ม่านไหมยืนหันรี้หันขวางมองดูรอบบริเวณริมท่าน้ำนั้นด้วยความตกใจ ภาพตรงหน้าทำให้ใจเธอเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ต้นหญ้าริมน้ำทุกอย่างคล้ายคลึงกับความฝันของเธอเมื่อคืนราวกับเป็นสถานที่เดียวกัน เพื่อความแน่ใจม่านไหมหันกลับไปมองยังจุดที่เธอเห็นคุณวาดจันทร์ยืนแอบมองคุณเทพอยู่ในความฝัน และก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเห็นต้นตะแบกนั้นยืนต้นใหญ่โตอยู่ตรงหน้าของเธอนั่นเอง
“มายืนทำอะไรตรงนี้ครับ ชานเรือนแก้วอยู่ด้านโน้น” เสียงหนึ่งปลุกเธอขึ้นจากภวังค์ ม่านไหมหันตามเสียงนั้นไปทันที
“คุณเทพเหรอคะ”
“คุณเทพเหรอ…ไหมพูดถึงใครเหรอครับ” เทวินทร์ทำหน้าฉงนสงสัยที่ได้ยินม่านไหมขานชื่อใครสักคนที่เขาไม่รู้จัก
“ขอโทษค่ะพี่วินทร์ พอดีไหมเห็นตรงนี้สวยดีเลยมายืนเก็บบรรยากาศไว้เขียนลงนิยายเล่มใหม่ของไหมน่ะค่ะ”
“อ้อ ถ้าพี่ทายไม่ผิด...คุณเทพคงเป็นพระเอกของเรื่องสินะ”
“ป่าวหรอกค่ะ ดูท่าจะเป็นพระรองซ๊ะมากกว่า”
“ไปทานข้าวกันเถอะครับ พี่เห็นนานแล้วยังไม่มาเลยเดินมาตาม”
ม่านไหมเดินตามเทวินทร์ไปที่ชานเรือนแก้ว ในห้องนั้นเป็นกระจกคลุมอยู่รอบตัวเรือนจนดูเป็นเหมือนห้องกระจกใสในเรือนไทย เมื่อเดินเข้าไปภายในตัวเรือนบรรยากาศตรงหน้าจะเป็นวิวของริมแม่น้ำที่ปลูกบัวบานสีชมพูไว้จนเต็มสระ เดินออกไปอีกนิดจะมีห้องเล็กๆ ที่เชื่อมต่อไปยังสะพานซึ่งทอดยาวเข้าไปกลางในสระบัว ในห้องกระจกนี้ถูกตกแต่งไว้ราวกับยกเอาข้าวของในยุคสมัยอยุธยามาจัดเรียงไว้ให้ชม มีที่นั่งเป็นตั่ง อีกทั้งยังมีหมอนอิงวางไว้อยู่ใกล้ๆ กัน
“รีบมารับประทานเถอะครับคุณม่านไหม อาหารจะเย็นชีดหมดแล้ว” สิ้นเสียงคุณทินกร ม่านไหมก็เดินถึงตั่งที่นั่งพอดี คุณทินกรหันไปสั่งบริกรด้านหลังให้ยกสำรับมาได้เลย
“ที่นี่จัดเป็นห้องอาหารเหรอคะคุณกร สวยมากเลยค่ะ”
“เรือนชานแก้วปกติจะไว้รับรองแขกของคุณย่าพี่น่ะ แต่เดี๋ยววันงานเลี้ยงพี่จะจัดห้องนี้ให้กลายเป็นวังในสมัยอยุธยา”
“สรุปงานศิษย์เก่า ศิษย์เก่าจะจัดงานเองใช่มั้ยคะ ไหมจะได้ถอนตัว”
“ก็ไหมเลือกบ้านพี่ในการจัดงาน พี่ก็เป็นเจ้าของสถานที่ก็ต้องช่วยจัดให้งานออกมาดีที่สุดไหมล่ะครับ”
“จริงๆ วันงานจะมีทีมช่างภาพมาถ่ายทำ พี่วินทร์จะทำโฆษณาเพิ่มก็ได้นะคะ ที่นี่จะได้เป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วย”
เทวินทร์กับคุณทินกรนั่งอมยิ้มเป็นเชิงตอบรับ และบทสนทนาก็เงียบลงทุกคนต่างเพลิดเพลินกับอาหารมื้อเช้าพร้อมกับชื่นชมบรรยากาศสระบัวบานสีชมพูที่เป็นภาพซึ่งหาชมได้ยากมาก
เวลาล่วงเลยไปจนถึงเกือบเที่ยง เสียงรถตู้แล่นเข้าในเขตเรือนบ้านและจอดรออยู่หน้าเรือนไทยหลังใหญ่ ม่านไหมที่กำลังนั่งเล่นอยู่ที่แคร่ใต้ต้นไม้ก็ลุกทันที ลุงนพขับรถมารับเธอแล้วคงถึงเวลาที่เธอจะต้องกลับบ้านแล้ว คุณทินกรเดินลงมาจากเรือนใหญ่พร้อมกับเทวินทร์ โดยในมือของคุณทินกรนั้นได้ถือชะลอมใส่ชมพู่มาด้วย
“ต้นชมพู่หลังเรือนใหญ่เพิ่งจะสุก ผมเลยเก็บใส่ชะลอมมาฝากคุณไหมครับ”
“คุณกรรู้ได้ยังไงคะว่า ไหมชอบทานชมพู่”
“รู้สิครับ ผมรู้มานานแล้ว” พูดจบคุณทินกรก็อมยิ้มพลางถือชะลอมไปให้ลุงนพเก็บขึ้นรถไป เทวินทร์ซึ่งเดินออกไปรับโทรศัพท์เดินกลับมาสมทบพอดี เขาเดินเข้าไปยืนตรงหน้าม่านไหมก่อนจะขยี้หัวน้องสาวคนสนิทอย่างเบามือจนม่านไหมทำหน้าไม่พอใจ
“ขยี้หัวไหมเล่นอีกแล้วนะพี่วินทร์ ไหมบอกแล้วไงว่าไม่ชอบน่ะ”
“แต่พี่ชอบมาก ฮ่าๆๆ จะมาดูสถานที่จัดงานอีกทีเมื่อไหร่คะ”
“คงอาทิตย์หน้าเลยค่ะ เพราะใกล้ถึงวันงานแล้ว อีกไม่กี่วัน”
“ถ้าจะเข้ามาก็บอกพี่นะ จะได้ไปรับมาพร้อมกัน พี่ทิวาคงไม่ว่า”
“ค่ะ พี่ทิวาเขาใจดีมาก ไม่คิดมากเรื่องพวกนี้หรอกค่ะ ไหมกลับก่อนนะคะ ลาค่ะคุณกร”
ม่านไหมพูดจบก็ส่งสายตาไม่พอใจใส่เทวินทร์ แล้วหันหลังเดินขึ้นรถไปทันที รถตู้เคลื่อนตัวออกจากตัวเรือนช้าๆ ม่านไหมหยิบผ้าปิดตาในกระเป๋าออกมาปิดตานอน แล้วก็เผลอหลับไปอย่างรวดเร็ว
ม่านไหมตื่นขึ้นอีกทีก็เห็นว่า ลุงนพขับรถเข้ามาจอดที่หน้าบ้านของเธอแล้ว เธอหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาก็เห็นแชทไลน์ของเทวินทร์ทักเข้ามาถามว่าเธอถึงไหนแล้ว ในจังหวะที่กำลังจะตอบก็มีอีกแชทหนึ่งเด้งเข้ามาก่อน
‘น้องไหมถึงบ้านรึยังครับ พี่รออยู่ที่บ้านนะ’
ทิวาทักเข้ามาพอดีทำให้ม่านไหมค่อนข้างประหลาดใจมาก เพราะหลายวันมาแล้วที่คู่หมั้นของเธอไม่ติดต่อหาเธอเลย ม่านไหมกำลังจะเดินลงจากรถ ทิวาและแม่ของเธอก็เดินออกจากบ้านมายืนรอรับเลยด้วยสีหน้าเบิกบานมากๆ
“ไหมลูก พี่ทิวามารอหนูตั้งแต่เช้าแล้ว”
“เหนื่อยไหมครับน้องไหม คุณแม่บอกพี่ว่าน้องไหมไปดูสถานที่ที่บางปะอินมา ถูกใจไหมครับ”
“สวัสดีค่ะพี่ทิวา ถูกใจค่ะพอดีเรือนไทยที่จะจัดเป็นเรือนของคุณย่าพี่ทิวาน่ะค่ะ”
“เรือนไทยของคุณย่าพี่เหรอ อ๋อ...งั้นน้องไหมก็คงเจอกับคุณทินกรแล้ว”
“ใช่ค่ะ นี่พี่ทิวามาหาไหมถึงบ้าน มีอะไรรึเปล่าคะ”
“นี่ก็ใกล้งานแต่งเราแล้ว พี่ก็เลยว่าจะมารับน้องไหมไปลองชุดแต่งงานน่ะครับ”
ม่านไหมนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะเผยยิ้มจางๆ ออกมา เธอหันไปมองคุณแม่และส่งสายตาเป็นเชิงขอคุยกัน 2 คนกับทิวา คุณแม่พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจก่อนจะเดินเลี่ยงถือของเข้าบ้านไปก่อน ม่านไหมพาทิวาเดินไปนั่งที่สวนข้างบ้านของเธอ ดอกมะลิที่คุณแม่ปลูกไว้กำลังบานส่งกลิ่นหอมอบอวนไปทั่ว พอถึงที่นั่งม่านไหมก็หันไปมองทิวาซึ่งกำลังเดินตามมาติดๆ
“พี่ทิวาจะว่าอะไรไหมคะ ถ้าไหมจะขอยังไม่ไปลองชุดแต่งงานในวันนี้”
“ทำไมล่ะครับ น้องไหมโกรธอะไรพี่หรือเปล่า”
“เปล่าหรอกค่ะ คือไหมเพิ่งเดินทางกลับมาจากดูสถานที่จัดงานศิษย์เก่า ไหมเพลียๆ น่ะค่ะอยากจะขอพักสักวัน”
“งั้นไปเที่ยวเล่นข้างนอก หาอะไรอร่อยๆ ทานกันไหมครับ”
“ขอโทษนะคะพี่ทิวา ไหมอยากพักจริงๆ ค่ะ”
“ก็ได้ครับ งั้นพี่ไม่รบกวนแล้ว ถ้าน้องไหมอยากออกไปไหนก็โทรหาพี่ได้เลยนะคะ”
“ขอบคุณนะคะที่เข้าใจไหม ไหมขอส่งตรงนี้นะคะ” ม่านไหมพูดจบก็ลุกขึ้นไหว้ทิวาอีกครั้ง ทิวารับไหว้สีหน้านิ่งไปและเดินกลับไปที่รถของตัวเองที่จอดอยู่ไม่ห่างจากสวนมากนัก เธอมองเขาขับรถออกจากบ้านไปจนลับสายตาพลางเอามือกุมแหวนทับทิมโบราณไว้แน่น เธอรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูกที่ทิวามาหาเธอในวันนี้ ภาพในหัวของเธอซ้อนทับกับภาพความฝันเรื่องคุณวาดจันทร์และคุณเทียนจนดูสับสนไปหมด
‘แม้กายน้องจักถูกจองแลหมายหมั้น แต่ใจนั้นไม่คลายรักพี่ดอกหนา
แม้กี่ภพกี่ชาติที่คลาดคลา มิอาจมาเปลี่ยนใจหักรักพี่เอย’
แสงตะวันส่องสว่างผ่านช่องหน้าต่างมายังโต๊ะทำงานของม่านไหม นี่ก็ใกล้ค่ำมากแล้วแต่พระอาทิตย์ก็ยังไม่ลาลับไปเสียที ม่านไหมนั่งคิดทบทวนถึงความฝันที่เกิดขึ้นอย่างประหลาดใจ นี่ก็หลายคืนมาแล้วที่เรื่องราวความรักของคุณวาดจันทร์มาวนเวียนเป็นเรื่องเป็นราวอยู่ในความฝันของเธอ จนเธออดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นเพราะเธอซื้อแหวนทับทิมโบราณวงนี้มาหรือเพราะเธอเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องราวความรักของคุณวาดจันทร์กันแน่
“หรือว่า คุณวาดจันทร์อยากให้เราช่วยให้ความรักของเธอสมหวังนะ”
ม่านไหมบ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ พลางลูบแหวนทับทิมโบราณนั้นเบาๆ เสียงลมพัดเข้ามาในห้องจนผ้าม่านพลิ้วไสวไปมา เธอนอนหนุนแขนตัวเองบนโต๊ะทำงานพลางลูบแหวนทับทิมโบราณนั้นไปมาจนเผลอหลับไปในที่สุด
“แม่วาดจันทร์ แต่งตัวเสร็จรึยังลูก เจ้าคุณป้ารอแย่เสียแล้วกระมัง!!!”
“ลูกกำลังจัดสำรับเจ้าค่ะ กำลังจักเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
แม่วาดจันทร์พูดจบก็เดินนำบ่าวไพร่ออกมาจากในชานครัว วันนี้แม่วาดจันทร์งามมากกว่าทุกวันเธอนุ่งซิ่นจีบหน้าสีทอง สวมเสื้อแขนกระบอกห่มสไบเฉียงสีทองปักดิ้น ผ้ารองสไบสีกรีบบัว อีกทั้งเครื่องทองครบชุดดูงามราวกับนางในวรรณคดีที่ม่านไหมเคยเห็น เมื่อแม่วาดจันทร์จัดแจงข้าวของเรียบร้อยก็เดินตามคุณหญิงแม่ลงท่าเรือริมน้ำไป
ขบวนเรือถูกแบ่งออกเป็น 3 ลำ แม่วาดจันทร์กับคุณหญิงแม่นั่งเรือที่มีเก๋งเรือดูหรูหรา มีบ่าวไพร่นั่งขนาบข้างดูแลอยู่ 2 คนและมีบ่าวพายเรือให้อีก 2 คน ส่วนอีก 2 ลำก็มีบ่าวไพร่ชายหญิงนั่งกันอยู่พร้อมทั้งข้าวของทำบุญอีกมากโข ม่านไหมนั่งเรือมาพร้อมกับคุณวาดจันทร์ แม้แต่ตัวเธอเองก็ละสายตาจากคุณวาดจันทร์ไม่ได้ยิ่งพิศยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าคุณวาดจันทร์ช่างงามเหลือเกิน
เรือล่องไปจนถึงท่าน้ำของวัด เมื่อเรือจอดสนิทเทียบท่าแม่วาดจันทร์ก็ช่วยพยุงคุณหญิงแม่ขึ้นท่าน้ำโดยมีบ่าวไพร่คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง ในจังหวะที่ตัวของเธอเองนั้นกำลังจะเดินขึ้นท่าน้ำ ชายสไบของเธอก็ถูกขอบเรือหนีบเข้ารั้งร่างบางระหงนั้นไว้จนเธอเสียหลักคล้ายจะตกน้ำ ทั้งบ่าวไพร่และคุณแม่ที่เห็นเหตุการณ์ต่างร้องวี๊ดว๊ายออกมาด้วยความตกใจ
“แม่วาดจันทร์ระวังลูก!!!”
สิ้นเสียงคุณหญิงแม่ ร่างบางระหงนั้นคล้ายจะหงายหลังตกน้ำไป แต่ทันใดนั้นเองก็มีร่างของชายหนุ่มวิ่งเข้ามาคว้าตัวของแม่วาดจันทร์ไว้ได้ทันเสียก่อน ร่างนั้นคว้าตัวแม่วาดจันทร์มาโอบไว้ในอ้อมแขนแม่วาดจันทร์ที่กำลังขวัญเสียหลับตาแน่นสนิทตัวสั่นเทาด้วยความตกใจ คิดว่าตนเองคงตกลงไปในน้ำเป็นแน่ จนรู้สึกได้ถึงวงแขนอุ่นๆ ที่ดึงตัวเธอเข้ามาโอบไว้แน่นเธอจึงได้สติและลืมตาขึ้นมอง
“พี่เทพรึเจ้าค่ะ”
“เกือบพลัดตกน้ำเสียแล้วแม่วาดจันทร์ พี่นี่ใจหาย”
คุณเทพค่อยๆ พยุงแม่วาดจันทร์ขึ้นมาหาเจ้าคุณแม่ที่ท่าน้ำ แม้ยังไม่หายตกใจนักแม่วาดจันทร์ก็ยกมือไหว้เป็นการขอบคุณที่คุณเทพช่วยเธอไว้จนเธอไม่ต้องตกน้ำไป เจ้าคุณแม่หันไปจัดชุดให้คุณวาดจันทร์ก่อนจะหันไปดุบ่าวไพร่ที่ไม่ดูแลนายหญิงน้อยของบ้านให้ดี
“พวกเอ็งนี่มันเลี้ยงเสียข้าวสุก ยืนกันอยู่ทำกระไรแม่นายมึงจะตกน้ำไม่มีใครจับสักคน เดี๋ยวกลับถึงเรือนกูจะโบยให้หลังขาดเสียให้หมด”
“เจ้าคุณแม่ อย่าว่าบ่าวมันเลยเจ้าค่ะ ลูกไม่ระวังเอง...ดีที่พี่เทพคว้าตัวลูกไว้ทัน”
“ขอบน้ำใจพ่อเทพแทนแม่วาดจันทร์ด้วยหนา หากไม่ได้พ่อมีหวังแม่วาดจันทร์คงตกน้ำเป็นแน่”
“มิเป็นไรเลยขอรับคุณหญิงป้า เจ้าคุณแม่ขึ้นศาลาไปก่อนกระผมเลยมาเดินเล่นแถวท่าน้ำนี้พอดี เห็นแม่วาดจันทร์จะตกน้ำจึงรีบเข้ามาช่วยไว้ได้ทันน่ะขอรับ”
“น้องขอบน้ำใจพี่เทพเจ้าค่ะ”
“ไปเถอะขอรับ พระน่าจะขึ้นธรรมาสน์แล้ว จักไม่ทันได้ฟังพระขึ้นเทศน์ขอรับ”
คุณเทพพูดจบก็เดินขนาบข้างพยุงคุณหญิงแม่ก่อนจะพาเดินขึ้นศาลาวัดไป แม่วาดจันทร์เองก็เดินตามไปอย่างสำรวมพร้อมด้วยบ่าวไพร่ที่ถือสำรับคาวหวานตามขึ้นศาลาไปด้วย
บนศาลาท่านเจ้าพระยา ท่านขุน และเหล่าคุณหญิงท่านทั้งหลาย ต่างนั่งจัดแถวเตรียมสำรับถวายอยู่แถวด้านหน้าพร้อมขึ้นประเคนของถวายพระเมื่อพระขึ้นธรรมาสน์ คุณหญิงแม่ขึ้นศาลามาก็เดินเข้าไปนั่งข้างคุณหญิงป้า ทั้งสองท่านกล่าวคำทักทายและนั่งคุยกันต่อระหว่างรอพระ ส่วนแม่วาดจันทร์ก็นั่งลงข้างๆ แม่หญิงสาวๆ ซึ่งอยู่ด้านซ้ายของศาลา ม่านไหมเดินตามขึ้นศาลามาก็มานั่งลงข้างแม่วาดจันทร์ เธอค่อนข้างละลานตามากเพราะหญิงสาวสวยห่มสไบนั่งกันอยู่เต็มไปหมด
ม่านไหมหันไปมองทางคุณเทพก็เห็นว่า คุณเทพเดินไปนั่งอยู่ข้างคุณเทียนที่นั่งถัดออกมาด้านขวาแม่วาดจันทร์ ไม่วายแอบหันมามองแม่วาดจันทร์แล้วอมยิ้มหวานส่วนคุณเทียนเองก็มองคุณวาดจันทร์ไม่ละสายตาตั้งแต่เดินขึ้นศาลามาแล้ว ม่านไหมแอบเห็นทั้งคุณเทียนและคุณเทพก็ต่างแอบมองมาที่คุณวาดจันทร์ไม่ละสายตาเลยทั้งคู่ แต่คุณวาดจันทร์กลับไม่ปรายตามองใครเลยสักนิด
“แม่วาดจันทร์ ข่าวว่าแม่จะหมั้นหมายเร็วๆ นี้รึ” เสียงหนึ่งดังขึ้นในแถวที่นั่ง ก่อนจะมีอีกเสียงหนึ่งตอบแทนขึ้นมา
“หมั้นหมายกระไรกันล่ะแม่เดือน บัดนี้แม่วาดจันทร์ยังปลงใจมิได้เลยว่าจะเลือกพี่รึเลือกน้อง”
“แม่ดาวก็พูดเข้า ใครเขาก็รู้กันทั่วทุกคุ้ง ว่าคุณพี่เทียนไปเทียวหาแม่วาดจันทร์ที่เรือนมิเคยขาด”
“พอเถอะแม่เดือนแม่ดาว หาใช่เรื่องที่ควรถามไม่ หากแม่วาดจันทร์จักปลงใจหมั้นหมายกับผู้ใดก็คงบอกกล่าวไปเอง มิใช่ธุระกงการของแม่ที่จักเทียวถาม เอาเรื่องหมั้นหมายของแม่ให้เรียบร้อยเสียก่อนเถิด”
“มิหยามกันเกินไปรึ แม่ดวงแข พูดจาเยี่ยงนี้” แม่ดาวรีบพูดขึ้นทันทีพลางกำพัดในมือแน่นและเขย่าร่างแม่เดือนเบาๆ เป็นเชิงฟ้อง แม่ดวงแขหันไปมองแม่เดือนแม่ดาวด้วยหางตาก่อนจะยิ้มมุมปาก
“ข้าว่าก็พอทีอยู่หนา ทีแม่ว่าให้แม่วาดจันทร์ข้ายังคิดว่าดูหยามกันเสียมากกว่า”
“นี่แม่!!!” ยังไม่ทันที่แม่ดาวจะพูดจบ พระก็ขึ้นธรรมาสน์เสียก่อน ทำให้สงครามปะฝีปากของบรรดาแม่หญิงยุติลงเพียงเท่านั้น แม่เดือนคว้าตัวน้องสาวของตัวเองไว้ก่อนจะก้มลงกราบพระ ม่านไหมที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็แอบสะใจมากๆ เธอนั่งมองแม่วาดจันทร์ถวายสำรับให้พระและฟังพระเทศน์ ทุกท่วงท่าของแม่วาดจันทร์อยู่ในสายตาของคุณเทียนและคุณเทพตลอดเวลา จนถวายภัตตาหารเสร็จ แม่วาดจันทร์ก็ขอตัวเดินลงมานั่งรอเจ้าคุณแม่ที่ใต้ต้นไม้ในวัดแทนเพื่อหนีเสียงนินทาของเหล่าแม่หญิงทั้งหลาย
“เหตุใดแม่วาดจันทร์ถึงมานั่งเงียบๆ คนเดียวอยู่ตรงนี้เล่า”
“พี่เทพมีกระไรกับน้องรึเจ้าคะ”
“แม่วาดจันทร์คงรังเกียจพี่มาก จึ่งไม่มาพบพี่ตามที่นัดแนะไว้”
“พี่เทพนัดน้อง หรือนัดผู้ใดกันแน่เจ้าคะ”
“หมายความว่ากระไร”
“ลองตรองดูเถิดเจ้าค่ะ เจ้าคุณแม่คงรออยู่ที่ท่าน้ำแล้วน้องขอตัวเจ้าค่ะ น้องไหว้” พูดจบแม่วาดจันทร์ก็รีบลุกขึ้นและเดินหนีคุณเทพไปที่ท่าน้ำ คุณเทพกำลังจะเดินตามไปแต่ก็เห็นคุณเทียนกำลังเดินตามคุณวาดจันทร์ไปที่ท่าน้ำด้วยเช่นกันจึงทำได้เพียงหยุดเดิน ก่อนจะก้มมองกล่องแก้วในมือด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“ครานี้ก็มิถึงมือเจ้าอีกแล้วหนา แท้จริงแล้วใจเจ้ายังรักพี่อยู่รึไม่แม่วาดจันทร์”