ม่านไหมสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เสียงลมเบาๆ พัดกระทบกับกระดิ่งที่ห้อยอยู่ริมหน้าต่างส่งเสียงดังกังวานเหมือนบทเพลงที่ช่างไพเราะ อากาศเย็นเสียจริงค่ำคืนนี้เธอลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะเดินไปหยิบแหวนทับทิมโบราณที่วางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง ด้วยความที่เธอคงเพลียมากจนแต่งตัวเสร็จก็รีบเข้านอนเลยทันทีจนลืมสวมแหวนวงนี้ไว้ที่นิ้วนางของเธอ
“ทำไมฉันถึงฝันถึงแม่วาดจันทร์อีกแล้วนะ”
ม่านไหมพูดกับตัวเองเบาๆ นี่ก็หลายคืนแล้วนับตั้งแต่วันที่ได้แหวนทับทิมนี้มา และนับจากวันนั้นเธอก็ได้ฝันเห็นหญิงสาวที่หน้าตาเหมือนเธอราวกับพิมเดียวกัน เธอยังนึกถึงคำที่พนักงานขายแหวนซุบซิบกันก่อนที่เธอจะออกจากร้านได้ดี รึจะเป็นความจริงที่ว่าแหวนนี้มีผีสิงอยู่
‘เช้านี้บนเรือนดูเงียบเหงาไปหมด เมื่อข่าวจากหัวเมืองดังกระฉ่อนไปทั่วคุ้มน้ำ กล่าวว่าคุณหลวงพิเชษไชยนรงค์ชนะศึกที่แล้วได้รับเครื่องบรรณาการจากเมืองขอม โดยจักได้อภิเษกกับเจ้าหญิงของเมือง มีพระนามว่า กังสตาลวาตี’
ม่านไหมพิมพ์นิยายของเธอได้ถึงเพียงแค่ชื่อพระนามของเจ้าหญิง น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาจนเธอตกใจตัวเอง อาจเพราะสงสารนางเอกในเรื่องที่ตนแต่งขึ้นจนเกินไปทำให้เธอมีอารมณ์อ่อนไหว ยามที่เธอพิมพ์ความรู้สึกของเจ้านางที่มีต่อคนรัก แต่มีเหตุที่ทำให้ความรักของเจ้านางและคุณหลวงไม่สมหวังในภพชาตินั้นมันทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดราวกับเป็นเรื่องราวของตัวเธอเอง เธอพิมพ์ได้จบเพียงเท่านั้นก็เริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมา เธอปิดโน๊ตบุ๊คลงก่อนจะเดินกลับไปที่เตียงไม่นานก็เผลอหลับไปโดยที่มือยังกุมแหวนทับทิมโบราณวงนั้นไว้แน่น
“แม่วาดจันทร์ วันพรุ่งอยากไปทำบุญกับพี่และคุณหญิงแม่หรือไม่”
“พี่เทียนจักไปทำบุญกับคุณหญิงป้ารึเจ้าค่ะ น้องอยากไปด้วยเจ้าค่ะ”
เสียงที่คุ้นเคยทำให้ม่านไหมหันมองตามเสียงนั้นไปทันที ภาพที่เห็นตรงหน้าคือ แม่วาดจันทร์และคุณเทียนกำลังนั่งคุยกันอยู่ตรงท่าน้ำพร้อมด้วยบ่าวไพร่อีก 2-3 คน แม่วาดจันทร์อยู่ในวัยแรกสาวกำลังนั่งร้อยมาลัยมะลิอย่างประณีตดูสวยงามจนเกินบรรยาย ส่วนคุณเทียนเองก็นั่งมองหญิงสาวตรงหน้าของเขาด้วยสีหน้าอมยิ้มอย่างไม่วางตา
ม่านไหมค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้วงสนทนา บรรยากาศในบริเวณนั้นร่มรื่นเย็นสบาย ได้กลิ่นดอกมะลิหอมหวานกลิ่นคลุ้งไปทั่วบริเวณ ศาลาริมน้ำนี้เป็นท่าน้ำที่ค่อนข้างใหญ่ด้วยว่าเป็นเรือนเจ้าพระยา ท่าน้ำเรือนนี้จึงมีทั้งโถ่งตรงกลางและที่นั่งริมน้ำ ทั้ง 2 หนุ่มสาวกำลังนั่งสนทนากับอยู่ตรงที่นั่งริมน้ำ นังบ่าวไพร่ที่นั่งข้างๆ ก็ช่วยคุณวาดจันทร์จัดแจงดอกไม้เพื่อร้อยมาลัยอุบะและมาลัยอีกหลากหลายแบบ
“วันพรุ่ง พี่ว่าจักไปถวายของคาวหวานให้หลวงพ่อเสียหน่อย จึงมีใจอยากชวนแม่วาดจันทร์ไปเสียด้วยกัน”
“น้องร้อยอุบะและมาลัยไว้มากโขอยู่ วันพรุ่งจะได้นำไปถวายที่วัดด้วยเจ้าค่ะ”
“ฝีมือร้อยอุบะดอกไม้ของแม่วาดจันทร์หลังไปเรียนกับคุณหญิงแม่ของพี่ ดูงามขึ้นมากราวกับฝีมือนางในวังเลยหนา”
“พี่เทียนก็ชมน้องมากเกินไปเจ้าค่ะ น้องยังต้องฝึกปรืออีกมากโขอยู่”
คุณเทียนเอื้อมมือไปหยิบมาลัยที่แม่วาดจันทร์ร้อยไว้จนเสร็จแล้ว ก่อนจะยกขึ้นมาดมและชื่นชมกับความงดงามที่หญิงสาวบรรจงร้อยอย่างประณีต แม่วาดจันทร์ปรายตามองเล็กน้อยก่อนจะอมยิ้มนิดๆ ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มอีกคนจากด้านในโถ่งกลางของท่าน้ำ
“จักชวนแม่วาดจันทร์ไปที่ใดอีกรึพี่เทียน”
สิ้นเสียงนั้นทุกคนบนท่าน้ำหันกลับไปมองตามเสียงนั้นทันที ม่านไหมเองที่นั่งฟังคุณเทียนกับคุณวาดจันทร์สนทนากันอยู่ก็หันตามเสียงนั้นเช่นกัน เธอถึงกับตะลึงงันเมื่อปรากฏร่างชายหนุ่มที่หน้าตาละม้ายคล้ายกับพี่เทวินทร์ราวกับแกะกันออกมา และเขาผู้นี้เองผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านหลังของเธอ ในพิธีสู่ขอแม่วาดจันทร์ในความฝันครั้งก่อน
“พ่อเทพมาตั้งแต่เมื่อใด ใยมิบอกให้พี่ด้วยจักได้มาเสียพร้อมกัน”
“กระผมไปหาพ่อยอดที่เรือนมาน่ะขอรับ ได้ผลไม้มามากโขอยู่ จึงนำมาฝากคุณหญิงป้าน่ะขอรับ”
“ได้ชมพู่ของโปรดแม่วาดจันทร์มาบ้างหรือไม่เล่าพ่อเทพ”
“พ่อยอดจัดเตรียมของโปรดของแม่วาดจันทร์ไว้ให้เรียบร้อยแล้วขอรับ รายนั้นทั้งรักทั้งหลงแม่วาดจันทร์ตั้งแต่น้อยแล้วคงมิมีพลาดดอกขอรับ”
“ฝากขอบน้ำใจพ่อยอดที่จัดเตรียมให้น้องด้วยนะเจ้าคะ พวงมาลัยพวงนี้น้องตั้งใจร้อย ฝากพี่เทียนพี่เทพมอบให้เจ้าคุณหญิงป้าให้น้องด้วยนะเจ้าคะ ได้เวลาจัดสำรับเย็นแล้วน้องขอขึ้นเรือนก่อนนะเจ้าคะ น้องไหว้เจ้าค่ะ”
แม่วาดจันทร์พูดจบก็หันไปหาบ่าวไพร่ ก่อนจะเดินนำหน้าเพื่อจะขึ้นเรือนใหญ่ แต่เมื่อเดินมาถึงจุดที่ต้องเดินผ่านคุณเทพ เธอก็หยุดเดินและหันไปไหว้คุณเทพเป็นเชิงร่ำลา
“ยามค่ำ พี่จักรอแม่อยู่ที่ท่าน้ำหนา หวังว่าเจ้าจักลงมาพบพี่เพียงครู่”
“น้องลาเจ้าค่ะ” ไม่เชิงตอบรับ แม่วาดจันทร์ก็เดินผ่านคุณเทพขึ้นเรือนไป บ่าวทั้งสองก็เดินตามมาติดๆ แต่ก็ไม่ทันได้ยินคำกล่าวนัดของคุณเทพที่แอบนัดพบแม่วาดจันทร์แบบลับๆ ม่านไหมที่ยืนฟังทั้งคุณเทพและคุณวาดจันทร์คุยกันก็เกิดความสงสัยที่ทั้งคู่แอบนัดพบกัน หรือทั้งคู่จะมีความสัมพันธ์ลับๆ ต่อกัน
ยามค่ำนั่นเอง ม่านไหมเดินไปรอที่ท่าน้ำก็เห็นคุณเทพยืนรออยู่ที่ท่าน้ำนั้นอยู่ก่อนแล้วหากแต่ไร้ซึ่งร่างของหญิงสาวที่ถูกนัดหมายให้มาพบเจอ พระอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำลงเรื่อยๆ แต่แม่วาดจันทร์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะมาตามนัดที่คุณเทพบอกไว้ เธอมองดูคุณเทพที่ทำหน้าเศร้าดูทุรนทุรายใจอย่างบอกไม่ถูก หลายต่อหลายครั้งที่หันกลับไปมองที่เรือนใหญ่แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครเดินลงมา
“ใจของเจ้าช่างแข็งนักแม่วาดจันทร์ รึเจ้าได้มอบใจให้พี่เทียนดั่งคำคนอื่นว่าเสียแล้ว”
คุณเทพพูดจบก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง พลางมองของในมืออย่างเศร้าใจ ในมือของคุณเทพนั้นถือกล่องแก้วสีทองฉลุลายแปลกตา ดวงตาของคุณเทพยิ่งเศร้าลงเมื่อเห็นพระอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปเสียแล้ว เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้คุณเทพได้ยินเสียงหญ้าดังกร๊อบแกร๊บราวกับมีคนเดินเหยียบ
“คุณพี่มารอผู้ใดแถวเรือนท่านเจ้าพระยารึเจ้าคะ”
คุณเทพหันไปเห็นร่างของหญิงสาวที่เดินเข้ามาจึงรีบหยิบกล่องแก้วที่ถืออยู่ซ่อนใส่ชายพกเสื้อไว้ และหันกลับไปหาหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง ม่านไหมพยายามจะมองใบหน้าหญิงสาวคนนั้นให้ชัดแต่ด้วยความที่พื้นที่ตรงนั้นไม่มีแสงไต้เลยทำให้มองไม่เห็นใบหน้าของหญิงสาวคนนั้น เธอมองเห็นเพียงเป็นหญิงสาวร่างบางใส่สไบสีเหลืองผ้าปักราวกับลูกคนใหญ่คนโต ผิวขาวเหลืองเนียนละเอียด ด้านหลังมีบ่าวผู้หญิง 2 คนคอยเดินอยู่ และยังมีบ่าวชายอีก 2-3 คนยืนรออยู่ห่างออกไป
“เย็นค่ำป่านฉะนี้ แม่ดวงแก้วมาทำกระไรแถวเรือนท่านพระยารึ”
“น้องเอาขนมมาจากในวังจึงนำมาฝากคุณหญิงป้า ลงจากเรือนมาเมื่อครู่ นังเอือดมันเห็นเงาตะคุ่มๆ น้องจึงให้มันเดินมาดูจึ่งรู้ว่า คุณพี่เทพยืนเหม่ออยู่ริมน้ำท่าทางดูกระวนกระวายใจยิ่งนัก รอใครอยู่รึเจ้าคะ”
“กระนั้นรึ เมื่อค่ำพี่ทำมืดพกหล่นแถวนี้จึ่งมาหาดู นี่ก็เจอแล้ว...แม่จักเดินกลับเรือนไปพร้อมพี่เลยรึไม่เล่า”
“คุณพี่เทพจักไปส่งน้องรึเจ้าคะ”
“งั้นรีบกลับเถิด มืดค่ำแล้วคุณพระคงห่วงแม่ดวงแก้วเสียแย่แล้ว ลูกสาวมาจากในวังบัดนี้ยังไม่ถึงเรือน”
คุณเทพเดินนำคุณดวงแก้วไปทางข้างเรือน พวกบ่าวก็เดินตามกันไปติดๆ ม่านไหมมองตามคุณเทพกับคุณดวงแก้วจนลับตา ก่อนจะหันกลับมาที่ข้างเรือนใหญ่ ปรากฏร่างบางระหงร่างหนึ่งยืนนิ่งดูตรงเงาต้นตะแบก ชายสไบสีชมพูกลีบบัวพลิ้วไสวไปมาตามแรงลม ร่างนั้นขยับเดินมาเบื้องหน้าเล็กน้อยเผยให้เห็นใบหน้าสวยงามราวกับภาพวาดของแม่วาดจันทร์ ม่านไหมนิ่งสนิทไปเหมือนพอจะเข้าใจภาพเหตุการณ์ตรงหน้าทั้งหมด
"ใจชายนั้นไซร้ คงเปลี่ยนได้ง่ายเพียงพลิกฝ่ามือเสียกระมัง"
คุณวาดจันทร์พูดจบก็ก้มหน้าก่อนจะเดินกลับขึ้นเรือนใหญ่ไป ม่านไหมเดินตามหลังไปติดๆ ก่อนหยุดนั่งมองแม่วาดจันทร์ที่ทรุดตัวลงนั่งอยู่ตรงชานที่นั่งหน้าหอนอนของเธอ เสียงลมพัดผ่านช่องประตูข้างหอนอนฟังดูช่างว้าเหว่ยิ่งนัก แม่วาดจันทร์นั่งเหม่อลอยราวกับมิได้มีสติอยู่กับตัว ไม่ทันได้รู้ตัวเจ้าคุณหญิงแม่ก็เดินมายืนอยู่ใกล้ๆ เธอ
“วันพรุ่ง แม่วาดจันทร์จักไปทำบุญพร้อมกับแม่และคุณหญิงป้ารึไม่”
“ลูกจักไปเจ้าค่ะ พี่เทียนมาบอกกล่าวลูกไว้แล้วที่ริมน้ำเมื่อช่วงบ่าย”
“แม่ก็ว่า พ่อเทียนน่าจะมาบอกกล่าวลูกแล้ว จึ่งฝากพ่อเทพที่นำผลไม้มาให้ ให้มาบอกกล่าวแม่ด้วย พ่อเทียนนี่ดีเหลือหนาดูแลจัดแจงกระไรให้แม่วาดจันทร์เสียทุกอย่าง หากออกเรือนกันไปคงจักดูแลกันอย่างดี แม่จักได้มิต้องกังวลใจ”
“ออกเรือนกระไรกันเจ้าคะ ลูกมิเห็นรู้ความ”
“มิรู้ความกระไรลูก นี่ก็ใกล้ครบอายุที่เจ้าจักต้องเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว แม่ก็พึงใจอยู่หากผู้ที่จักมาดูแลเจ้าแทนพ่อกับแม่จักเป็นพ่อเทียน”
“แต่ลูกมิได้คิดเกินเลยกับพี่เทียนเยี่ยงนั้นเลยนะเจ้าคะ”
“ลองตรองดูเถิดแม่วาดจันทร์ หากเจ้าจักพึงใจใครอยู่ก่อนแล้วแม่ก็หมายจะให้ผู้นั้นคู่ควรกับยศศักดิ์ลูกเจ้าพระยาอย่างลูกหนา ดูทีแล้วเห็นจักมีใครเหมาะสมไปกว่าพี่เทียนมิมีดอกลูก”
“ลูกง่วงแล้วเจ้าค่ะ เรื่องออกเรือนยังอีกนานโข หากเมื่อใดที่ลูกปลงใจได้จักรีบแจ้งแก่เจ้าคุณแม่เจ้าค่ะ ลูกขอเข้าหอนอนก่อนเจ้าค่ะ”
คุณหญิงแม่พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต แม่วาดจันทร์ยกมือไหว้และเดินเข้าหอนอน ลงกลอนประตูทันที คุณหญิงแม่ทำสีหน้าลำบากใจก่อนจะเดินออกจากหน้าหอนอนไป
ม่านไหมมองตามคุณหญิงแม่แล้วรีบเดินไปที่หน้าประตูหอนอนของแม่วาดจันทร์ทันที พอจะทำท่าผลักประตูเข้าไปเธอก็ทะลุเข้าห้องนอนของแม่วาดจันทร์และล้มลงไปกองกับพื้นก่อนจะอุทานว่า “เจ็บชะมัดเลย” เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นร่างของหญิงสาวห่มสไบสีขาวแบบรัดอก นุ่งผ้าซิ่นสีน้ำตาลอ่อน พร้อมกับมีผ้าคลุมไหล่ 1 ผืน แม่วาดจันทร์นั่งมองหน้าตัวเองในกระจกพลางเหม่อลอยราวกับคิดทบทวนอะไรบางอย่าง
ม่านไหมจึงค่อยๆ เดินไปนั่งข้างๆ ก่อนจะเห็นหน้าหญิงสาวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเธอกำลังมองหน้าตัวเองอยู่ ทั้งรูปหน้า คิ้ว ตา จมูก ปาก ไม่มีอะไรที่แตกต่างจากใบหน้าของเธอเลย ราวกับคนคนเดียวไม่มีผิดเพี้ยน
"คณพี่แปรเปลี่ยนใจไปแล้วรึเจ้าคะ ทุกคำสัญญาที่บอกข้าไว้มิมีความจริงอันใดในถ้อยคำนั้นเลยรึเจ้าคะ"
เมื่อพูดจบแม่วาดจันทร์ก็เปิดอับใส่ของและหยิบกำไลสีทองขึ้นมากอดไว้แนบอก สักพักก็มีเสียงสะอื้นดังมาจากร่างเล็กร่างนั้น ม่านไหมนั่งมองดูคุณวาดจันทร์ที่กอดกำไลทองวงนั้นไว้แน่น พระจันทร์ลอยขึ้นมาตรงกับหน้าต่างห้องคุณวาดจันทร์พอดีเธอจึงลุกขึ้นถือกำไลทองนั้นไว้และไปยืนเหม่ออยู่ตรงริมหน้าต่าง ม่านไหมลุกขึ้นเดินตามไปยืนข้างๆ
“คุณวาดจันทร์คงเศร้ามากใช่มั้ยคะ แต่มันไม่ใช่แบบนั้นนะคะไหมเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างคุณเทพเขารอคุณวาดจันทร์ตามที่นัดแนะไว้จริงๆ และเหมือนมีเรื่องที่จะพูดด้วย มีของที่จะให้จริงๆ นะคะ”
ร่างบางเล็กนั้นยืนนิ่งสนิทยังคงเหม่อลอยมองพระจันทร์ที่ลอยเด่นบนฟ้า น้ำตายังคงไหลอาบแก้มและดูเหมือนว่าจะไม่ได้ยินทุกถ้อยคำที่ม่านไหมพยายามจะอธิบายเพื่อช่วยให้เธอไม่เข้าใจผิดชายอันเป็นที่รัก ม่านไหมถอนหายใจเบาๆ ได้แต่ยืนมองคุณวาดจันทร์ที่ดูช่างเจ็บปวดกับเหตุการณ์ที่เผชิญมามากๆ
ความเงียบปกคลุมบริเวณนั้นนานเท่าใดไม่รู้ อยู่ๆ ภาพคุณวาดจันทร์ตรงหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นสีดำทั้งหมด ม่านไหมเดินหมุนไปหมุนมาอยู่ในความมืดด้วยความตกใจ ก่อนที่หญิงสาวใส่ชุดสไบสีกลีบบัวจะค่อยๆ เดินออกมาจากความมืดและยืนอยู่ตรงหน้าเธอด้วยใบหน้านิ่งเรียบ
“เขาไม่เคยจริงใจต่อเรา มิว่าภพชาติใด จักกี่ภพกี่ชาติเขาก็เป็นเช่นนี้เสมอ”
“คุณวาดจันทร์หมายถึงอะไรคะ เขาไหนคะ”
คุณวาดจันทร์ค่อยๆ จางหายไปต่อหน้าต่อตา ม่านไหมผงะด้วยความตกใจจนหงายหลังลงไปกับกองพื้น ทันใดนั้นก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งลอยมาจากในความมืด เขาเรียกชื่อเธอดังขึ้นเรื่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ แล้วทุกอย่างก็กลายเป็นภาพสีขาว เธอลืมตาตื่นอีกทีก็เห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่คุ้นเคยกำลังทำหน้าทะเล้นใส่เธอที่ริมหน้าต่างของเรือนรับรอง
“พี่วินทร์ปีนหน้าต่างขึ้นมาทำไมคะ ไหมยังนอนอยู่เลย”
“ลุกได้แล้ว พี่จะพาไปดูที่หนึ่ง ไหมต้องถูกใจแน่ๆ”
“ก็ได้ค่ะ แต่ช่วยออกไปก่อนได้ไหมคะ เดี๋ยวถ้าไหมอาบน้ำเสร็จละจะออกไป”
“โอเคครับ งั้นพี่รออยู่ที่ชานเรือนแก้ว ข้างเรือนใหญ่นะ คุณทินกรเตรียมมื้อเช้าไว้ให้ที่นั่นแล้ว”
“ได้ค่า พี่ก็ไปได้แล้ว”
ม่านไหมพูดจบก็ลุกออกจากเตียงและรีบเดินไปปิดหน้าต่างใส่หน้าเทวินทร์ทันที เธอได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจแว่วมาจากหลังหน้าต่าง ได้แต่หงุดหงิดใจและเดินเข้าห้องน้ำไป หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จม่านไหมก็เดินออกจากห้องเพื่อไปที่ชานเรือนแก้วตามที่เทวินทร์นัดเธอไว้ ระหว่างที่เดินไปข้างๆ เรือนใหญ่นั่นเอง เธอก็หันไปเห็นท่าน้ำเล็กๆ ที่ซึ่งดูคุ้นตามากๆ ด้วยความคลางแคลงใจ ขาของเธอก็ก้าวเดินไปจนไปถึงท่าน้ำแห่งนั้น
“นี่มันท่าน้ำที่คุณเทพนัดคุณวาดจันทร์ลงมาเจอนี่นา!!!”