จิ้งเฉินไม่ยอมตอบกลับทำเพียงวางมือข้างหนึ่งลงบนหัวไหล่มน แล้วค่อยๆ รั้งสาบเสื้อสีขาวของนางออก เผยให้เห็นหัวไหล่ลาดเนียนขาวนวลดุจหิมะแรก สูดหายใจทีหนึ่งเพื่อไม่ให้สตรีตรงหน้ารู้ว่าความรู้สึกของเขาในยามนี้เป็นเช่นไร
เมื่อรู้ว่าสิ่งใดกำลังเกิดขึ้น เจียงซูเหยาก็ได้แต่หลับตาลง กลืนความเจ็บปวดเอาไว้ในอก
นางเป็นภรรยาเอกของเขา แต่งเข้ามาแล้ว ช้าเร็วเรื่องแบบนี้ก็คงเกิดขึ้น เสียใจก็แค่เขาทำเพราะคำสั่งมารดา ส่วนนางมันคือหน้าที่ ซึ่งไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนหนีแค่ไหนก็ล้วนไร้ซึ่งทางรอด
เนื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ค่อยๆ ถูกปลายนิ้วหนาหนักของคุณชายรองดึงรั้งลง เพียงอึดใจเดียวร่างกายพลันเปลือยเปล่า นางกัดฟันแล้วเดินไปยังเตียง โดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองสีหน้าของบุรุษที่อยู่ร่วมห้องด้วยซ้ำ
แสงสว่างของเช้านี้สาดส่องเข้ามาในห้อง และแสงนั้นคล้ายจะร้อนแรงกว่าทุกวัน
ผ้าม่านถูกจิ้งเฉินดึงรั้งลงมาพร้อมกับร่างกายสูงใหญ่ของเขาขยับเข้าใกล้ บัดนี้นัยน์ตาคมเข้มเอาแต่ทอดมองร่างบอบบางของคุณหนูสิบเจ็ดที่ไร้เนื้อผ้าปกปิด นางนอนหงายอยู่กลางเตียงให้ความรู้สึกเหมือนหญิงงามที่กำลังหลับใหลไม่สนใจเลยว่าจะเกิดสิ่งใด
ท่าทีเฉยชาคล้ายไม่ทุกข์ร้อนเช่นนี้ยิ่งสร้างความขุ่นเคือง จนในที่สุดจิ้งเฉินก็ค่อยๆ ปลดเสื้อตัวนอก เหลือเพียงชุดสีขาวติดกาย
ก้าวขึ้นเตียงได้ก็ขยับกายทาบทับร่างบอบบางบนเตียงจนไร้ช่องว่าง ลมหายใจของเขาในยามที่แนบชิดกับนางยิ่งนัก แม้กระทั่งในยามที่แนบปลายจมูกลงสัมผัสลำคอผ่องขาวของเจียงซูเหยาก็ยังไม่เผยอารมณ์ใดๆ ออกมา เขาทำเพียงดอมดมกลิ่นกายของนางซ้ำๆ มือข้างหนึ่งขยับเคลื่อนไหวไปตามทรวดทรงเย้ายวนของคนใต้ร่าง
ขยำลูบไล้คลึงเคล้นในบางจุด ปากขบเม้มสร้างร่องรอย แต่ไม่ว่าจะทำยังไงร่างกายของเจียงซูเหยากลับไร้การตอบสนอง นางนอนนิ่งเหมือนกับท่อนไม้ท่อนหนึ่งที่ไร้ชีวิตจิตใจ
เห็นนางเป็นเช่นนี้ ความอยากเอาชนะก็ยิ่งมีมาก เขาอยากรู้เหลือเกินว่านางจะทนได้อีกนานแค่ไหน ดังนั้นแทนที่จะกรุ่นโกรธกลับพยายามครอบครองริมฝีปากสีชมพูดุจกลีบดอกเฉียงเวยของนางจนบอบช้ำ
เจียงซูเหยาพยายามบ่ายเบี่ยงหนีแล้ว แต่ปลายนิ้วแข็งแรงที่บีบปลายคางเอาไว้ในยามนี้กลับไม่ยอมให้หลีกหลบได้ง่ายๆ สุดท้ายริมฝีปากก็ถูกคุณชายรองขบกัดจนบวมช้ำ
แม้ภายในใจลึกๆ คุณหนูสิบเจ็ดตระกูลเจียงจะรู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นหน้าที่ แต่ในยามหลับตาลงยินยอมให้เขาทำเช่นนี้หางตาของนางกลับมีน้ำตาไหลออกมา
เพียงครู่เดียวก็จางหายไป เหลือเพียงความนิ่งเฉย
ต่อให้เขาจูบมากกว่านี้ สัมผัสจนร่างกายทุกส่วนบอบช้ำ นางก็จะไม่มีวันเปิดเผยความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ ออกมา เมื่อไม่เจ็บปวดก็คิดเสียว่าการใกล้ชิดครั้งนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ร่างกายของนางยังเป็นของนาง หาเคยตกเป็นของเขาสักครั้งไม่
แต่น่าเสียดายที่คุณชายรองจิ้งเฉินไม่ปล่อยให้เจียงซูเหยาเป็นเช่นนั้น เพราะตอนนี้เขาไม่บังคับฝืนใจนางด้วยความดุดันอีกแล้ว แต่กลับค่อยๆ ล่อหลอกให้หลงใหลไปกับการร่วมเตียง
ร่างกายสูงใหญ่ขยับต่ำลง พร้อมปากและจมูกที่ฝังไปตามเรือนร่าง บางครั้งจูบ บางครั้งขบกัด ค่อยๆ แผดเผาด้วยปลายลิ้นและสัมผัสของเขา
เจียงซูเหยาจึงได้แต่เกร็งสะท้าน นางพยายามผลักไสใบหน้าคมคายของคุณชายรองที่เพิ่งฝังลงกลางหน้าท้อง กระทั่งสำเร็จจึงคิดหลีกหนีลงจากเตียง แต่สตรีอ่อนแอบอบบางอย่างนางจะหนีเงื้อมมือคนผู้นี้ไปได้อย่างไร
ปลายเท้ายังไม่ทันแตะพื้น เอวเล็กบางที่รวบกำได้เพียงฝ่ามือเดียวพลันถูกลำแขนของจิ้งเฉินเหนี่ยวรั้งกลับมา แผ่นหลังของนางคล้ายจะแนบกับร่างกายส่วนหน้าที่ยังมีเสื้อผ้าปกปิดของเขา
ปากอุ่นร้อนคู่นั้นซุกซอกคอพลางเอ่ยด้วยเสียงสั่นพร่า
“น้องหญิง เจ้าจะไม่ยินยอมหรือ”
นางเม้มปากแน่น ภายในใจตะโกนออกมาว่าไม่ยินยอม แต่ในยามที่มือข้างหนึ่งของคุณชายรองลูบไล้ปัดผ่านหน้าท้องแบนราบเพื่อสัมผัสกับความอ่อนนุ่มกลางกายนั้นกลับสั่นระริกจนต้องส่งเสียงครางประท้วงออกมา
“คุณชายรอง ปล่อยข้า” เจียงซูเหยาวอนขอด้วยเสียงสั่นสะท้าน
แต่คำเรียกนี้กลับเป็นดังดาบที่ฟาดฟันเชือกเส้นสุดท้ายเพราะสิ้นเสียงวอนขอ นิ้วหนึ่งของเขากลับแนบลงกลางความบอบบางแถมยังกดคลึงเข้าไปในซอกลึกนั้นอีก
เจียงซูเหยาเกร็งตัว ยิ่งคุณชายรองขยับปลายนิ้วรุกล้ำมากเท่าไหร่ ร่างกายของนางก็ยิ่งสั่นมากขึ้น นางในตอนนี้บอบช้ำราวกับดอกเสาเย่าต้องหยาดฝน
ดอกไม้งดงามกลางร่างถูกแตะต้องรุนแรง เสียจนไม่อาจหักห้ามเสียงครวญครางเอาไว้ได้
ในขณะที่สตรีในอ้อมแขนตัวเทิ้มสั่นเช่นนี้ จิ้งเฉินก็ได้แต่หลุบตามอง เห็นนางทรมานแววตาของเขาก็ยิ่งฉายความพึงพอใจออกมามากยิ่งขึ้น ดังนั้นนิ้วที่สอดส่งเข้าไปจึงเพิ่มอีก
คุณหนูสิบเจ็ดตระกูลเจียงผู้นี้บอบบางนัก โดยเฉพาะตรงนั้นของนางยิ่งเล็กแคบ
ด้วยเพราะไม่อยากให้นางเจ็บ เขาจึงต้องลงมือทำเช่นนี้ เป็นฝ่ายมอบความสุขให้กับนางเสียก่อน
เจียงซูเหยาไม่รู้เลยว่าบัดนี้ร่างกายของตนเองเป็นอะไรกันแน่ นางหอบหายใจแรง พยายามผลักมือข้างหนึ่งของคุณชายรองออก แต่ยิ่งออกแรงมากเท่าไหร่กลับคล้ายดึงรั้งให้เขาแนบชิดยิ่งกว่าเดิม
นางตัวสั่น ปลายเท้าเหยียดเกร็ง ก่อนจะส่งเสียงหอบหายใจออกมา
และต้องกัดฟันแน่น ในยามที่ปากของคุณชายรองขบกัดลำคอผ่องขาวพร้อมกับจับร่างกายของนางพลิกกลับมาหา
“คุณชายรอง”
เจียงซูเหยายังเรียกขานเช่นนี้
ดังนั้นสิ่งที่ตามมาจึงเป็นร่างของนางที่ต้องเหยียดตัวอยู่กลางเตียง ขาทั้งสองข้างถูกบังคับให้แยกกว้าง
บุรุษผู้นั้นยังสวมใส่เสื้อสีขาวกับกางเกงสีเดียวกัน เขาทำเพียงดึงรั้งกางเกงลงแล้วทาบทับลงมา
ร่างกายกำยำของคุณชายรองแนบสนิท จุดอ่อนไหวของเจียงซูเหยาถูกอะไรบางอย่างรานรุกรุนแรง นางโบกมือห้ามแต่มือทั้งสองข้างกลับถูกเขารวบกำเอาไว้
ปากอุ่นร้อนของเขาบัดนี้กลับกำลังดูดเม็ดถันสีชมพูกลางอกงาม
ขบกัดไล้เลียสร้างความทรมานพร้อมถาโถมเข้าหารุนแรง
ร่างกายที่เล็กบอบบางของเจียงซูเหยาสั่นไหวไปตามแรงกระแทกกระทั้นของเขา แม้บางครั้งจะแผ่วเบา บางครั้งเชื่องช้า แต่ทุกๆ ครั้งที่คุณชายรองขยับเข้าหาล้วนแต่สร้างความทรมานให้ทั้งสิ้น
เขาไม่รักนางมิใช่หรือ ไม่รักเหตุใดต้องทำกับนางเช่นนี้
เจียงซูเหยาอยากรู้เหลือเกินว่าความสัมพันธ์ระหว่างสามีกับภรรยาที่แบกรับอยู่จะสิ้นสุดลงเมื่อใด
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว แต่ร่างกายของนางก็ยังถูกคุณชายรองเคี่ยวกรำ
กลิ่นเฉพาะขณะร่วมรักคละคลุ้งไปทั้งห้อง เหงื่อกาฬหยาดไหลไม่สิ้นสุด เสียงร้องคำรามของเขาดังขึ้นหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นก็ดังขึ้นอีก
นางเจ็บ ไม่ได้เจ็บแค่เพียงร่างกาย แต่หัวใจยังบอบช้ำและเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา
จนกระทั่งใกล้ยามอู่ บุรุษผู้แนบชิดกับนางมาหลายชั่วยามถึงได้ผละห่าง หลังหยิบชุดมาสวมใส่เรียบร้อยเขาก็โยนเสื้อผ้าของนางมาให้ ปากเอ่ยว่า “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะพลั้งเผลอครอบครองเจ้าหลายครั้งเช่นนี้ นับว่าคุณหนูสิบเจ็ดตระกูลเจียงช่างทำให้บุรุษหลงใหลได้เก่งกาจเสียจริง แต่เจ้าวางใจเถิด มันจะไม่เกิดขึ้นอีก”
เจียงซูเหยาหลับตาแล้วพลิกกายหันหลัง แม้ร่างกายจะเปลือยเปล่าแต่ระหว่างนางกับเขามาถึงขั้นนี้แล้วมีสิ่งใดต้องเขินอายกัน
“ในเมื่อคุณชายรองพูดแล้วว่ามันจะไม่เกิดอีก ก็เชิญท่านกลับไปพักที่เรือนเถิด ร่างกายของข้าภรรยาเป็นเช่นนี้มิอาจลุกไปส่งท่านได้”
ขณะสตรีตรงหน้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ ดวงตาดำเข้มของ จิ้งเฉินก็เอาแต่ทอดมองแผ่นหลังเปลือยเปล่าของนาง ดูเหมือนทุกอณูเนื้อขาวราวกับไข่มุกใต้ท้องทะเลของนางล้วนผ่านมือของเขา มีตรงไหนบ้างที่จะไม่ทิ้งร่องรอยแดงช้ำ
จิ้งเฉินอยากก้าวเข้าไปใกล้เพื่อดูร่องรอยที่ตนทิ้งไว้ แต่สุดท้ายพอเห็นแผ่นหลังของนางเทิ้มสั่นเขากลับต้องกัดฟันแล้วก้าวออกจากเรือนไป๋เซ่ออย่างรวดเร็ว ด้านหลังจื่อเฟิงยังเร่งฝีเท้าก้มหน้าก้มตาตามมาโดยไม่พูดอะไร
แน่นอนว่าหลังคุณชายรองจากไปแล้ว เสี่ยวหรงรีบพุ่งเข้ามาในห้อง พอเห็นเรือนร่างเปล่าเปลือยที่เต็มไปด้วยรอยแดงของคุณหนูก็เอาแต่หลั่งน้ำตาด้วยความสงสาร
ได้ยินเสียงสะอื้นไห้ เจียงซูเหยาจึงค่อยๆ ขยับตัวลุก เมื่อปลายเท้าแตะพื้นนางพลันนิ่วหน้าเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็ยังเอ่ยปากกับเสี่ยวหรงด้วยรอยยิ้ม
“เด็กโง่ รีบหยิบเสื้อคลุมมาให้ข้าเร็วเข้า”
เสี่ยวหรงหยิบเสื้อคลุมมาห่อหุ้มร่างบอบบางของนายหญิง ในยามที่ปลายนิ้วแตะรอยแดงตรงหัวไหล่ก็อดที่จะพึมพำถามด้วยเสียงสั่นๆ ไม่ได้ “คุณหนู เจ็บไหมเจ้าคะ”
เจียงซูเหยาส่ายหน้า “ผ่านพ้นวันนี้รอยพวกนี้ก็หายแล้ว เจ้าไปเตรียมน้ำอุ่นๆ ให้ข้าล้างเนื้อล้างตัวเสียหน่อยเถิด”
เสี่ยวหรงได้แต่พยักหน้าด้วยตาแดงๆ ก่อนจะวิ่งออกจากห้องไปสั่งการบ่าวรับใช้ตระเตรียมน้ำอาบให้คุณหนู เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วจึงกลับมาประคองเจียงซูเหยาไปยังห้องข้างด้วยความระมัดระวัง เพราะเกรงว่าถ้าหากผิดพลาดขึ้นมาจะทำให้ร่างกายของคุณหนูเจ็บปวดกว่าที่เป็นอยู่ จนกระทั่งคุณหนูสิบเจ็ดบอกว่าไม่เป็นไร ไม่เจ็บ เสี่ยวหรงจึงวางใจได้บ้าง