๆ “ฮ่า ๆ ๆ ฉันพูดไปอย่างนั้นแหละ ฉันตัดสินใจได้ตั้งนานแล้วว่าจะส่งใครไป ถึงจะถูกใจแก”
“ใคร... ครับ?”
“ก็แกกับแซนไง เคยไปที่นั่นมาก่อนนี่ โดยเฉพาะแก ไปทุกวันขนาดนั้น น่าจะชินกับพื้นที่... อย่า!” ขุนพลเอ่ยปากห้ามเพราะเห็นว่าลูกน้องตนอ้าปากจะเถียงกลับ “อย่าปฏิเสธ นี่คือคำสั่ง”
“...”
“ไปขับรถ”
เป็นการออกคำสั่งเพราะความรำคาญล้วน ๆ และหวังว่าจะใช้โอกาสนี้ ทำลายกำแพงที่ตัวของอาโรว์สร้างขึ้นได้สักทีนะ