“เดี๋ยววางตรงนี้ได้เลยนะคะ ที่เหลือเดี๋ยวไหมจัดการเองค่ะ”
“ได้ครับ สรุปคุณม่านไหมจะใช้สถานที่นี้จัดงานเลยใช่มั้ยครับ”
“ใช่ค่ะ ไหมว่าพี่ๆ น่าจะชอบเรือนไทยหลังนี้ ถ้าจัดที่นี่สถานที่รับแขกได้สัก 100-200 คนมั้ยคะคุณกร”
คุณทินกร เจ้าของเรือนทรงไทยอมยิ้มก่อนจะวางของลงบนพื้น และพาม่านไหมไปนั่งตรงโถงกลางของเรือนไทย ภายในเรือนไทยถูกตกแต่งไว้อย่างวิจิตร คุณทินกรเองเป็นคนที่ชอบดอกมะลิและดอกจำปีมากๆ ทั้งซุ้มประตูและหน้าต่างจึงประกอบไปด้วยอุบะไทยระย้าปลายอุบะร้อยด้วยจำปี ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วเรือน
“ถ้าบนเรือนก็รองรับได้ประมาณ 50 ท่านครับ แต่ที่สวนริมน้ำ ได้ราวๆ 150 ท่านครับ”
“ไหมอยากให้คุณกร ช่วยเนรมิตเรือนนี้เป็นสมัยอยุธยาน่ะค่ะ งบจะสูงไปมั้ยคะ” คุณทินกรส่ายหน้า พลางหยิบรายละเอียดเกี่ยวกับค่าสถานที่และอาหารต่างๆ มาให้ม่านไหม เธออมยิ้มและเงยหน้าขึ้นมามองคุณทินกรอย่างถูกใจมากๆ ก่อนจะลงรายละเอียดวันงานและอาหาร เครื่องดื่มเพิ่มเติม
“สำหรับเจ้าของเรือนมีส่วนลดเพิ่มให้อีก 50% นะครับ”
“อย่างไงนะคะ เจ้าของเรือน? คุณกรหมายถึงใครเหรอคะ”
ยังไม่ทันได้รับคำตอบจากคุณทินกร ม่านไหมก็ได้ยินเสียงโวยวายดังมาจากด้านหน้าของเรือน ทั้งเธอและคุณทินกรพากันเดินไปที่หน้าบ้านเพื่อตามหาเจ้าของเสียงดังเอะอะนั้น ม่านไหมเดินมาหยุดมองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งกำลังยืนหันหลังให้เธอและชี้มือชี้ไม้สั่งงานคนงานกลุ่มหนึ่งที่เธอไม่คุ้นหน้า
“นั่นคุณวินทร์ครับ เจ้าของเรือนไทยหลังนี้ แปลกจังที่มาจัดการดูแลด้วยตัวเอง”
“เจ้าของเรือนไทยหลังนี้ไม่ใช่คุณกรเหรอคะ ไหมนึกว่าคุณกรเป็นเจ้าของเพราะมาดูแลไหมตลอด”
“ปกติผมทำหน้าที่ดูแลและดีลงานจัดเลี้ยงบนเรือนไทยหลังนี้แทนคุณวินทร์น่ะครับ พอดีคุณวินทร์เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ ผมก็เพิ่งทราบพร้อมคุณม่านไหมแหละครับว่า ท่านกลับมาแล้ว”
“อ้อ งั้นดีลที่เราคุยกันเอาไว้กับราคานี่ จะมีเปลี่ยนแปลงมั้ยคะ”
“ดีลของคุณม่านไหมผมดูแลเองครับ เซ็นสัญญาเป็นราคานี้เลยครับ"
“ขอบคุณมากนะคะ คุณกรใจดีกับไหมมากเลยค่ะ”
ม่านไหมพูดจบก็เดินกลับเข้าเรือนไทยเพื่อไปหยิบกระเป๋าสะพายของเธอที่วางไว้ตรงโถงกลางของเรือน อยู่ๆ ก็มีลมพัดเข้ามาอย่างรุนแรง เธอหยิบกระเป๋าได้ไม่เต็มมือนักทันใดนั้นเองกระเป๋าก็ร่วงลงบนพื้นจนข้าวของหล่นกระจัดกระจายไปหมด รวมไปถึงแหวนทับทิมโบราณที่เธอพกใส่กระเป๋ามาด้วยนั้นก็กลิ้งออกมาจากกระเป๋า เธอวิ่งตามมันไปจนแหวนไปหยุดที่ปากประตูใกล้ชานระเบียงขึ้นเรือน
ม่านไหมกำลังจะก้มลงเก็บก็มีมือของใครอีกคนหยิบแหวนนั่นขึ้นมาก่อนเธอ เธอมองตามแหวนนั้นไปก่อนพบกับใบหน้าที่แสนคุ้นเคย ใบหน้านั้นเผยยิ้มที่มุมปาก จ้องมองแหวนทับทิมโบราณวงนั้นอย่างถูกใจ ก่อนจะยื่นแหวนวงนั้นคืนให้กับม่านไหม
“ให้พี่ทาย คงเป็นแหวนหมั้นของพี่ทิวากับหล่อนสินะ ถึงหวงมากขนาดนี้”
“พี่เทวินทร์ พี่มาที่นี่ได้ยังไงคะ พี่อยู่ต่างประเทศไม่ใช่เหรอ”
“ก็จริงๆ ไม่กี่ชั่วโมงก่อนก็อยู่ต่างประเทศล่ะ แต่พอดอกเตอร์วิกานดาบอกว่า แม่งานเป็นเธอพี่ก็เลยคิดว่าคงต้องกลับก่อนไม่งั้นงานเลี้ยงศิษย์เก่าคงล่ม” ชายหนุ่มพูดจบก็หัวเราะอย่างสะใจ ม่านไหมมองหน้าเทวินทร์ด้วยความหมั่นไส้ ไม่ใช่แค่ทั้งคู่สนิทกันแต่ทั้งคู่เป็นคู่กัดประจำรุ่นเลยก็ว่าได้
“สวัสดีครับคุณวินทร์ จะมาเรือนไทยไม่โทรมาก่อนล่ะครับ ผมจะได้ให้เด็กๆ ไปรับ”
“สวัสดีครับคุณกร ดูแข็งแรงเหมือนเดิมเลยนะครับ พอดีผมเพิ่งทราบเรื่องจากดอกเตอร์วิกานดาว่า ม่านไหมเขาเลือกสถานที่จัดงานเป็นที่นี่ ลงเครื่องผมก็รีบมาที่นี่เลย”
“นี่คุณกรรู้จักพี่เทวินทร์ด้วยเหรอคะ”
“อ้อ คุณเทวินทร์เป็นเจ้าของเรือนไทยหลังนี้ครับคุณม่านไหม”
ม่านไหมทำหน้านิ่งสนิทไป นี่เธอก็เพิ่งรู้ตัวว่า เลือกสถานที่จัดงานเป็นเรือนไทยของตระกูลเทวินทร์ที่ตกทอดกันมานานตั้งแต่สมัยอยุธยา เธอเองมาเห็นเรือนไทยหลังนี้ก็ชอบบรรยากาศของที่นี่ทันทีและคิดว่า พี่ๆ ศิษย์เก่าจะชอบสถานที่นี้เหมือนกันกับเธอ แต่เธอกลับไม่รู้เลยว่า เจ้าของสถานที่นี้คือ ศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยและเป็นรุ่นพี่ตัวดีของเธอนี่เอง
“นี่ก็ค่ำแล้ว เธอจะขับรถกลับกรุงเทพไหวเหรอ”
“ไหมให้ลุงนพแกมาส่งน่ะค่ะ เดี๋ยวแกคงมารับ”
ตี๊ด...ตี๊ด...ตี๊ด
“ค่ะ ลุงนพอยู่ไหนแล้วคะ อ้าว...ทำไมล่ะคะ”
ม่านไหมเดินคุยโทรศัพท์ไปที่ประตูเรือนไทย ก่อนจะวางสายและหันหลังกลับมามองที่เทวินทร์ด้วยสีหน้าไม่สบายใจ แต่ในวินาทีนั้นราวกับเวลาหยุดเดิน ภาพที่เทวินทร์เห็นคือ หญิงสาวผมยาวใบหน้าสวยงามเหมือนม่านไหมหันกลับมามองเขาและยิ้มหวานให้ สไบสีกลีบบัวพลิ้วไสวไปตามสายลม แสงพระอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าสาดแสงเข้ามาในเรือนไทยราวกับภาพวาด เทวินทร์ตกตะลึงในภาพที่เห็นนั่นช่างเป็นภาพที่คุ้นเคยในจิตของเขาเสียเหลือเกิน
“สวยมากใช่มั้ยครับ งามเหมือนเจ้านางในยุคอยุธยา” สิ้นเสียงคุณทินกร เทวินทร์ก็ได้สติเขามองตามเสียงของทินกร ยังไม่ได้อ้าปากพูด ม่านไหมก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขา
“ไหมกลับไม่ได้แล้วล่ะค่ะ ลุงนพรถเสียยังอยู่แถวปทุมธานีอยู่เลย”
“จริงๆ ที่นี่มีเรือนรับรองอยู่นะครับ เพราะคุณย่าคุณวินทร์ท่านจะมาพักที่นี่บ่อยๆ คุณไหมนอนที่นี่สักคืนก็ได้ครับ”
“แต่ไหมไม่มีเสื้อผ้ามาเลยนะคะ”
“ในรถพี่ มีชุดติดมาอยู่ แต่เป็นเสื้อกับกางเกงฟุตบอล เธอคงใส่ได้นะ”
“ไหมไม่มีทางเลือกนี่ ลุงนพนะลุงนพ”
เรือนรับรองอยู่ห่างจากเรือนไทยไม่ถึง 500 เมตร ม่านไหมเดินตามคุณทินกรและเทวินทร์ไปอย่างเงียบๆ ตั้งแต่ตอนที่เทวินทร์จับแหวนทับทิมโบราณ เธอก็สวมมันไว้ที่นิ้วนางของเธอตลอด ความรู้สึกมันแปลกๆ ทั้งเศร้าทั้งดีใจอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ อีกสักพักก็รู้สึกมีความสุขอบอุ่นในใจ จนเธอเผลอคิดไปเองว่า เธอจะไม่สบายหรือเปล่า
“เป็นอะไรหรือเปล่า พี่เห็นเงียบตั้งแต่ออกมาจากเรือนไทยแล้ว” ม่านไหมส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปจับที่แหวนทับทิมโบราณวงนั้น ยิ่งเขามาพูดด้วยมาสนใจเธอก็ยิ่งใจสั่นอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ปกติตอนเรียนด้วยกันเธอชังหน้าเขามาก เพราะเทวินทร์ชอบแกล้งเธอแรงๆ และทำให้เธออายต่อหน้าเพื่อนตลอด
“แหวนนั่นพี่ทิวาคงซื้อให้สินะ เธอถึงจับไว้ตลอดเหมือนของสำคัญแบบนั้น”
“ไหมรู้สึกเหมือนจะป่วยน่ะค่ะ ถึงเรือนรับรองแล้วไหมขอตัวก่อนนะคะ” พูดจบม่านไหมก็หันไปกล่าวลาคุณทินกรและหันไปสบตาเทวินทร์อีกครั้งก่อนโค้งตัวเป็นเชิงขอตัว พร้อมกับรับเสื้อผ้าจากมือเทวินทร์มาแล้วเดินเข้าห้องทันที
ม่านไหมนั่งลงบนเตียงก่อนจะเอามือทาบที่หัวใจตัวเอง ใจเธอเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ยิ่งจังหวะที่เทวินทร์พูดถึงแหวนและการหมั้นหมายของเธอกับทิวา ยิ่งทำให้เธอใจสั่นอยากจะร้องไห้อย่างหาสาเหตุไม่ได้
‘คนผิดสัจจะ พลิกผิดให้เป็นชอบได้หน้าตาเฉย ทั้งที่ตัวเองนั่นแหละที่แปรเปลี่ยน ลืมหมดทุกถ้อยที่เคยให้คำสัญญา ยังกล้ากล่าวหาว่า ข้านี้แปรเปลี่ยนใจกายเป็นของผู้อื่นทั้งที่ความจริงตนเองนั่นแหละที่กระทำ’
ก็อก ก็อก ก็อก
“ผมวางอาหารมื้อค่ำไว้ตรงนี้นะครับคุณม่านไหม”
ม่านไหมเดินออกไปหยิบสำรับอาหารที่ถูกจัดใส่จานมาราวกับสำรับโบราณในสมัยอยุธยา มีทั้งเครื่องคาวหวาน น้ำพริกผักจิ้ม แกงป่าและยำถั่วพู ของหวานเองก็น่ากินไม่แพ้กันทั้งทองหยิบ ทองหยอดและทองเอก จัดสำรับได้สวยงามจับใจเหลือเกิน
ม่านไหมนั่งรับประทานสำรับอย่างสบายอารมณ์ เธอลืมเรื่องความรู้สึกต่างๆ ที่มีต่อเทวินทร์ไปเสียสนิท เมื่อทานข้าวเสร็จก็อาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน และไม่ลืมที่จะหยิบโน๊ตบุ๊คจากกระเป๋าของเธอ และพิมพ์บรรยายบรรยากาศเรือนไทยอันสวยงามที่เธอได้เห็นในวันนี้ ด้วยเรือนรับรองฝั่งที่เธอนอนนั้นหน้าต่างได้หันไปทางเรือนไทยหลังใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก และด้วยคืนนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง ดวงจันทร์ดวงใหญ่จึงลอยเด่นอยู่ขนาบข้างกับเรือนไทยที่มีแสงไต้สว่างไปทั่วทั้งเรือน ช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยากและตราตรึงงามฝังใจเสียเหลือเกิน
“ท่านหญิงขอรับ ท่านหญิงเป็นกระไรหรือไม่ขอรับ”
“นังอิ่ม เอ็งไปตามแม่นายท่านมาดูท่านหญิงสิ หลับไม่ได้สติเยี่ยงนี้”
“เกิดกระไรขึ้นรึนังอิ่ม คุณวาดจันทร์เป็นกระไร” เด็กชายรีบอุ้มร่างนั้นขึ้นมาและรีบพาแม่วาดจันทร์ขึ้นเรือนไป ทั้งเรือนแตกตื่นกันไปหมดเมื่อเห็นนายหญิงน้อยของบ้านสลบไสลมิได้สติ
“ลูกกูเป็นกระไร ลงเรือนไปเมื่อประเดี๋ยว ทำไมกลับขึ้นเรือนมาแน่นิ่งแบบนี้”
“ท่านหญิงเธอวิ่งลงเรือนไปกับนังน้อย และสะดุดล้มลงหน้าเรือน บนว่าจุกแล้วก็เป็นลมไปเจ้าค่ะ บ่าวไปถึงท่านหญิงก็สลบแน่นิ่งไปเสียแล้วเจ้าค่ะ”
“รีบไปเอาน้ำเอาท่ามาเช็ดตัวให้ลูกกู ถ้าลูกไม่ฟื้นพวกมึงได้ตายตกไปตามแน่”
“แม่ท่าน พี่เทียน ลูกดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ” เด็กหญิงเกล้าจุกค่อยๆ ยันร่างตนเองขึ้น คุณหญิงกลิ่นแก้วรีบนั่งลงข้างๆ ลูกสาวอันเป็นที่รัก ก่อนจะลูบหน้าลูบตาด้วยผ้าชุบน้ำเบาๆ
“แม่ใจหายหมดแม่วาดจันทร์ เหตุใดถึงวิ่งเป็นลิงเป็นค่างจนหกคะล้มได้ล่ะลูก”
“ลูกเห็นพี่เทียนกับพี่เทพ จึงจักรับวิ่งไปหาเจ้าค่ะ ไม่คิดว่าจะพลัดร่วงลงตรงหน้าบันไดเรือน เจ็บเหลือเกินเจ้าค่ะ”
“เหตุใดเจ้าไม่เรียกพี่ พี่จักได้วิ่งมาหาหากมิได้ยินเสียงนังอิ่มกับไอ้ทับ มันร้องโวยวายขึ้นมา พี่คงมิรู้ว่าน้องสาวพี่เป็นลมอยู่หน้าเรือน”
“น้องเรียกแล้วเจ้าค่ะ แต่พี่เทพเมินหนีน้อง พี่เทียนก็มิได้ยิน...น้องจึงรีบวิ่งตามเจ้าค่ะ”
“เจ้าเทพเสียอีกแล้ว พี่จักฟ้องเจ้าคุณพ่อให้กำราบเสียให้เข็ด” พูดจบพ่อเทียนก็รีบลุกและเดินลงจากเรือนไปทันที
แม่วาดจันทร์นั่งเล่นจนหายดีแล้วจึงเดินกลับเข้าห้องของตัวเองเพื่อไปอาบน้ำล้างตัวให้สะอาด พลันหันไปเห็นอะไรบางอย่างสีทองๆ ซ่อนอยู่ในกระจาดเสื้อผ้าของตน เมื่อลองแหวกผ้าก็เห็นกำไลทองวางทับกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่
“กำไลนี้พี่ให้แทนใจรัก เป็นคำสัตย์แทนใจของพี่หนอ
มิมีใครแทนที่เจ้านวลลออ จักเพียงรอคอยรักเจ้าทุกชาติไป”
แม่วาดจันทร์หยิบกำไลขึ้นมาพินิจอยู่ชั่วครู่ ก็นึกถึงตอนที่ไปเดินตลาดกับคุณเทียนและคุณเทพ เธอแอบเห็นคุณเทพซื้อกำไลทองวงนี้มาและทำทีจะมอบให้เธอ แต่คุณเทียนเดินมาเสียก่อน คุณเทพจึงเดินเลี่ยงเธอไปบัดนี้กำไลวงนั้นได้มาอยู่ในกระจาดเสื้อผ้าของเธอเมื่อใดกัน เธอเต็มไปด้วยความฉงนใจ