เธโอมองดูภาพถ่ายที่ถูกปรับปรุงจนมองเห็นใบหน้าตรงของเรย์ เวลลี่ได้ชัดเจนขึ้น ถึงแม้มันจะไม่เหมือนกับรูปของ เกรซ บลูเกอร์ ที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ ตอนที่ถูกจับกุมข้อหาฉ้อโกงและค้าประเวณี แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นใบหน้าของเธอหลังศัลยกรรมแล้ว เธโอรีบพิมพ์ตอบสกอเลอร์ในโปรแกรมแชท
“สกอเลอร์ ถ้าให้คุณช่วยเทียบความเป็นไปได้ว่าโครงหน้าของ เกรซ บลูเกอร์ กับ เรย์ เวลลี่ เป็นคนเดียวกันหรือเปล่า พอจะทำได้มั้ยครับ”
“ทำได้ แต่ความแม่นยำอยู่ที่หกสิบเปอร์เซ็นต์ เพราะภาพที่ได้มาถูกปรับปรุงด้วยระบบไปแล้ว”
“งั้นช่วยวิเคราะห์ให้หน่อย”
สกอเลอร์เงียบไปพักใหญ่ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับมา “เปรียบเทียบความเข้ากันได้ของโครงหน้า มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นคนเดียวกันเก้าสิบเปอร์เซ็นต์”
เธโอสูดหายใจเข้าเพื่อระงับความตื่นเต้นที่กำลังปะทุขึ้นในใจ แม้ว่าผลจากการคำนวณนี้จะยังพิสูจน์ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เขาให้ความเชื่อถือกับสกอเลอร์มาก เธโอส่งภาพถ่ายหน้าตรงของ เรย์ เวลลี่ ให้กับเควินก่อนจะโทรหาเขา ไม่นานนักอีกฝ่ายก็รับสาย
“ภาพนี้ไม่ใช่ภาพถ่ายจริงใช่มั้ย ใช้ระบบช่วยปรับแก้ไขหรือ” เควินกล่าวทันทีหลังจากสำรวจดูภาพถ่ายอย่างพินิจพิเคราะห์
“ครับ และผลการคำนวณของระบบเทียบกับใบหน้าของ เกรซ บลูเกอร์ มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นคนเดียวกัน”
“ยังไงมันก็ยังใช้เป็นหลักฐานเพื่อจับกุม เรย์ เวลลี่ ไม่ได้” เควินเงียบไปเหมือนกำลังใช้ความคิดก่อนจะกล่าวต่อ “แต่ฉันจะลองขอภาพจากกล้องวงจรปิดของแขกที่เข้าพักรายวันในหอพักก่อนวันเกิดเหตุว่าตรงกับใครที่ปรากฏตัวในหอพักทั้งสามแห่งมั้ย ถ้าใบหน้าของเรย์ เวลลี่ ไปปรากฏในหอพักของเหยื่อทั้งสามรายก่อนเกิดเหตุ ก็จับกุมเธอในฐานะผู้ต้องสงสัยได้”
“ฝากด้วยนะครับ”
“ขอบใจที่ช่วยหาข้อมูลให้ ตอนนี้เธอเลิกยุ่งกับคดีได้แล้วล่ะ”
“คุณเควินทราบใช่มั้ยครับว่าก๊อปปี้แคทจะลงมือฆ่าคนที่เขาแฉลงเว็บบอร์ดในวันที่สาม นั่นก็หมายความว่าถ้า เกรซ บลูเกอร์ เป็นคนเดียวกับ เรย์ เวลลี่ จริง เธออาจจะถูกฆ่าตายวันนี้”
เควินเงียบไปพักหนึ่งเหมือนกำลังชั่งใจก่อนถามกลับมา “ที่เธอกำลังร้อนใจเป็นเพราะห่วงชีวิตของ เกรซ บลูเกอร์ หรือห่วงว่าเบาะแสของเรื่องที่เธอกำลังสืบอยู่จะหายไปกันแน่”
เธโอชะงักไม่สามารถตอบเควินได้ในทันที เมื่อเรียบเรียงความคิดได้เขาจึงตอบเสียงเบา “ทั้งสองอย่างครับ”
“เธอควรนึกถึงชีวิตของเกรซก่อน ถึงแม้เขาจะเป็นอาชญากรก็ตาม”
“นั่นมันก็แค่คำพูดไม่ใช่หรือครับ เวลาคุณเควินตามจับคนร้าย หากเป็นไปได้ก็คงไม่คำนึงถึงชีวิตของอาชญากรหรอก”
“ในกรณีที่มีชีวิตเหยื่อคนอื่นเป็นเดิมพันก็คงต้องเป็นแบบนั้น แต่ถ้าไม่มีเหยื่อ อาชญากรก็ถือว่าเป็นมนุษย์คนนึง”
“ผมขอไม่เถียงกับคุณเควินตอนนี้ดีกว่าครับ ขออนุญาตวางสายนะครับ”
เควินได้ยินเสียงสายตัดไปก็ได้แต่กดปิดโทรศัพท์ก่อนจะบ่นพึมพำออกมา “ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงตอบข้อแรก”
เธโอยังรู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อยแต่ตอนนี้สมาธิของเขาอยู่ที่เรื่องของ เกรซ บลูเกอร์ เขากดพิมพ์ข้อความหาสกอเลอร์อีกครั้ง
“ผมอยากรู้ว่าวันนี้ เรย์ เวลลี่ ต้องไปที่ไหนบ้าง พอจะหาข้อมูลได้มั้ยครับ”
“ถ้าเจาะระบบจีพีเอสในรถของ เรย์ เวลลี่ ก็พอจะทำได้อยู่ แต่มันผิดกฎหมายนะ”
“ทำเถอะครับ ถ้าหาตัวเธอไม่เจอ บางทีเธออาจถูกก๊อปปี้แคทฆ่าซะก่อนก็ได้”
สกอเลอร์เงียบไปพักใหญ่จึงส่งแผนที่ให้เธโอพร้อมกับพิมพ์ตอบ “ฉันส่งที่อยู่ตอนนี้ของ เกรซ บลูเกอร์ ให้แล้ว เธอน่าจะกำลังพาเหยื่อที่หลอกมาได้วันนี้ไปส่งตามโรงแรม ขากลับเธอต้องใช้เส้นทางถนนที่มุ่งหน้ากลับมายังหอพักของเธอ”
“ก๊อปปี้แคทคงไม่ลงมือตอนที่มีเหยื่อคนอื่นอยู่ด้วย งั้นฉันจะไปดักเธอบนถนนที่ว่า”
“ขอเตือนอีกครั้ง คุณไม่ควรไปคนเดียวเพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตราย”
“ขอบคุณที่เป็นห่วง แล้วก็ขอบคุณที่ช่วยหาข้อมูลให้นะสกอเลอร์”
เธโอกดปิดคอมพิวเตอร์ก่อนเดินไปพลิกป้ายปิดร้านแล้วลงกลอนประตูเหมือนเดิม เขาเดินไปขึ้นรถในลานจอดรถแล้วขับออกไปเพื่อมุ่งหน้าไปยังถนนใกล้หอพักของ เรย์ เวลลี่ ซึ่งอยู่แถบชานเมือง
เกาะออลันด์เป็นเกาะที่เกิดจากการนำขยะมาถมซ้อนกันจนกลายเป็นเกาะได้สำเร็จเมื่อเกือบร้อยปีก่อนแต่เนื่องจากยังไม่ได้รับการยอมรับเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยต่างๆทำให้ในช่วงแรกๆไม่มีบริษัทอสังหาริมทรัพย์กล้าเข้ามาลงทุนสร้างที่อยู่อาศัย รัฐบาลจึงประกาศให้สร้างเรือนจำสำหรับขังนักโทษร้ายแรงและนักโทษที่ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตบนเกาะแห่งนี้แทน คนที่อพยพเข้ามาอยู่ถ้าไม่ใช่ญาติของนักโทษก็จะเป็นครอบครัวของผู้คุมที่ทำงานบนเกาะ แต่หลังจากผ่านไปห้าสิบปีจึงได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเกาะออลันด์มีความปลอดภัยเพียงพอที่จะให้ประชาชนทั่วไปอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานได้ เพื่อแก้ปัญหาประชากรมากเกินไปและแผ่นดินทรุดในบางประเทศจึงมีการตกลงร่วมกันระหว่างประเทศเหล่านั้นให้เริ่มมีการก่อสร้างหมู่บ้านและอาคารต่างๆขึ้นมา ไม่นานนักก็มีนักลงทุนชาวต่างชาติสนใจสร้างอสังหาริมทรัพย์และเริ่มเปิดให้คนไม่จำกัดเชื้อชาติเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ชุมชนต่างๆพัฒนาตัวเองผ่านกาลเวลาจนกลายเป็นเกาะออลันด์ซึ่งถือเป็นเขตปกครองพิเศษที่มีความเจริญไม่แพ้เมืองหลวงในประเทศอื่นๆเลย
เนื่องจากเกาะออลันด์มีพื้นที่ไม่ใหญ่มากนัก ชุมชนจึงแบ่งออกเป็นเมืองเล็กๆ ตามเขตต่างๆ เธโอขับรถผ่านอาคารบ้านเรือนในเกาะซึ่งส่วนใหญ่จะสร้างด้วยความสูงไม่เกินสิบห้าชั้นและเน้นโครงสร้างที่ยืดหยุ่นให้รองรับกับเหตุแผ่นดินไหวแม้จะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งก็ตาม เมื่อผ่านเขตเมืองไปแล้วจึงเข้าสู่ถนนจุดที่มุ่งหน้าสู่หอพักของ เรย์ เวลลี่ ซึ่งอยู่เลียบทางหน้าผา เมื่อมองผ่านกระจกรถออกไปจะเห็นทะเลภายใต้ท้องฟ้าสีหม่นกว้างสุดลูกหูลูกตา แสงอาทิตย์ยามบ่ายวันนี้ถูกบดบังด้วยเมฆกลุ่มใหญ่ เธโอจอดรถริมถนนเพื่อรอรถของเรย์ เวลลี่ ผ่านมา
ไม่นานนักสัญญาณของรถเป้าหมายก็ปรากฏขึ้นบนแผนที่ในรถของเธโอ เธโอขับรถตามในทันที ตอนนี้เรย์ เวลลี่ ขับรถอยู่เลนส์กลาง ไม่นานนักเสียงสกอเลอร์ก็ดังขึ้นจากลำโพงในรถ เสียงของสกอเลอร์เหมือนผ่านการใช้โปรแกรมแปลงเสียงจึงฟังดูคล้ายกับเสียงจากระบบคอมพิวเตอร์
“เธโอ ระบบในรถของเรย์ เวลลี่ มีปัญหา”
สกอเลอร์พูดยังไม่ทันขาดคำ เธโอก็เห็นรถของเรย์ เวลลี่ หักออกไปที่เลนส์ฝั่งซ้ายสุดซึ่งเป็นทางออกไปยังโค้งกลับรถใต้สะพานอย่างกระทันหัน และรถของเรย์ เวลลี่ กำลังวิ่งด้วยความเร็วโดยไม่มีทีท่าว่าจะชะลอความเร็ว เธโอขับรถตามเธอไปโดยพยายามบีบแตรให้เธอหยุดก่อนจะกล่าวกับสกอเลอร์
“หาทางหยุดระบบในรถเธอไม่ได้หรือ ทางกลับรถข้างหน้ามันติดหน้าผานะ”
“ฉันแทรกแซงระบบไม่สำเร็จ” เสียงสกอเลอร์ตอบกลับมา
เธโอจำใจต้องหยุดรถของตนเอง เพราะถ้ายังวิ่งด้วยความเร็วระดับนี้ต่อไปรถของเขาจะพุ่งผ่านแผงกั้นเหล็กและดิ่งลงจากหน้าผาร่วงลงไปในทะเลเบื้องล่างเหมือนอย่างที่รถของ เรย์ เวลลี่ กำลังทำอยู่ตอนนี้ เธโอรีบให้สกอเลอร์ต่อสายเรียกรถของหน่วยกู้ภัยและรถตำรวจให้มายังที่เกิดเหตุในทันที ก่อนที่เขาจะขับรถกลับร้านเดอะโมเมนโต
เฟรเดินไปเดินมาอยู่หน้าประตูร้านเดอะโมเมนโต เมื่อเห็นเธโอเดินเข้ามาก็รีบกล่าวถามขึ้นทันที
“นายไปหา เรย์ เวลลี่ มาหรือ”
“ครับ ขอโทษทีวันนี้ร้านปิดนะ”
“ฉันรู้ว่าปิดเพราะอะไร ถึงได้มารอคุยกับนายไง”
“เข้าไปคุยข้างในเถอะครับ”
ไฟในห้องนั่งเล่นถูกเปิดสว่างขึ้นทำให้เฟรเดินเข้าไปถูกห้อง ภายในมีเก้าอี้นวมตัวยาวสีน้ำเงินเข้มตั้งอยู่ตรงข้ามกับโต๊ะไม้ใช้วางโทรทัศน์เครื่องใหญ่ เธโอเดินหายเข้าไปในห้องครัวในขณะที่เฟรลงนั่งบนเก้าอี้นวมพลางมองผ่านกระจกประตูเลื่อนที่เปิดออกไปยังสวนแคบๆ ด้านหลังบ้านได้ แม้จะมีพื้นที่พอแค่ปลูกต้นไม้กระถางเล็กๆ ขนาบข้างทางเดินกว้างพอให้คนเดียวเดินผ่านได้แต่ก็ดีกว่าไม่มีพื้นที่สีเขียวเลย
ไม่นานนักเธโอก็เดินถือถาดใส่ถ้วยน้ำชาสองใบเข้ามาวางลงตรงหน้าเฟรแก้วหนึ่ง และวางไว้หน้าตนเองที่กำลังลงนั่งที่เก้าอี้นวมตัวเล็กข้างๆ แก้วหนึ่ง เฟรยกแก้วชาขึ้นจิบนิดหนึ่งก่อนถามอย่างสงสัย
“แล้วเป็นยังไงบ้าง ฉันได้ข่าวว่ารถของเรย์ เวลลี่ ตกทะเลหรือ”
“ข่าวไปไวจังเลยนะ”
“เรย์ เวลลี่ นอนไม่ได้สติอยู่ในโรงพยาบาลเพราะสมองขาดออกซิเจนไปชั่วขณะ ทางตำรวจบอกว่าประวัติของเธอคลุมเครือและอาจจะเกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมาย ก็เลยรอจับกุมเพื่อทำการสอบสวนต่อ”
“ถ้าเธอไม่ฟื้น เบาะแสที่มีอยู่ก็ขาดตอนแล้ว”
“แล้วอยู่ๆ ทำไมเธอถึงขับรถวิ่งลงทะเลไปแบบนั้นล่ะ”
เธโอชะงักไม่สามารถบอกได้ว่าสกอเลอร์ตรวจเจอความผิดปกติในระบบรถยนต์ของเรย์ เวลลี่ เขาจึงได้แต่อธิบายไปตามที่เห็น “อยู่ๆ เธอก็หักรถออกนอกเส้นทาง ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน ผมพยายามบีบแตรเรียกให้เธอจอดแล้วแต่ไม่ได้ผล”
“ได้ยินว่ามีรถวิ่งบีบแตรตามรถเธอก่อนจะตกน้ำ รถนายนี่เอง”
“ผมก็ติดลงไปในข่าวด้วยหรือเนี่ย”
เธโอแตะสัมผัสบนผิวหน้าโต๊ะรับแขกก่อนจะพิมพ์ค้นหาข่าวรถตกทะเลวันนี้ ไม่นานนักก็มีคลิปข่าวที่เกี่ยวข้องปรากฏขึ้นบนหน้าจอให้เลือกรับชม เธโอเลือกเปิดคลิปวีดีโออันหนึ่งขึ้นมาดูซึ่งมองเห็นรถสีน้ำตาลแดงของเขากำลังบีบแตรเสียงดังอยู่ในคลิป เธโอยกมือขึ้นปิดปากสีหน้าเครียดลงนิดหนึ่ง
“แย่ล่ะสิ”
หลังจากเขาบ่นพึมพำออกมาเสียงเตือนสายเรียกเข้าโทรศัพท์ก็ดังขึ้นจากลำโพงในห้อง เธโอเหลือบมองหน้าจอจึงพบว่าเควินเป็นคนโทรเข้ามา เขาถอนหายใจยาวก่อนกดรับสาย เสียงของเควินดังออกลำโพง
“เธอไปทำอะไรในที่เกิดเหตุ”
เธโอหลับตานิดหนึ่งรู้อยู่แล้วว่าต้องโดนตำหนิก่อนจะตอบอีกฝ่ายเสียงแผ่ว “อาจจะไม่ใช่รถของผมก็ได้นะครับ”
“ไม่ต้องมาไม่ใช่เลย ป้ายทะเบียนขึ้นเด่นอยู่ในคลิป ดีนะที่เป็นภาพถ่ายจากมือถือของคนที่ขับรถผ่านไม่ใช่กล้องวงจรปิด เขาเข้าใจว่าเธอเป็นพลเมืองดีที่เห็นเหตุการณ์ก็เลยช่วยบีบแตรเรียกให้หยุดเพราะหวังดี”
“ผมเป็นพลเมืองดีที่พยายามบีบแตรเตือนจริงๆ นี่ครับ จะให้ไปเป็นพยานก็ได้นะ”
“ถ้าเรื่องหลุดไปถึงพ่อของเธอ ฉันโดนว่ายับแน่ เอาลูกเขาไปเสี่ยงอันตราย”
“ผมพยายามหยุดเธอครับ ไม่ได้เสี่ยงอะไร แค่บังเอิญขับรถอยู่ข้างหลังเธอน่ะครับ”
“แค่บังเอิญจริงน่ะหรือ ไม่ใช่จงใจตามสืบเรื่องที่เธอเป็นคนเดียวกับ เกรซ บลูเกอร์ หรือเปล่าหรอกหรือ”
“ในคลิปมีอยู่แค่ไหนก็อธิบายไปตามนั้นเถอะครับ” เธโอกล่าวอย่างจนใจ “แล้วสรุปว่าเธอใช่คนเดียวกับเกรซหรือเปล่า”
“กำลังส่งตรวจดีเอ็นเออยู่ แล้วก็เรื่องกล้องวงจรที่หอพักสรุปว่ามีใบหน้าของ เรย์ เวลลี่ คนนี้ไปโผล่จองหอพักแบบรายวันบนชั้นเดียวกับที่เหยื่อพักอยู่ก่อนเกิดเหตุทั้งสามแห่งเลย จากที่สอบปากคำพยานเพิ่มเติมเป็นไปได้ว่าในวันเกิดเหตุ เรย์ทำทีเป็นมาเยี่ยมผู้ตายทั้งที่ตัวเองพักอยู่ในห้องพักชั้นเดียวกับผู้ตายมาหลายวันแล้ว จากนั้นก็หลอกให้ผู้ตายดื่มเหล้าเพราะผู้ตายแต่ละคนมีนิสัยชอบเก็บเหล้าไว้ดื่มอยู่แล้ว เมื่อผู้ตายเมาก็คงจะหลอกให้เดินไปแถวระเบียงแล้วค่อยผลักลงไป จากนั้นก็กลับเข้าห้องพักของตนเองทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“แล้วในคดีของ เวนดี้ ลอว์สัน ล่ะครับ”
“คาดว่าใช้วิธีเดียวกันและทำทีเป็นมาเยี่ยมผู้ตายในวันเกิดเหตุ พอเข้าห้องผู้ตายได้ก็น่าจะวางอุปกรณ์อะไรซักอย่างที่ใช้รีโมทย์สีดำทำให้ไฟฟ้าตัดได้เหมือนอย่างที่เห็นในคลิป พอปล่อยก๊าซเข้าไปในห้องที่ประตูหน้าต่างปิดสนิททั้งที่ไม่เปิดเครื่องปรับอากาศ ผู้ตายก็เลยสูดก๊าซเข้าไปในปริมาณมาก หลังจากนั้นอาจจะมีการแอบเปิดประตูเพื่อไล่กลิ่นก๊าซออกด้วย ตอนตำรวจเข้าไปตรวจสอบถึงไม่ได้กลิ่นอะไรเลย”
“งั้นก็พิสูจน์ได้แล้วว่า เรย์ เวลลี่ เป็นฆาตกรน่ะสิครับ”
“ยังต้องส่งหลักฐานบางอย่างไปตรวจสอบเพิ่มเติมเพื่อยืนยันอีกครั้ง ยังจับเธอข้อหาฆาตกรรมไม่ได้ แต่เรื่องลงโพสต์รับสมัครงานเพื่อหลอกผู้หญิงไปค้าประเวณี ฉันกำลังตรวจสอบอยู่ ถ้าเกี่ยวข้องกันจริงจะได้ตั้งข้อหาทีเดียว” เควินเงียบเมื่อเห็นข้อความเข้ามาในมือถือของตนเองก่อนจะอ่านให้เธโอฟัง “ผลดีเอ็นเอออกมาแล้วว่า เรย์ เวลลี่ คนนี้เป็นคนเดียวกับ เกรซ บลูเกอร์ ถ้าเธอฟื้นเมื่อไรฉันจะสอบสวนเธอเพิ่มเติมอีกที”
“เข้าใจแล้วครับ ถ้ามีอะไรข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตระกูลดามาเช่ ก็ช่วยบอกผมด้วยนะ”
“ถ้าบอกแล้วเธอจะบุ่มบ่ามไล่ตามคนร้ายไปแบบวันนี้อีกมั้ยล่ะ คราวหน้าก็ปล่อยให้กล้องวงจรจับภาพได้เลยสิ ฉันจะได้เชิญมาสอบปากคำด้วยเลย” เสียงของเควินเริ่มขุ่นเหมือนกำลังไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ไม่ล่ะครับ เกรงใจ”
เควินได้ยินอีกฝ่ายตอบเสียงแผ่วก็พูดอย่างใจเย็นลงได้บ้าง “ฉันไปทำงานต่อล่ะ อยู่เฝ้าบ้านให้ดีๆ นะ”
“ครับ” เธโอตอบคำเดียวสายก็ตัดไปเลย เขาได้แต่ถอนหายใจยาวทั้งโล่งอกและผิดหวังระคนกัน
เฟรที่นั่งเงียบอยู่นานจึงเริ่มตั้งคำถาม “ลืมไปแล้วมั้งว่าฉันนั่งอยู่ตรงนี้”
“ไม่ลืมหรอกครับ แต่คราวก่อนคุณเควินยอมพูดข้อมูลสำคัญตอนที่เฟรนั่งอยู่ด้วยก็แปลว่าเขาเชื่อใจ ถ้าจะเอาข้อมูลไปเปิดเผยก็ช่วยรอจนกว่าตำรวจจะแถลงข่าวก็แล้วกันนะ”
“เฉพาะเรื่องที่ฉันหาข้อมูลได้ ฉันขอเอาลงก่อนก็แล้วกันนะ อย่างเช่นเรื่องโพสต์รับสมัครงานหลอกผู้หญิงไปค้าประเวณี”
“เรื่องนั้นแล้วแต่เลยครับ” เธโอยกถ้วยชาขึ้นดื่มโดยไม่ทันสังเกตสายตาของเฟรที่ลอบมองเขาอยู่นานแล้ว
“นี่ถามจริงๆ เถอะ ตระกูลดามาเช่มีอะไรหรือ ทำไมนายถึงสืบเรื่องพวกเขา”
เธโอไอสำลักน้ำชานิดหนึ่งก่อนจะวางถ้วยชาลงบนโต๊ะแล้วแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน “ตระกูลอะไรนะครับ”
“อย่ามาทำเป็นไม่รู้ ตระกูลดามาเช่มีประวัติเรื่องธุรกิจสีเทามานานแล้วก็เป็นผู้มีอิทธิพลในเมืองทันนิซด้วย ใครๆ ก็รู้ นายจะไปตามสืบเรื่องพวกนั้นทำไม”
“พอดีมีเรื่องต้องทำให้แน่ใจน่ะครับ แต่ผมไม่ได้คิดจะไปสู้อะไรกับเขาหรอก”
“ต่อให้คิดจะสู้แล้วนายจะเอาอะไรไปสู้ ขนาดตำรวจยังไม่ค่อยจะกล้ายุ่งเลย” เฟรกล่าวท่าทางเป็นกังวล เสียงของเธอเข้มขึ้น “เรย์ เวลลี่คือคนๆ เดียวกับ เกรซ บลูเกอร์ และเกรซคนนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลดามาเช่ นายถึงตามรอยเธอขนาดนี้ใช่มั้ย”
“ยอมรับก็ได้ว่าใช่”
“แล้วทำไมบังเอิญก๊อปปี้แคทจะต้องเข้ามาพัวพันกับคดีที่เกี่ยวกับตระกูลดามาเช่ด้วย ในคดีงานเลี้ยงฆาตกรรมบนรถไฟที่เมืองเนมุสก็ทีนึงแล้ว”
“เรื่องนั้นผมก็อยากรู้เหมือนกัน ทางตำรวจเองก็กำลังตามรอยก๊อปปี้แคทอยู่ บางครั้งคุณเควินกับผมก็จะแชร์ข้อมูลกัน”
“พอแล้วๆ วันๆ คิดแต่เรื่องพวกนี้ไม่เครียดตายก็ให้มันรู้ไปสิ” อารมณ์ของเฟรเริ่มเปลี่ยนเป็นรำคาญ เธอหันไปมองเธโอ “นอกจากเรื่องสืบคดีแล้ว วันๆ นายใช้ชีวิตอยู่ยังไงบ้างเนี่ย”
เธโอย่นคิ้วนิดหนึ่งกำลังคิดตามเพื่อหาคำตอบ “ก็ตื่นมากินข้าว เปิดร้าน เย็นก็อาบน้ำนอน แค่นี้ครับ”
“ฉันหมายถึงว่าเคยไปเที่ยวบ้างมั้ย มีงานอดิเรกอะไร” สีหน้าของเฟรสลดลงนิดหนึ่ง “หลังจากเกิดเรื่องในสวนสาธารณะตอนนั้น นายหายไปอยู่ที่ไหนทำไมถึงมาเปิดร้านแถวบ้านฉันโดยที่ฉันไม่รู้เรื่องเลย”
“เท่าที่จำได้ผมก็อยู่ที่นี่มาตลอดนะครับ เพียงแต่จำเรื่องของเฟรไม่ได้ก็เลยไม่เคยแวะไปเยี่ยม”
“อยู่ที่นี่มาตลอดก็หมายความว่าคุณลุงเควินก็รู้ว่านายอยู่ที่นี่ด้วยงั้นหรือ”
“ครับ ที่ไม่ได้บอกอาจจะมีเหตุผลของเขาก็ได้ ผมเองก็ค่อยๆ หาทางฟื้นความทรงจำอยู่”
“ที่จริงฉันก็เสียความทรงจำในช่วงนั้นไปเหมือนกัน” เฟรยอมรับออกมาทำให้เธโอเริ่มตั้งใจฟัง เฟรท่าทางอีดอัดนิดหน่อยก่อนจะเล่าต่อ “หมอบอกว่าเป็นอาการสะเทือนใจอย่างรุนแรงจนเสียความทรงจำชั่วคราว มีแต่ภาพที่นายนอนจมกองเลือดในสวนสาธารณะเท่านั้นที่ฉันยังจำได้แม่น แต่เกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านั้นหรือหลังจากนั้น ฉันจำไม่ได้เลย”