บทที่ ๔ ใจบอบบาง

1559 Words
สายตาของจิ้งเฉินยามทอดมองเงาร่างบอบบางของคนบนเตียงคล้ายจะสาดประกายดุดันออกมาเรื่อยๆ หนำซ้ำช่วงขาที่ก้าวเข้าใกล้เจียงซูเหยานั้นทั้งกว้างและยาว ผ้าม่านยังถูกเกี่ยวไว้กับเสาเตียง แสงเทียนขยับไหวสาดกระทบให้เห็นใบหน้าแดงระเรื่อจากพิษไข้ เขาวางมือข้างหนึ่งลงตรงลำคอผ่องขาว ที่ยังสัมผัสความร้อนได้อย่างชัดเจน ถ้าลงน้ำหนักมืออีกนิดสตรีผู้นี้คงถูกบีบคอจนตายไปแน่ ทว่าเพียงชั่วอึดใจจิ้งเฉินก็ละฝ่ามือ เขาจะกล้าทำร้ายสตรีอ่อนแอบอบบางผู้นี้ได้ยังไง ที่สำคัญนางมีฐานะเป็นถึงภรรยาเอกของเขา เป็นสะใภ้แห่งจวน จิ้งโหว อีกอย่างนางไม่ได้กระทำความผิดอะไร นอกเสียจาก นางแต่งเข้าจวนมาโดยที่เขาไม่มีใจลึกซึ้งจะมอบให้ มีเพียงความหมางเมินเฉกเช่นคนแปลกหน้าที่ต้องอาศัยอยู่ร่วมในจวนเดียวกันเท่านั้น จิ้งเฉินทอดถอนใจกับชะตาชีวิตแต่งงานที่ตนไม่อาจเลือกได้ด้วยตนเอง หลังจากนั้นจึงหยิบผ้าชุบน้ำในอ่างที่วางอยู่ด้านข้าง บิดให้แห้งหมาดแล้วค่อยๆ เช็ดใบหน้าแดงๆ ของคนมีไข้ ครึ่งคืน เจียงซูเหยาเอาแต่เพ้อละเมอไม่เป็นคำ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะยิ่งมองเงาร่างที่คล้ายเจ็บปวดนานเท่าไร แววตาของเขาก็คล้ายจะฉายแววเวทนาสงสารออกมา ดังนั้นแทนที่จะออกไปกลับเอาแต่นั่งเฝ้าคนป่วย จิ้งเฉินนั่งอยู่ข้างเตียงจนเจียงซูเหยามีท่าทีสงบลง ไม่ส่งเสียงละเมออีกจึงได้ถอยไปยึดตั่งตัวยาวข้างหน้าต่าง จุดโคมที่วางอยู่ตรงนั้นแล้วหยิบตำราเล่มหนึ่งมาเปิดอ่าน เขาไม่อยากหลับอยู่ในห้องนี้ จึงต้องทำให้ตนเองมีสตินึกรู้ตลอดเวลา ใกล้ถึงยามเฉินแล้ว คนป่วยขยับตัวเล็กน้อย แพขนตาโค้งงอนราวกับคันศรคู่นั้นค่อยๆ กะพริบมองภาพเบื้องหน้า นางยังรู้สึกปวดหัวครั่นเนื้อครั้นตัวอยู่ แต่อาการตอนนี้นับว่าดีกว่าเมื่อค่ำวานมากนัก แต่พอคิดขยับกายลงจากเตียงร่างทั้งร่างกลับต้องนิ่งงันคล้ายถูกสาป เพราะตอนนี้สายตาปะทะกับใบหน้าหล่อเหลาของผู้เป็นสามี นับตั้งแต่แต่งงานกันมา จิ้งเฉินผู้นี้ไม่เคยย่างกรายเข้ามาในเรือนไป๋เซ่อเลยสักครั้ง ไม่รู้ว่าวันนี้มีปีศาจตนใดเข้าสิงเขาจึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ และทันทีที่เจ้าของร่างสูงที่นั่งอ่านตำราอยู่เหลือบสายตามองมา เจียงซูเหยาก็รีบซุกซ่อนทุกความรู้สึกเอาไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉย อีกอย่างคงเพราะนางยังมีไข้ใบหน้าจึงค่อนข้างซีดเซียวจนแทบไร้ความรู้สึก อยากแสร้งมองไม่เห็นเขา แต่บุรุษผู้นั้นกลับวางตำราแล้วเดินเข้ามาใกล้ หนำซ้ำยังคิดวางมือสัมผัสหน้าผากของนางอีก เจียงซูเหยาไม่ยอมให้มือข้างนั้นแตะต้องถูกเนื้อตัว นางบ่ายเบี่ยงหนีลงจากเตียงอย่างรีบร้อน “คารวะคุณชายรอง” เพราะอยู่กับเขาเพียงสองคน เจียงซูเหยาคร้านจะเรียกท่านพี่ให้เสียปาก ยังไงเสียระหว่างนางกับเขาก็ไม่ได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้ง เพราะได้ยินสตรีบอบบางที่เพิ่งสร่างไข้เรียกขานตนเองเช่นนี้ มุมปากของจิ้งเฉินจึงกดลงเผยรอยยิ้มล้ำลึกออกมา “ไม่พบกันเพียงครึ่งเดือน ฮูหยินของข้าถึงกับลืมฐานะตัวเองแล้วหรือ” นางยอบกายลงด้วยท่าทีสำนึกผิด แต่ปากกลับเอ่ยอีกอย่าง “ในเมื่อทั้งคุณชายและข้าล้วนรู้แก่ใจดีว่าระหว่างเราสองคนมีความสัมพันธ์เช่นไร เหตุใดต้องสวมบทบาทให้เหนื่อยเปล่าด้วย” “ไม่ยักรู้ว่าตระกูลเจียงสั่งสอนบุตรสาวออกมาได้ดีเช่นนี้” “ตระกูลเจียงสั่งสอนข้าตามขนบธรรมเนียมทุกอย่าง แต่ที่ข้าเป็นเช่นนี้ล้วนเกิดจากตัวข้าเอง หาได้เกี่ยวกับผู้ใดไม่” มาถึงขั้นนี้นางไม่อยากอ่อนข้อให้เขาอีกแล้ว มีปากเสียงจะได้หย่าขาดกันเสียที ในเมื่อคุณชายรองมีคนอื่น นางก็ไม่คิดจะใช้ตำแหน่งภรรยาเอกขัดขวางเขา ดังนั้น สิ่งที่นางต้องการในยามนี้ก็คือ หนังสือหย่าขาดจากจิ้งเฉินผู้นี้ “อ้อ” จิ้งเฉินครางเบาๆ ในลำคอ พลางขยับเข้าใกล้ กระทั่งคว้าเอาเรียวแขนข้างหนึ่งของเจียงซูเหยาได้ก็พลันดึงรั้งเข้ามา ให้นางได้เห็นว่าในแววตาของเขาตอนนี้มองนางเป็นเช่นไร “ที่คุณหนูสิบเจ็ดกำลังเรียกร้อง เป็นเพราะต้องการเป็นฮูหยิน ของข้าอย่างแท้จริงเช่นนั้นหรือ” “คุณชายรอง หมายความว่ายังไง” “ถ้าไม่เช่นนั้น เจ้าจะให้มารดามาขอร้องให้ข้า ร่วมหอกับเจ้าได้ยังไง” “ข้าไม่เคยทำเช่นนั้น ไม่เคยคิดทำ และทั้งชีวิตก็จะไม่มีวันทำ” “ปากดี” น้ำเสียงเข้มห้าวที่ลอดไรฟันมาพร้อมกับลมหายใจอุ่นร้อนรินรดข้างแก้มทำให้เจียงซูเหยาสั่นเทาไปหมด นี่คงเป็นครั้งแรกที่นางนึกหวาดกลัวบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของตน กาลก่อน เขาไม่เคยคิดใกล้ชิด ไม่เคยก้าวมายังเรือนไป๋เซ่อหลังนี้ แต่วันนี้เกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงเอ่ยวาจาเช่นนั้นออกมา หนำซ้ำท่าทีของเขายังชวนให้หนาวสะท้านไปทั้งร่างกายอีก “ปล่อยข้า!” นางกัดฟันสั่ง แววตาดื้อรั้นฉายแววไม่ยินยอมออกมา “คุณชายรอง ปล่อยข้า!” “คุณชายรอง! คุณชายรอง” จิ้งเฉินตะโกนเสียงดังลั่น แน่นอนว่าเสียงของเขาทำเอาบรรดาสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติอยู่ด้านนอกถึงกับตัวสั่นสะท้าน แต่ละคนก้มหน้าก้มตาปรายมองเพียงรองเท้าของตน มีเพียงเสี่ยวหรงที่พุ่งพรวดเข้ามา ทั้งๆ ที่หวาดกลัวแต่ก็รวบรวมความกล้าเข้ามาปกป้องผู้เป็นนาย “คุณหนู!” ได้ยินเสียงผู้อื่น สีหน้าของจิ้งเฉินยิ่งดูไม่ได้ เขากัดกรามสั่งด้วยความเดือดดาล “ออกไป! ออกไปให้หมด” “คุณชายรองได้โปรดปล่อยคุณหนูของบ่าวเถิดเจ้าค่ะ” “คุณชาย ฮ่าๆ” ดูเหมือนคำเรียกขานของเสี่ยวหรงยิ่งเหมือนการสาดน้ำมันลงไปในกองไฟ “สั่งสอนกันได้ดีนัก เจียงซูเหยาเจ้าทำได้ดีนัก” เค้นเสียงดูแคลนออกมาแล้วพลันกัดฟันสั่ง “จื่อเฟิง! ลากสาวใช้ผู้นั้นออกไป ถ้าเจ้าปล่อยให้นางเข้ามาในนี้อีก เตรียมหลังขาดได้เลย” “ขอรับ” สิ้นเสียงตอบรับของจื่อเฟิง เสี่ยวหรงก็ถูกลากตัวออกไป ยามนี้เจียงซูเหยาจึงเอาแต่มองผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีแต่นิสัยกลับป่าเถื่อนยิ่ง “ทำไมล่ะ โกรธหรือ” นางไม่ตอบเอาแต่กัดปากสั่นๆ ไว้แน่น “พูดกับข้าสิ หรือเจ้าอยากให้ข้าโบยสาวใช้คนนั้นจนตาย” ครานี้เจียงซูเหยารีบคุกเข่าลง กลืนความขมขื่นลงคอ “ข้าภรรยาผิดไปแล้ว ท่านพี่ได้โปรดยกโทษให้ข้าภรรยาด้วยเถิด เสี่ยวหรงผู้นั้นอายุยังน้อยยังไม่รู้ความ ต่อไปนี้ข้าภรรยาจะสั่งสอนให้ดี” “คุณหนูสิบเจ็ดช่างรู้ความนัก รู้ว่าควรทำยังไง จึงจะช่วยชีวิตสาวใช้คนนั้นเอาไว้ได้” “ท่านพี่ได้โปรด ลงโทษข้าภรรยาแทนเสี่ยวหรง ข้าภรรยายอมรับโทษทุกอย่าง” “เจียงซูเหยา เจ้ามิเพียงรู้ความแต่กลับฉลาดยิ่งนัก เจ้ารู้ว่าหากข้าลงโทษเจ้า มารดาย่อมไม่ยอมนิ่งเฉยเป็นแน่ ทำเช่นนี้เจ้าคิดจะให้มารดามาคาดโทษข้าหรือยังไง” “ข้าภรรยาไม่เคยคิดเช่นนั้น” “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ ว่าสิ่งที่มารดาต้องการ หาใช่ให้ข้าลงโทษเจ้า แต่เป็น...ครอบครองร่างกายของเจ้า” ครานี้เจียงซูเหยาเงยหน้าขึ้นมองคุณชายรองจวนจิ้งโหวด้วยความตื่นตระหนก นางไม่อาจปิดบังความหวาดกลัวเอาไว้ได้เลย โดยเฉพาะในยามที่ปลายนิ้วมือข้างหนึ่งของจิ้งเฉินจับปลายคางแล้วบังคับให้แหงนเงยสบตา “อ้อ! ที่แท้นอกจากหวาดกลัวว่าสาวใช้ต้องถูกทำโทษจนตายแล้ว เจ้ายังกลัวการมีอะไรกับข้าด้วยสินะ” เจียงซูเหยาเม้มปากสั่นๆ เอาไว้แน่น แม้ภายในใจจะอ่อนแอแต่ไม่ยอมเผยความรู้สึกให้คนผู้นี้เห็นเด็ดขาด “ในเมื่อข้าก้าวเข้าจวนจิ้งโหว เป็นภรรยาเอกของท่าน ข้าไม่มีสิ่งใดต้องกลัว หน้าที่ภรรยามิใช่ว่าเป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำอยู่แล้วหรอกหรือ” “ถ้าเช่นนั้น เช้านี้...คงต้องลำบากเจ้าสักหน่อยแล้ว” “หมายความว่า...” “มารดาอยากให้ข้านอนกับเจ้า ในฐานะที่ข้าเป็นบุตร ข้ามีหน้าที่ต้องกตัญญู ถึงข้าจะไม่รักไม่มีความรู้สึกใดต่อเจ้า แต่เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องมีความรู้สึก มันก็ทำได้ไม่ยากนักหรอก” คุณหนูสิบเจ็ดตระกูลเจียงได้แต่เงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงก่ำเอาแต่จับจ้องใบหน้าหล่อเหลาของคนเอ่ยวาจาเหี้ยมโหดเช่นนั้นออกมานิ่งนาน สุดท้ายนางกลับพูดได้เพียงประโยคเดียว “ท่านพี่...จะนอนกับข้าจริงๆ อย่างนั้นหรือ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD