เสียงนกร้องในยามเช้าปลุกโฉมงามสกุลหลี่ให้ตื่นขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจนัก หลายวันมานี้นางเหนื่อยน้อยลงมาก เนื่องจากอาเหยียนและเพื่อนร่วมงานยืนยันหนักแน่นว่าจะมิยอมให้สาวงามประจำแปลงผัก ต้องสัมผัสกับสิ่งใดก็ตามที่จะทำให้แผลบนมือบอบบางนั้นหายช้ากว่าที่ควรจะเป็น นางจึงรับหน้าที่ตรวจสอบของที่มาส่งแทนหัวหน้าคนสวน และลงบันทึกอุปกรณ์ในการทำสวน ยามถูกเบิกใช้และนำมาส่งคืนหลังเลิกงานในตอนเย็น
ความจริงนางอยากจะสนทนากับคุณชายสักหลายคำ ทว่าหลายวันที่ผ่านมาเขากลับซ่อนตัวอยู่แต่ในบ้าน และพอสอบถามจากอาเหยียนก็ได้ทราบความว่า คุณชายมิค่อยถูกกับอากาศร้อน เขาจึงต้องขังตัวเองอยู่ในบ้าน เพื่อให้รอดพ้นจากดวงตะวัน และหากวันใดท้องฟ้ามีเมฆมาก คนงานในสวนก็คงจะได้เห็นหน้าคุณชายเจ้าของแปลงผักหลวงอีกครั้ง
นั่นคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้หลี่ซินเหมยต้องเปิดหน้าต่าง เพื่อมองดูกลุ่มก้อนเมฆเป็นสิ่งแรก หลังจากตื่นนอนในช่วงเช้า และวันนี้คือวันแรกที่นางเผยรอยยิ้มน้อย ๆ ออกมา
ดวงตะวันบนท้องฟ้าไม่เจิดจ้าอย่างที่เคย...
มือเรียวของนางไม่ปรากฏแผลพุพองจากการทำงานอีก ต้องขอบคุณเพื่อนร่วมงานและตำรายาชั้นดีของท่านพ่อที่นางสู้อดทนแบกมาด้วยหลายหีบ
หลังจากหยิบจับตำราอยู่สองสามเล่ม หลี่ซินเหมยก็พบบันทึกเทียบยาชั้นดี สำหรับการรักษาแผลตุ่มน้ำพองใส นางมีความสามารถในการผสมยาอยู่บ้าง จึงใช้เวลาไม่นานก็ได้ยาที่มีประสิทธิภาพดีมารักษาแผลของตน
“เหตุใดวันนี้ซินเหมยจึงรีบออกจากบ้านนัก”
ท่านย่าหลี่ฉินเหยาตื่นเช้ากว่าปกติ สอบถามเอาความจากหลานสาวยอดกตัญญูที่กำลังเตรียมตัวจะออกจากบ้าน
“หลานว่าจะไปดูพื้นที่ที่จะใช้ปลูกสมุนไพรเจ้าค่ะ”
หลี่ซินเหมยไม่ต้องการใช้เวลางานทำเรื่องส่วนตัว จึงแจ้งต่อท่านย่าว่า อาจจะมีหลายวันที่นางต้องกลับบ้านดึกสักหน่อย
“คุณชายโจวอนุญาตให้เจ้าใช้พื้นที่ในแปลงผักทำเรื่องส่วนตัวได้ ซินเหมยต้องสำนึกบุญคุณของครอบครัวนั้นให้มาก ส่วนเรื่องแปลงสมุนไพรที่บ้านเรา ย่าจะคอยกำชับจินอิ๋งให้เอง”
หลี่ฉินเหยาเว้นจังหวะการสนทนา พักหายใจชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะกล่าวสรรเสริญคุณชายโจวเล่อเทียน ทั้งเรื่องที่เมตตารับหลานสาวเข้าทำงานในแปลงผักหลวง และเรื่องที่อนุญาตให้ทำในสิ่งที่นางถนัด
หลี่ซินเหมยปลูกสมุนไพรชนิดใดก็งอกงามดี ความสามารถนี้ไม่ควรถูกละเลย และควรฝึกให้ชำนาญอยู่เสมอ
โฉมงามหนึ่งเดียวของแปลงผักหลวงเข้าใจดีแล้วว่า เหตุใดคุณชายโจวจึงมีนิสัยค่อนข้างประหลาด เรื่องความเจ้าสำอางนั่นอธิบายได้จากความกลัวว่าจะเจ็บป่วย แม้แต่อาเหยียนเองก็มิทราบว่าเขาเคยป่วยด้วยโรคอันใดแน่ ส่วนเรื่องที่พูดจามิค่อยเข้าหูคนในบางครั้ง นั่นเป็นเพราะว่าคุณชาย มิได้เข้าสังคมเฉกเช่นคุณชายอื่น
โจวเล่อเทียนขี้อายอย่างมาก
คุณชายเจ้าสำอางแทนที่ความอายด้วยการกลั่นแกล้งคนที่เข้ามาในชีวิต ทว่าคนที่เขาชอบแกล้งล้วนเป็นคนที่มีนิสัยไม่ค่อยเข้าท่า หรือไม่ก็ชอบทำตัวกร่างในแปลงผักที่ตนมิใช่เจ้าของ
นอกเหนือจากเรื่องชอบแกล้งผู้ที่สวมควรจะถูกแกล้งแล้ว โจวเล่อเทียนนับว่าเป็นผู้ที่มีน้ำใจอย่างมาก
เรื่องที่คุณชายห้ามให้บิดามิไล่คนสวนออกจนหมด นั่นก็พิสูจน์น้ำใจของเขาได้เป็นอย่างดี
‘คุณชายฉลาดเรื่องการทำสวนอย่างมาก เขาอยู่ตามลำพังผู้เดียวตลอดสิบแปดปี จึงกลายเป็นคนช่างสังเกต หากมีสิ่งใดเก็บไว้ไม่เรียบร้อยในช่วงเย็น ยามเช้าก็จะถูกนำกลับไปวางที่เดิม มิอยู่เกะกะขวางตาผู้ใดอีก’
อาเหยียนจึงย้ำเตือนให้คนงานในสวน เก็บทุกอย่างหลังจากทำงานแล้วเสร็จอยู่เสมอ เพราะเขาพอจะเดาได้ว่า ผู้ใดลอบออกมาตรวจตราแปลงผักหลวงในยามค่ำคืน
‘มิใช่กระต่ายแน่ ๆ ที่เก็บเสียมและคราดเข้าโรงเก็บของ’
หลี่ซินเหมยยังจำคำพูดติดตลกนั้นได้ ทว่าสีหน้าของคนพูดกลับไม่ตลกตามเลยแม้แต่น้อย
อาเหยียนอยากจะทำตัวให้สมกับเป็นสหายของคุณชายดังเดิม ทว่านายท่านโจวหงเหลียงกล่าวชัดเจนว่าจะมิยอมให้เขาทำเช่นนั้นอีก นายท่านอ้างเอาเรื่องความเหมาะสมว่าลูกจ้างไม่สมควรตีตนเสมอนาย และหากทำตามคำสั่งไม่ได้ อาเหยียนก็จะถูกส่งกลับไปดูแลแปลงผักที่ต่างเมืองดังเดิม
อาเหยียนจึงทำได้เพียงแค่มองดูอยู่ห่าง ๆ และสนทนากันเท่าที่จำเป็น
‘หากเจ้าไม่ชอบที่คุณชายชอบพูดจาเอาแต่ใจก็ไม่เป็นไร แต่โปรดรู้เอาไว้เถิดว่าคุณชายมิใช่คนไม่ดี ส่วนเรื่องที่ทำให้เขาดูเจ้าสำอางไปบ้าง นั่นก็เพราะในวัยเด็กร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงนัก ส่วนเรื่องของเสี่ยวถิง นางคือสาวใช้ของคุณหนูสกุลหวัง หากเดามิผิดก็คงถูกส่งมาควบคุมดูแล และคอยรายงานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับคุณชายให้เจ้านายได้รับทราบ’
หากหลี่ซินเหมยถูกจับตามอง ไร้ซึ่งอิสรภาพเช่นคุณชายโจว นางก็มิแน่ใจนักว่าจะทนไหว
คุณหนูตกอับรีบเดินทางไปยังแปลงผักสกุลโจวตั้งแต่เช้า ปรากฏว่ายังไม่มีผู้ใดมาถึงเลยสักคน นางเปิดประตูรั้วและตรงไปยังพื้นที่แห้งแข็งที่ได้รับอนุญาตให้ทำการปลูกสมุนไพร จึงเห็นชัดพื้นดินบริเวณนั้นชุ่มฉ่ำอยู่ประมาณหนึ่ง ราวกับว่ามีคนช่วยรดน้ำเพื่อให้ง่ายต่อการฟื้นดิน
ว่าแต่ใครกันเล่าที่ทำเช่นนั้น นี่มันยังเช้าอยู่เลยมิใช่หรือ
นางราดน้ำเพิ่มอีกราวสามถัง ทว่ายังมิทันได้จัดการกับถังที่สี่ก็ล้มคว่ำเสียก่อน หลี่ซินเหมยได้ยินเสียงหัวเราะของอาเหยียนดังมาจากเบื้องหลัง และนั่นทำให้นางเผลอตัวหัวเราะออกมาด้วยอีกคน
แรก ๆ อาเหยียนก็รีบวิ่งมาช่วยนางอยู่หรอก แต่พอหกล้มบ่อยครั้งเข้า เขาก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะดังลั่นแทน และปล่อยให้หลี่ซินเหมยจอมซุ่มซ่ามคอยช่วยเหลือตัวเอง อาเหยียนพยายามนับดูว่าวันหนึ่งนางลื่นล้มกี่ครั้ง ทว่าพอนับได้ถึงห้าก่อนตะวันจะตรงศีรษะ เขาก็เบื่อที่จะนับเสียแล้ว แต่กระนั้นใบหน้าที่เปื้อนดินเปื้อนโคลนอยู่เสมอก็มิเคยทำให้คนมองหยุดหัวเราะได้สักที
“หนึ่งครั้งแล้ว ยังมิทันถึงเวลาเริ่มงานก็ร่วงลงไปหนึ่งครั้งแล้ว” อาเหยียนส่ายหน้า
เขาเดินตรงไปยังตัวบ้าน ก่อนจะรับกระดาษแผ่นเล็ก ๆ จากคุณชายโจวที่โผล่ออกมาเพียงครึ่งตัว ปรากฏว่าเป็นรายการพืชผักที่ต้องเก็บเกี่ยว และส่งเข้าเมืองหลวงก่อนช่วงบ่าย หลังจากกวาดตามองเพียงชั่วขณะ อาเหยียนก็สรุปได้ว่าทุกอย่างไม่น่าจะมีปัญหา เขาจึงแจกงานให้กับคนสวนที่เพิ่งจะมาถึงอย่างรวดเร็ว
แปลงผักแต่ละประเภทจะได้รับการดูแลโดยคนสวนอย่างต่ำสองคน เพื่อช่วยกันตรวจสอบหากมีข้อผิดพลาด และหากผลิตผลประเภทใดที่ต้องการเป็นจำนวนมาก อาเหยียนก็จัดแบ่งคนสวนสามคนไปดูแล
“เลือกผลที่งามที่สุด หากงามน้อยลงมาก็ให้คัดเอาไปไว้วางขายที่ตลาดในช่วงเย็น”
“เหตุใดจึงกะทันหันนักเล่าพี่เหยียน” หนึ่งในคนสวนสอบถาม ก่อนจะพันผ้าโดยรอบศีรษะ เตรียมตัวทำงานกลางแจ้ง
“คำสั่งมาช้ากระมัง” อาเหยียนสั่งให้คนสวนอีกสองคนจัดการเก็บเกี่ยวฟักทอง
“หรือไม่ก็เป็นคุณชายโจวเจ้าสำอางที่ทำงานเชื่องช้า”
เจ้าคนสวนตัวเล็กที่สุดยังคงปากดีไม่เปลี่ยน ทว่าก็หน้าซีดเงียบเสียง ทันทีที่ได้รับคำสั่งให้ไปเก็บพริกสดกับสหายอีกสองคน
“แล้วข้าล่ะพี่เหยียน จะให้ข้าทำอันใดได้บ้าง” หลี่ซินเหมยรีบแจ้ง เพราะเห็นว่าตนยังไม่ได้รับมอบหมายงาน
“ซินเหมยจะต้องเหนื่อยมากหน่อย เจ้าต้องวิ่งวุ่นไปทั่วทุกแปลง สังเกตดูว่าผักแต่ละประเภทจะต้องทำการเก็บเกี่ยวอย่างไรบ้าง และลักษณะใดจึงจะนับว่าเป็นลักษณะที่ดีที่สุดของพืชผักประเภทนั้น ๆ”
อาเหยียนบอกว่าวันนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่ลูกจ้างคนใหม่จะได้เรียนรู้งาน หากมีเรื่องใดสงสัยก็ให้สอบถามจากผู้ที่รับผิดชอบในการเก็บเกี่ยวแปลงผักนั้น ๆ เสียให้เข้าใจกระจ่าง
“ข้าจะตั้งใจเรียนรู้งาน ไม่ทำให้พี่เหยียนต้องผิดหวัง”
นางเผยรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่ง ก่อนจะเคลื่อนย้ายตัวจากแปลงผักหนึ่งไปยังอีกแปลงผักหนึ่ง และระหว่างนั้นก็ลื่นล้มไถลตัวไปตามเรื่อง สร้างสีสันและเสียงหัวเราะให้กับเหล่าคนสวนที่กำลังทำงานอย่างขะมักเขม้นได้อยู่เรื่อย ๆ