บทนำ ฝันของผม... คือคุณ
‘ถ้างานของคุณมันเสี่ยงขนาดนั้น ลาออกเถอะค่ะ เดี๋ยวฉัน ‘เลี้ยงเอง’ สัญญาว่าจะตามใจคุณทุกอย่าง มา ‘เป็นของฉัน’ เถอะนะคะ’
แพรววนิด
ดวงตากลมโตกำลังจับจ้องมาทางนี้ สายตาของเธอกำลังดึงดูดสติทั้งกายให้เคลื่อนไปหาอย่างช้า ๆ นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มจ้องลึกเข้าไปในนัยน์ตาสีนิลคู่สวย ไม่ว่าจะมองกี่ครั้ง ดวงใจที่ไม่เคยสั่นไหวให้ใคร มันกลับเต้นรัว พร้อมลมหายใจที่เข้าออกไม่เป็นจังหวะ
ริมฝีปากแดงระเรื่อ ทั้งดูนิ่ม และน่าสัมผัส หากได้ลงจูบสักครั้งจะทำให้คนอย่างเขาสิ้นสติหรือเปล่า? หากได้โอบกอดเธออีกครั้ง จะยิ่งทำให้ ‘อาโรว์’ คนนี้โหยหาเธอมากกว่าเดิมหรือไม่?
ไม่อยากให้เธอมารัก
แต่ไม่อยากให้เธอเป็นของใคร
อยากรักเธอใจแทบขาด แต่กลับทำได้แค่มอง
‘อย่ารักผมเลยนะครับ’
เป็นคำพูดตัดความสัมพันธ์ของทั้งเขาและเธอ แต่ในห้วงนิทรา กลับมีแต่ภาพของเธอลอยวนเข้ามาทุกค่ำคืน ใจสั่นไหวเหมือนใบไม้กำลังจะถูกสลัดออกจากกิ่ง
‘คุณแพง ผมฝันถึงคุณอีกแล้ว’
ครืดดดดดด~
แป้นสีดำทรงกลมกำลังสั่นในเวลาเกือบจะตีสามเข้าไปแล้ว เจ้าของห้องตื่นจากฝันอันแสนหวานด้วยความเสียหาย และหันไปทำหน้ามุ่ยในเครื่องเรียกคิวบนหัวเตียง คนโดนปลุกจากฝันอยากจะปาเจ้าแป้นทรงกลมนี้เข้าข้างฝาอีกสักอัน หากไม่กลัวว่าจะมีคำบ่นของหัวหน้าตามมาภายหลัง
“เมื่อไหร่จะเลิกใช้ไอ้เครื่องนี้สักที... วะครับ” ร่างกำยำรีบสลัดผ้าห่มออกจากร่างกาย ก่อนจะคว้าเจ้าเครื่องซึ่งยังสั่นไม่หยุดติดมือไปด้วย “ที่ศูนย์ไม่มีอะไรจะใช้แล้วเหรอ?”
เสื้อแขนยาวสีเทาถูกหยิบขึ้นมาสวมทับเสื้อไซซ์กล้ามพอดีตัวเอาไว้ ก่อนจะรีบสาวเท้าออกจากห้อง ถึงเจ้าเครื่องนี้จะเห็นได้ตามร้านอาหาร หรือคาเฟ่ทั่วไป แต่ที่นี่พวกเขาโคตรจะไม่ชอบมันเลย เวลาที่เห็นมันสั่นแบบนี้!!
“อ่า~” ห้องข้าง ๆ โดนปลุกเหมือนกัน ดูจากดวงตาและสภาพแล้ว เหมือนละเมอตื่นขึ้นมามากกว่า ขนาดดวงตายังเปิดไม่สุดเลยด้วยซ้ำ ก่อนจะยกเจ้าเครื่องทรงกลมสีดำขึ้น ประหนึ่งว่าทั้งคู่กำลังเผชิญกับชะตากรรมไม่ต่างกัน “อาโรว์~”
“ลูกพี่ขุนใช้งานเราหนักเกินไปแล้วนะครับ” เขายังเสียดายฝันแสนหวานไม่เลิก ก่อนจะยัดเจ้าเครื่องเจ้าปัญหาลงกระเป๋าเสื้อ มันยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไปจนกว่าจะถึงเครื่องหลัก
“เออ... ฉันเพิ่งได้นอนเองอาโรว์ มันต้องเรื่องด่วนแค่ไหนถึงเรียกนอกเวลาแบบนี้เนี่ย” คนโดนปลุกอีกคนหาวกว้างจนน้ำตาไหล เพราะนั่งดูเทปสอบปากคำทั้งคืน เพิ่งได้นอนไปแค่สองชั่วโมงเท่านั้น
“รีบไปรีบกลับเถอะครับ แซน” คนตัวใหญ่กว่าเล็กน้อยเดินนำหน้าคู่หูของตัวเองไป อยากรู้เสียจริงว่าเรื่องที่เรียกรวมพล... มันสำคัญขนาดไหนกันแน่
ประตูหนาถูกเปิดออก ห้องประชุมกว้างที่มีแค่โต๊ะตัวใหญ่สี่ตัว และเก้าอี้สภาพตามมีตามเกิด เป็นห้องที่น่าสงสาร เวลาที่มีความเห็นไม่ลงรอยกัน ทั้งโต๊ะและเก้าอี้ จะสามารถลอยติดมือของทั้งสองฝ่ายได้อย่างมหัศจรรย์ แถมยังฝากรอยขีดข่วนเอาไว้ที่ผนังห้องหลายจุด สภาพของที่นี่ยิ่งกว่าห้องซ้อมหรือฝึกร่างกายของศูนย์แห่งนี้เสียอีก
“มาแล้วเหรอ?” หัวหน้าผู้ไม่รู้เวลา ดูสนุกกับการหมุนเก้าอี้เล่น แถมยัง เปิดโปรเจคเตอร์เตรียมพร้อมเอาไว้เรียบร้อยแล้วด้วย
คู่หูเดินคอตกเข้ามาในห้อง ตอนนี้นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีสมาชิกในศูนย์มานั่งรออีกสามคน แถมสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นไม่ต่างกัน จะมีคนที่หน้าตาสดใสที่สุดก็คือ...
“หัวหน้ายังไม่นอนอีกหรือครับ แบบนี้ผมแจ้งกรมแรงงานได้นะ ใช้งานหนักเกินไปแล้ว” แดนนี่เอาหัวทิ่มลงโต๊ะทันทีที่มาถึงห้อง และเหมือนว่าสามารถหลับได้ทันทีเช่นกัน
“ลูกพี่~”
เสียงโหยหวนจากคนโดนปลุกอีกคนเดินมาพร้อมผ้าห่มผืนโปรดลายเป็ดสีเหลือง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น เอาหลังพิงกำแพงกว้าง และเข้าสู้ห้วงนิทราอีกครั้ง
“ริกกี้สิ้นชีพแล้วครับ” แซนหันไปมองด้วยความอิจฉา อยากนอนแบบนั้นบ้าง
“เอาล่ะ ๆ ถึงตาจะปิด แต่หูต้องเปิดเอาไว้นะ” ขุนพลหยัดตัวขึ้น พร้อมเปิดคลิปวิดีโอที่เตรียมเอาไว้ มันเป็นภาพเหตุการณ์ที่สามารถทำให้คนง่วงตื่นอย่างเต็มตาได้!
“อั้ก!!! ชะ... ช่วยด้วย!!”
ฉึก ๆ ๆ ๆ ๆ!!!
เสียงกระหน่ำแทงไม่ยั้งของชายปริศนา กับผู้ตาย ไม่ว่าจะดูอย่างไรมันก็น่าสยดสยอง... สำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับพวกเขา ซึ่งทำงานอยู่ในหน่วย ‘ป้องกัน’ และ ‘รักษา’ ความปลอดภัยระดับสูง หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ‘ยามหลังบ้าน’ การจะได้เห็นใครสักคนโดนฆ่าต่อหน้าต่อตา มันเป็นเรื่องที่ชินตา... แต่ไม่เคยชินใจ
“สต็อป!! ลูกพี่ขุน พวกเราไม่ได้อยู่หน่วยอาชญากรรม หรือพวกตามหาตัวฆาตกรนะครับ เรียกพวกผมกลางดึกมาดูคลิปคนถูกฆ่าทำไม?” แซนรีบโต้ขึ้นมา เพราะดูเหมือนว่าวิดีโอของหัวหน้าตน มันไม่ค่อยตรงกับงานของพวกเขาสักเท่าไหร่
“เอาน่า~ ดูให้จบก่อน”
ชายในชุดดำ แม้ว่าจะถูกปกปิดทั้งร่างหาย และใบหน้า แต่สิ่งที่ทำให้ทุกสายตาจ้องมอง ดันเป็นหลังคอของเขา รอยสักของกลุ่มคนที่ติดตามมาหลายปี ทำไมจึงโผล่มาในที่แบบนี้กัน?
“พระจันทร์ครึ่งดวง? หรือครึ่งวงกลมกันแน่?” ริกกี้ตื่นเต็มตา พร้อมลุกขึ้นมานั่งข้างคู่หูอย่างอาโรว์และแซน ก่อนจะเท้าคางมองวิดีโอที่ถูกหยุดนิ่งเอาไว้
“คิดว่ายังไง จะมีใครสักรูปครึ่งวงกลมหรือเปล่า?” ขุนพลถามขึ้น พร้อมกอดอกมองสีหน้าลูกน้อง “มันก็อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีคนสักรูปนี้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกอาซา แต่นี่เป็นเบาะแสของเราที่พอจะหาได้ ไม่ลองเสี่ยงดูหน่อยหรือ?”
“หมายความว่าอย่างไรครับ?” อาโรว์ที่เงียบอยู่นานถามขึ้น เขาล่ะไม่ชอบเลยจริง ๆ ไอ้นิสัยพูดอะไรไม่ชัดเจน และเว้นให้ลูกน้องคิดตามของขุนพลเนี่ย
“ผู้ตายเป็นทนายความ แถมตอนนี้ยังหาศพไม่เจอด้วย ไม่รู้ว่าฆาตกรเอาศพไปซ่อนที่ไหน แต่ไม่รู้ทำไม ทนายคนนั้นที่น่าจะตายไปแล้วเกือบหนึ่งอาทิตย์ ถึงยังใช้ชีวิตตามปกติ ทั้งบัตรเครดิต และสื่อโซเชียลต่าง ๆ แต่ที่ทำให้ผิดสังเกตคือเขาไม่ไปทำงาน แต่มักไปพบปะกับคนที่ไม่เคยเห็นหน้าเท่านั้น” ขุนพลอธิบายเสียยืด แต่ดูเหมือนว่าที่อธิบายไป มันจะทำให้จุดติดความสงสัยขึ้นมาในสมองของลูกน้องตัวเองบ้าง
“หมายความว่าฆาตกร มีจุดประสงค์ที่จะเข้ายึดตัวตนของทนายคนนั้นหรือครับ?” แดนนี่ถามขึ้น
“ไม่หรอก คนเราจะยึดตัวตนของคนอื่นง่าย ๆ ได้ยังไง แต่ที่ฉันคิดคือ... หมอนั่นอาจจะมีเป้าหมายบางอย่าง... เราต้องตามหาเป้าหมายนั้น” เข้าเอื้อมไปปิดโปรเจคเตอร์ และเดินไปเปิดไฟในห้องให้สว่างขึ้น ก่อนทั้งข้อมูล และคลิปวิดีโอจะส่งเข้าไปยังโทรศัพท์มือถือของสมาชิกซึ่งมาประชุมครั้งนี้
“ส่งมาแบบนี้ตั้งแต่แรกก็จบ ไม่รู้จะเรียกมาทำไม” แซนหันไปนินทาหัวหน้าดัง ๆ กับอาโรว์ซึ่งนั่งอยู่ข้างตน
“นั่นสิ และไอ้แป้นเรียกคิวนี่อีก โลเทคชะมัด!” ริกกี้เข้าผสมโรงด้วย
“ลูกพี่ขุนได้ยินนะครับ มองตาเขียงมาทางนี้แล้ว” อาโรว์พยักหน้าไปหาหัวหน้าตัวเอง ซึ่งมองมาทางคนนินทาตัวเองอยู่
“เขาเรียกว่าตาเขียว ตาเขียงอะไรของแกวะอาโรว์ อยู่ไทยมาตั้งนานแล้ว คำง่าย ๆ เลยนะ” ริกกี้รีบแก้ความเข้าใจผิดของเพื่อนร่วมอาชีพทันที ไม่ว่าจะผ่านไปแค่ไหน ไอ้เรื่องพูดผิดความหมายจนทำให้คนอื่นเข้าใจผิดไปด้วย ทั้งแซนและอาโรว์... พอ ๆ กัน แล้วยังชอบอยู่ด้วยกันอีก!!
“เฮ้ย! นี่ฉันยืนอยู่ต่อหน้าพวกแกเลยนะ จะนินทาก็ลับหลังหน่อย!” ขุนพลหัวจะปวดกับคนพวกนี้ ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวที่เก้าอี้ตัวเดิม “แซน อาโรว์ แดนนี่ และก็...”
“ผมไม่ไปนะ ผมไม่ทำ ผมมีงานที่ต้องทำอีกเยอะเลย ขออยู่ที่ศูนย์ครับ” ริกกี้รีบปัดงานทันที
“ฉันก็ไม่ได้บอกให้แกไปสักหน่อย รู้หรอกว่าขี้เกียจออกไปข้างนอก” หัวหน้าที่ไม่ค่อยถูกเคารพจากลูกน้องเท่าไหร่ กำลังขึงตาใส่เจ้าพ่อไอทีประจำศูนย์อย่างริกกี้หนึ่งที “แซน อาโรว์ แดนนี่ และฉัน จะไปที่ที่หมอนั่นนัดเอาไว้ในอีกสองวัน”
“รู้แล้วหรือครับว่ามันจะไปที่ไหนต่อ” อาโรว์ถามขึ้น
“ใช่ จะบอกว่ารู้เป็นอย่างแรกเลยก็ได้ เพราะในสำนักงานทนายของผู้ตายเขียนนัดหมายของเขาเอาไว้ตัวใหญ่ที่สุด... มันเป็นนัดหมายดูตัวน่ะ”
เหล่าหนุ่มโสดหน้าหงิกไม่แพ้หัวหน้าของตน ขุนพลถอนหายใจออกมาเสียงดัง ก่อนจะจ้องไปที่ใบหน้าของอาโรว์อีกครั้ง “มันเป็นที่ที่พวกแกเคยไปมาก่อนนะ... แซน อาโรว์”
“ครับ?”
“จังหวัดเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยสวนผลไม้ และรีสอร์ตบรรยากาศดี” ขุนพลรู้ทุกอย่าง ทั้งความคิดและความรู้สึกของลูกน้อง กำลังกระดกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเห็นใบหน้าเรียบนิ่งของอาโรว์ดูเปลี่ยนไป “อาจจะได้เจอกันก็ได้นะอาโรว์”
ร่างกำยำแถมสูงใหญ่ของชายหนุ่ม มันสั่นและชาไปทั้งร่าง ‘อาจจะได้เจอกันอีกอย่างนั้นเหรอ?’ทั้งอยากเจอและไม่อยากเจอ ไม่รู้ว่าการได้เจอกันอีกครั้ง... มันจะทำให้ตัวเองสามารถเก็บความรู้สึกที่มีได้หรือเปล่า?
‘คุณแพง’
“เอาน่า! ถือว่าช่วยตำรวจจับฆาตกรก็แล้วกัน แต่ถ้ามันเป็นคนของอาซาจริง ๆ ถือว่าเป็นกำไร”
“...” ไม่มีใครตอบ เอาแต่จ้องหน้าชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าพวกเขา
“โอเค ฉันไม่กวนเวลานอนของพวกนายแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ” ขุนพลยิ้มให้ลูกน้อง แน่นอนว่าไม่มีรอยยิ้มตอบกลับ มีแต่สายตาหลายคู่กำลังหรี่มองมาทางตนอย่างมาดหมาย! “อะไร? ไม่ง่วงกันเหรอ?”
“ตื่นแล้วครับ เต็มตาเลย!” แซนโวยวายเป็นคนแรก
“ใครมันจะไปอยากนอนหลังเห็นภาพสยองแบบนั้นล่ะครับ!” แดนนี่เอาด้วย
“นั่นสิ ถ้าเรื่องมันจะมีแค่นี้ แถมระบุตัวคนทำภารกิจเอาไว้แล้ว ไม่ควรจะเรียกทุกคนมาตั้งแต่แรกสิครับ!” ริกกี้ผู้หงุดหงิด กัดฟันแน่น
“แหม~ ก็มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นไง” ขุนพลยังยิ้มให้ลูกน้องตนอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีเสียงตะโกนต่อว่าตัวเองตามมาจากหลายที่
“ผมกลับห้องก่อนนะครับ” แต่อาโรว์กลับนิ่ง และลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ
“เฮ้อ~ ถ้าไม่เจอ ฉันจะพาไปเจอให้มันจบ ๆ รำคาญชะมัดเลยวุ้ย!” ขุนพลส่ายหัวกับความดื้อของลูกน้อง เพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กหรือเปล่า ถึงได้ห่วงเขาขนาดนี้
แต่ว่า...
“ฉันไปด้วยดีกว่า” ดูจากความหงุดหงิดเพราะโดนปลุกกลางดึกของลูกน้องแล้ว ถ้าไม่รีบหนีคงมีอะไรลอยมาทางตนสักชิ้นสองชิ้นแน่
“ลูกพี่ขุน!!!!”