เสียงนกร้องในยามเช้าดังลอดเข้ามายังห้องนอนของม่านไหม เธอเดินเข้าไปใกล้หน้าต่างและค่อยๆ จับผ้าม่านเปิดออก ทำให้มองเห็นเจ้านกหลากหลายตัวกำลังเกาะหาอาหารกินอยู่บนกิ่งไม้ริมหน้าต่างห้องนอนของเธอและเมื่อเธอเปิดหน้าต่างออกเจ้านกเหล่านั้นก็รีบบินไปจับยังกิ่งไม้ใกล้ๆ นั้นแทน
“อากาศดีจังวันนี้ เหมาะกับการนอนมากกว่าทำงานมั้ยเนี่ย”
พูดจบเธอก็เดินกลับมานั่งที่โต๊ะทำงาน นิยายของเธอเขียนไปได้หลายตอนแล้วและสองสามวันมานี้เธอเองก็ไม่ได้ฝันถึงคุณวาดจันทร์เหมือนอย่างเคย ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะคิดถึง ม่านไหมเก็บกระเป๋าเดินทางเตรียมไว้หมดแล้ววันนี้ช่วงบ่ายเทวินทร์จะมารับเธอไปที่เรียนไทยเพื่อเตรียมตัวจัดงานเลี้ยงศิษย์เก่าและอาจจะต้องพักอยู่ที่นั่นเป็นอาทิตย์ด้วยงานเลี้ยงจะเกิดขึ้นวันอาทิตย์นี้แล้ว เธอจำเป็นจะต้องเนรมิตงานเลี้ยงให้เสร็จเรียบร้อยภายใน 6 วันซึ่งค่อนข้างหนักสำหรับเธอมาก
“ม่านไหม พี่เทวินทร์มารอแล้วนะลูก จัดกระเป๋าเสร็จรึยังจ๊ะ”
“ทำไมมาเร็วจัง ไหนบอกไหมว่าจะมารับตอนบ่าย”
“แม่ให้พี่เขารออยู่ที่เรือนใหญ่ เสร็จแล้วหนูก็รีบตามมานะลูก”
“ค่ะแม่ ไหมขอเก็บของส่วนตัวก่อนนะคะ”
คุณแม่เดินออกจากห้องไป ส่วนม่านไหมก็รีบหยิบโน๊ตบุ๊คและของใช้ที่จำเป็นลงกระเป๋าใบเล็กเพิ่มอีก 2 ใบ พลางลากกระเป๋าเดินทางด้วยความทุลักทุเลไปที่เรือนใหญ่
เทวินทร์กำลังเดินถือแก้วกาแฟชมรูปถ่ายวัยเด็กของเขา ทิวาและม่านไหม ในรูปเด็กๆ ทั้งสามคนเล่นกันด้วยความสนุกสนาน ไปเที่ยวกันในหลายๆ สถานที่แต่ในทุกๆ รูปที่เห็นได้ชัดคือ จะมีทิวาที่ถ่ายรูปแนบชิดกับม่านไหมในขณะที่เทวินทร์จะยืนมองม่านไหมด้วยใบหน้าเรียบเฉยอยู่ห่างๆ
“สมัยเด็กๆ วินทร์ดูไม่ค่อยชอบถ่ายรูปนะลูก ถ่ายติดมาทุกทีก็ยืนหน้านิ่งแทบทุกรูป”
“ก็ตอนนั้นผมไม่น่ารักเลยนี่ครับ แถมฟันหล๋อด้วย ฮ่าๆๆๆ”
“แต่พอเป็นหนุ่มก็หล่อมากจนสาวๆ ติดตรึมสินะ ป้าพอจะรู้”
“ที่ไหนกันล่ะครับ ไม่มีใครสนใจเลยมากกว่า ฮ่าๆๆ”
เทวินทร์วางแก้วกาแฟลงก่อนจะเดินไปกอดคุณแม่ของม่านไหมด้วยความสนิทสนม คุณแม่ของม่านไหมแทบจะเป็นแม่นมของทั้งทิวาและเทวินทร์ เหตุเพราะหลังจากคลอดทิวากับเทวินทร์มาได้ไม่นานคุณแม่ของทั้งสองคนก็ป่วยกระเสาะกระแสะตลอดทำให้คุณย่าต้องหาพี่เลี้ยงมาช่วยดูแลทั้งคู่ คุณแม่ของม่านไหมจึงดูแลทั้งสองคนมาตั้งแต่ยังแบเบาะจนกระทั่งมีม่านไหมก็เลยเลี้ยงด้วยกันมาสามคน
จนอายุของทิวาและเทวินทร์ได้ย่างเข้า 3 ขวบต้องเตรียมเข้าโรงเรียนแล้ว คุณย่าจึงมาทั้งคู่กลับไปเลี้ยงที่บ้านของคุณย่าอีกทั้งคุณแม่ของทิวาและเทวินทร์ก็กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมจึงสามารถกลับมาเลี้ยงดูลูกชายทั้งสองได้ด้วยตนเอง สำหรับคุณแม่แล้ว เทวินทร์เป็นลูกชายคนโปรดของเธอเพราะด้วยความทะเล้นขี้เล่น ชอบแกล้งชอบแหย่ของเทวินทร์ทำให้เธอมีรอยยิ้มได้ตลอดเวลา ตอนเด็กๆ เทวินทร์แทบจะโดนเธอดุตลอดเวลาต่างกับทิวาที่แสนน่ารัก เรียบร้อย สุภาพดูโตเกินเด็กและสำรวมตลอดเวลา สำหรับเธอแล้วทั้งทิวาและเทวินทร์ก็เปรียบเสมือนลูกชายแท้ๆ ของเธอทั้งสองคน
“อ้อนอะไรคุณแม่อีกล่ะพี่วินทร์ นั่นแม่ไหมนะไม่ใช่แม่พี่”
“แม่ไหมที่ไหน นี่แม่พี่...แม่เขาเลี้ยงพี่มาก่อนไหมอีก”
“เอาอีกละ 2 คนนี้ โตกันขนาดนี้ยังจะแย่งแม่กันอีก”
คุณแม่หัวเราะพลางตีแขนเทวินทร์เบาๆ ที่ชอบแหย่ม่านไหมตลอด ม่านไหมทำหน้างอ เชิดใส่เทวินทร์ไปหนึ่งทีและรีบเดินเอากระเป๋ากับของต่างๆ ไปขึ้นรถ เก็บข้าวของเข้ารถเรียบร้อยก็ยังไม่มีทีท่าว่าเทวินทร์จะเดินตามออกมา เธอจึงเดินตามเข้าไปดูก็เห็นเทวินทร์กำลังนั่งคุยกับคุณแม่อยู่
“พี่วินทร์จะไปรึยัง”
“แปบนึงนะ พี่ขอเอาของฝากจากสวิตเซอร์แลนด์ให้คุณป้าก่อน” เทวินทร์พูดพลางหยิบช็อคโกแลตของฝากขึ้นชื่อของเมืองสวิตเซอร์แลนด์ให้คุณแม่ ม่านไหมมองของฝากแล้วก็แอบกัดขึ้นมาเบาๆ
“ไปตั้งไกล ของฝากได้กลับมาแค่นี้เหรอคะ”
คุณแม่หันขวับกลับมามองม่านไหมพลางทำสายตาเป็นเชิงปรามเบาๆๆ ม่านไหมกลั้นขำไว้แทบไม่อยู่ที่ทำให้เทวินทร์รู้สึกเสียหน้าได้ เทวินทร์หันมามองม่านไหมก่อนจะยิ้มแหยๆ พร้อมกันนั้นก็ยกมือไหว้คุณแม่เป็นเชิงกล่าวลา
รถค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากบ้านของม่านไหมช้าๆ เสียงเตือนให้รัดเข็มขัดดังไปทั่วรถจนฟังดูน่ารำคาญ ม่านไหมเองก็เหมือนจะไม่ได้สนใจเสียงนั้นเลย เอาแต่เสิร์ชหารูปแบบการจัดงานในมือถืออย่างใจจดใจจ่อ จนในที่สุดเทวินทร์ก็ทนไม่ไหวเหยียบเบรกและจอดรถที่ข้างทางทันที
“อ้าว จอดทำไมอ่าคะพี่วินทร์”
ม่านไหมยังไม่ทันพูดจบก็รู้สึกเหมือนอะไรแวบๆ ผ่านหน้าไป ร่างของชายหนุ่มที่เอื้อมมือไปคว้าสายรัดเข็มขัดทับอยู่บนตัวเธอก่อนที่ทั้งสองจะหันมาประจันหน้ากัน เหมือนโลกหยุดหมุนใบหน้าของม่านไหมและเทวินทร์อยู่ห่างกันไม่ถึงฝ่ามือจนสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย ม่านไหมตัวแข็งทื่อจ้องมองดวงตาสีเหล็กคู่นั้นอย่างประหม่า ใบหน้าของเทวินทร์ขยับเข้ามาใกล้หน้าของเธอ อีกแค่นิดเดียวจมูกของทั้งสองก็แตะกันลมหายใจอุ่นๆ ของทั้งคู่ทำให้ม่านไหมรู้สึกปั่นป่วยในใจ เธอแทบควบคุมสติไม่อยู่พยายามจะขยับเพื่อจะผลักร่างตรงหน้านั้นออกไปแต่ก็เหมือนถูกแววตาคู่นั้นสะกดไว้จนไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะต่อกร
‘จำพี่ได้หรือไม่ พี่กลับตามสัญญาแล้วหนา’
เสียงหนึ่งที่คุ้นเคยดังเข้ามาในหัวของม่านไหม เธอเหมือนได้สติและผลักแขนเทวินทร์เบาๆ เป็นเชิงให้ถอยออกไป เทวินทร์เองก็เหมือนเพิ่งรู้สึกตัวว่าอยู่ใกล้กันเกินไปแล้ว จึงผละออกและรีบเอื้อมมือเอาสายเข็มขัดไปกดล็อคจากนั้นก็หันกลับมาออกรถทันที บรรยากาศในรถเต็มไปด้วยความเงียบ ม่านไหมนึกถึงเสียงแว่วที่ได้ยินนั้นพลางครุ่นคิดถึงเสียงนั้นตลอดทาง
รถเดินทางเข้าสู่ถนนสายที่จะมุ่งตรงเข้าเขตบางปะอิน ม่านไหมรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี เธอกุมแหวนทับทิมโบราณไว้แน่นตั้งแต่ได้ยินเสียงนั้นดังขึ้นมาในหัว เธอนั่งเงียบจนเทวินทร์หันกลับมามองเธอหลายต่อหลายครั้งเธอก็ไม่รู้ตัวว่าถูกมองอยู่
“พี่วินทร์จะว่าอะไรไหมรึเปล่า คือถ้าเรายังพอมีเวลา ไหมอยากไปตัวเมืองอยุธยาน่ะค่ะ”
“ไหมอยากไปไหว้พระเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ ไหมรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
“เรื่องเมื่อกี้ใช่มั้ย พี่ขอโทษนะคะ พี่แค่จะคาดเข็มขัดให้”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ ไหมแค่อยากไปทำบุญน่ะค่ะ”
เทวินทร์อมยิ้มนิดๆ และพยักหน้า ก่อนจะออกรถและขับเข้าตัวเมืองทันที ม่านไหมขอให้เทวินทร์ช่วยพาไปที่วัดใหญ่ชัยมงคลก่อนเป็นที่แรก แต่ด้วยเดินทางไปถึงก็เที่ยงแล้วเทวินทร์จึงหาที่ทานข้าวกลางวันกันก่อน เทวินทร์จอดรถตรงร้านขายก๋วยเตี๋ยวเรือใกล้ๆ วัด ก่อนจะพาม่านไหมลงจากรถและเริ่มสั่งอาหารกัน
ในระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารนั้น บรรยากาศบริเวณนั้นจากที่ร้อนอบอ้าว ก็เย็นขึ้นจนผิดหูผิดตามีลมเย็นพัดมาเบาๆ ฟ้ามืดครึ้มและฝนก็เริ่มลงเม็ดปรอยๆ ทั้งที่เป็นหน้าร้อนแท้ๆ โต๊ะที่ม่านไหมกับเทวินทร์นั่งนั้นหันหน้าเข้าไปทางหน้าวัดใหญ่ชัยมงคล ในจังหวะที่ฝนกำลังตกลงมาปรอยๆ ม่านไหมที่กำลังรับประทานก๋วยเตี๋ยวอยู่ก็เงยหน้าขึ้นสายตาของเธอจับภาพของร่างของหญิงสาวที่คุ้นเคยได้ ชุดสไบสีกรีบบัวพริ้วไสวไปตามแรงลมราวกับเวลาได้หยุดลงชั่วขณะคุณวาดจันทร์ยืนมองเธออยู่ตรงหน้าทางเข้าวัด ใบหน้าของเธอนั้นเรียบเฉยและดูเย็นชาอย่างมาก
“คุณวาดจันทร์!!!”
ม่านไหมพูดจบก็ผุดลุกขึ้นและรีบวิ่งข้ามถนนไปหาคุณวาดจันทร์ทันที ร่างนั้นหันหลังใส่เธอและเดินหายเข้าไปวัด เธอเห็นดังนั้นก็รีบเร่งฝีเท้าและพยายามเดินให้ทันคุณวาดจันทร์ที่เดินนำเข้าไปไปก่อน แต่เดินตามยังไงก็ไม่ทันเสียทีเห็นแต่เพียงชายสไบสีกรีบบัวที่พลิ้วไสวไปมาตามแรงลม ม่านไหมออกเดินจนเริ่มเหนื่อยรู้สึกตัวอีกทีก็เดินเข้ามาถึงลานวัดที่มีต้นไทรหลายๆ ต้นเรียงรายอยู่
บรรยากาศในตอนนั้นเงียบสงัดฝนยังคงตกปรอยๆ ไม่หยุด ท้องฟ้ามืดครึ้มมีลมเย็นๆ มาปะทะใบหน้าของเธอตลอดเวลา ไม่มีใครเดินอยู่ในเขตบริเวณวัดนั้นเลยไม่เหมือนทุกทีที่เธอเคยมาที่จะมีคนมาไหว้พระขอพรกันอย่างเนืองแน่น เธอพยายามมองหาคุณวาดจันทร์ที่เดินหายเข้ามาตรงลานวัดแห่งนี้แต่ก็ไม่พบใครเลย
“พี่ขอให้สัตย์สาบานต่อหน้าฟ้าดินช่วยเป็นพยาน ว่าพี่จะรักและภักดีต่อแม่วาดจันทร์เพียงผู้เดียว หากแม้นพี่ผิดสัจจะผิดคำสาบานนี้ให้ไว้แล้วไซร้ ขอให้พี่มีอันเป็นไป ต้องเจ็บปวดทรมาน ต้องพลาดรักจากแม่วาดจันทร์ทุกภพทุกชาติไปเทอญ”
ม่านไหมหันตามเสียงที่คุ้นเคยนั้น ใต้ต้นใหญ่ขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้กับโบสถ์ของวัดมีร่างของหญิงสาวสวมชุดสไบสีกรีบบัวนั่งพับเพียบเคียงข้างกับร่างของชายหนุ่มที่ใส่ชุดทหารสมัยกรุงศรีอยุธยา ทั้งคู่พนมมือไหว้อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่เมื่อชายหนุ่มกล่าวคำสัตย์สาบานจบก็มีลมพัดมาปะทะร่างของทั้งคู่อย่างแรงจนร่างของหญิงสาวเสียหลักคล้ายจะล้ม ปรากฏใบหน้าที่คุ้นเคยของคุณเทพที่หันกลับมาคว้าร่างบางระหงนั้นไว้อย่างถนอม
“คุณวาดจันทร์กับคุณเทพเหรอ!!!”
ภาพตรงหน้าของม่านไหมค่อยๆ จางหายไป แสงแดดค่อยๆ สาดแสงมาทั่วบริเวณ ม่านไหมรู้สึกตัวอีกทีก็มีผู้คนเดินไปมาอยู่รอบตัวเธอให้ขวักไขว่ บริเวณวัดหน้าโบสถ์นั้นมีแต่ผู้คนกราบไหว้พระประธานองค์ใหญ่กันไม่ขาดสาย จากบรรยากาศฝนตกเย็นๆ กลายเป็นอากาศสดใสแดดสว่างจ้าจนเริ่มร้อนอบอ้าว ม่านไหมหันไปมองต้นไทรที่เธอเห็นคุณเทพกับคุณวาดจันทร์อีกครั้ง แต่ต้นไทรต้นนั้นได้หายไปเสียแล้วเหลือเพียงลานกว้างที่ปูด้วยสนามหญ้าเขียวชอุ่ม
“ขอโทษนะคะ ข้างโบสถ์ตรงนั้นเคยมีต้นไทรต้นใหญ่อยู่ไหมคะ”
“ไม่มีนะคะ ป้าเข้ามาขายของที่นี่ตรงนั้นก็เป็นลานกว้างมาแต่แรกแล้ว”
“คุณป้ามาขายของที่นี่กี่ปีแล้วคะ”
“ไม่กี่ปีเองค่ะ ถ้าจะถามนานกว่านั้นคงต้องถามหลวงตาท่านเลยค่ะ เพราะท่านอยู่วัดนี้มาหลายปีแล้ว”
คุณป้าพูดจบก็ชี้นิ้วไปที่ศาลาถวายสังฆทาน ม่านไหมหันไปขอบคุณคุณป้าและกำลังจะเดินต่อไปที่ศาลาวัดแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อถูกคว้าแขนไว้ ม่านไหมหันไปดูจึงเห็นว่าเป็นเทวินทร์ที่จับแขนเธอไว้ เขากำลังยืนหอบอยู่ เหงื่อไหลโทรมกาย เทวินทร์จับแขนม่านไหมไว้แน่นเหมือนกลัวจะหลุดจากมือของเขาไปอีก
“ไหมหายไปไหนมา รู้ไหมพี่ตกใจแค่ไหน อยู่ๆ ไหมก็วิ่งข้ามถนนมาเกือบโดนรถชน พี่วิ่งตามมาก็หาไหมไม่เจอ”
“คือไหม ไหมขอโทษค่ะ พี่วินทร์นั่งพักก่อนนะคะเดี๋ยวไหมไปซื้อน้ำให้”
“ไม่ต้องละ พี่ยอมเหนื่อยตายดีกว่าถ้าจะปล่อยให้ไหมหายไปอีก นั่งกับพี่ตรงนี้ก่อน”
ม่านไหมพาเทวินทร์มานั่งใต้ต้นไม้แล้วหยิบทิชชู่ในกระเป๋าถือของเธอเช็ดเหงื่อให้เขาอย่างเบามือ แววตาสีเหล็กจ้องมองเธอด้วยความเป็นห่วงระคนกังวล วินาทีที่เทวินทร์หันมาเห็นม่านไหมวิ่งข้ามถนนไปจนเกือบถูกรถชนใจเขาแทบจะขาด เขาวางตังไว้ให้คนขายแล้วก็วิ่งตามเธอไปทันทีแบบไม่คิดชีวิต แต่พอเขาวิ่งถึงเขตกำแพงวัดทั้งที่เขาเองก็วิ่งตามเธอมาติดๆ แต่เธอกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาวิ่งตามหาเธอจนทั่ว ถามใครต่อใครก็ไม่มีใครเห็นเธอเลยในใจของเขาตอนนั้นรู้สึกว่า ควรจะมาหาเธอแถวพระประธานใกล้ๆ โบสถ์ซึ่งเขาก็เดินหาอยู่หลายรอบข้างๆ โบสถ์ก็ไม่เห็นเธอ จนมีลมจากไหนไม่รู้พัดมาอย่างรุนแรงจนเขาต้องเอามือขึ้นบังสายตาพอลืมตาขึ้นอีกทีก็เห็นเธอยืนคุยกับคุณป้าร้านขายของจึงรีบวิ่งมาคว้าตัวไว้
“พี่วินทร์ดีขึ้นรึยังคะ”
“ไหมอย่าหายไปแบบนี้อีกนะ ถ้าพี่ต้องเสียไหมไปพี่คงอยู่ไม่ได้”
“หมายความว่ายังไงคะ”
“ก็คุณป้าคงฆ่าพี่แน่ ที่ทำลูกสาวคุณป้าหายไปอ่า”
“อ้อ นึกว่าห่วงไหม ที่แท้ก็กลัวคุณแม่ดุนี่เอง”
“ใช่สิ ก็ไหมมีพี่ทิวาห่วงอยู่แล้ว พี่ห่วงไปก็คงไม่สำคัญเท่าหรอก”
“ค่ะ พี่ทิวารักและห่วงไหมมากๆ พี่ก็ควรดูแลไหมดีๆ นะคะตามที่พี่รับปากพี่ทิวาไว้”
ม่านไหมสะบัดข้อมือออกจากเทวินทร์ แล้วเดินไปตรงศาลาถวายสังฆทานซึ่งมีหลวงตานั่งรับสังฆทานอยู่ ม่านไหมเข้าไปกราบหลวงตาแล้วหยิบสังฆทานมา 1 ชุดใส่ปัจจุยลงซองพร้อมด้วยสาธุถวาย เทวินทร์ตามมาสมทบที่ด้านหลังและช่วยม่านไหมยกประเคนถวายพร้อมกัน
หลวงตาจ้องมองมายังเขาทั้งคู่ด้วยสายตากังวลใจ ในจังหวะที่ทั้งคู่ถวายสังฆทานนั้นหลวงตาก็เห็นแหวนทับทิมโบราณนั้นกลายเป็นสีแดงเลือด เมื่อทั้งคู่ถวายสังฆทานเสร็จหลวงตาก็สวดบทกรวดน้ำให้และพรมน้ำมนต์ให้ทั้งคู่จนเย็นชุ่มฉ่ำ เมื่อพิธีเสร็จสิ้นม่านไหมกำลังจะเอ่ยถามเรื่องต้นไทรที่เธอเห็น แต่หลวงตาก็พูดขึ้นเสียก่อน
“มนุษย์เราเวียนว่ายตายเกิดมาหลายชาติเหลือเกินนะโยมอาจจะมีหลายภพชาติที่ได้ให้สัจวาจากันไว้ แต่เมื่อต่างมาเกิดใหม่กันแล้วก็อย่าได้ผูกโซ่ผูกบ่วงกรรมต่อกันด้วยคำสัญญาเก่าๆ อีกเลย อโหสิกรรมต่อกันเสียอาจจะต่อบุญให้ได้เคียงคู่กันในชาตินี้นะโยม”
“สาธุเจ้าค่ะ หลวงตาเจ้าคะ ไหมจะรบกวนถามเรื่อง...”
“เขาเคยอยู่ตรงที่โยมเห็นนั่นล่ะ แต่ก็ผุพังโค่นไปตามกาลเวลา โยมเองก็ละวางเสียบ้างได้แล้วจะได้พบสุขในพบชาตินี้เสียที...มีเพียงบุญเท่านั้นที่จะก่อสุขให้โยมได้ อดีตแก้ไขไม่ได้แต่โยมสร้างปัจจุบันใหม่ได้เริ่มตั้งแต่วันนี้นะโยม”
“เจ้าค่ะหลวงตา”
ม่านไหมทำสีหน้าตกใจเล็กน้อยที่ตัวเองยังไม่ทันพูดจบ หลวงตาก็ตอบคำถามที่เธอสงสัยเสียแล้วหากแต่คำสอนที่หลวงตาพูดกลับทำให้เธอสงสัยหนักขึ้นกว่าเดิม สิ่งที่เธอถามหลวงตาไปนั้นเป็นเรื่องของคุณวาดจันทร์และคุณเทพ แต่ทำไมหลวงตาถึงสอนให้เธอให้อภัยและปล่อยวางอดีตกันนะ