ตอนที่ 8

1291 Words
“ลูกน่าจะมีเหตุผลน่ะ คุณก็ใจเย็นๆ เถอะ” “คุณก็ให้ท้ายลูกทุกคนเลยนะคะ แบบนี้ไงถึงได้มีนิสัยไม่เห็นอกเห็นใจคนอื่น” มาเรียหันไปต่อว่าสามี และนั่นก็ทำให้คุณผู้ชายประจำตระกูลต้องยิ้มแหยๆ แล้วกินข้าวต่อไปเงียบๆ “คืนนี้กลับเข้าไปนอนในห้องหอเลยนะ” มาร์ติเนซไม่ได้รับปากในทันที และนั่นก็ทำให้มาเรียไม่พอใจเป็นอย่างมาก “งั้นแม่กับพ่อก็จะอยู่รอจนกว่ามาร์ตจะกลับเข้าไปนอนในห้องหอแล้วค่อยกลับอิตาลี” “โอเคครับคุณแม่ ผมจะกลับเข้าไปนอนในห้องหอครับ” มาร์ติเนซถอนหายใจออกมาแรงๆ ในขณะที่สราวลีเต็มไปด้วยความอัปยศอดสู นี่หล่อนถึงขั้นต้องให้มาเรียมาช่วยพูดให้มาร์ติเนซเข้าหอด้วยเชียวเหรอ หยาดน้ำตาใสๆ ไหลออกมา จนต้องรีบยกหลังมือขึ้นป้ายทิ้ง และวางช้อน “วลีขอตัวก่อนนะคะ” “อ้าว เพิ่งกินไปนิดเดียวเองนะหนูวลี” มาเรียพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง แต่สราวลียังยืนกรานเช่นเดิม “วลีไม่ค่อยหิวน่ะค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” หล่อนเอ่ยกับมาเรียและ มาริโอ ก่อนจะพูดกับแสงแก้ว “แสงพาวลีขึ้นห้องหน่อยนะ วลีปวดหัวน่ะ” “พี่พาขึ้นไปเอง” มาร์ติเนซวางช้อน และลุกขึ้นยืน “อย่าเลยค่ะ พี่มาร์ตกินต่อเถอะ วลีไม่อยากรบกวน” “รบกงรบกวนอะไรกันหนูวลี อย่าลืมสิว่าพ่อมาร์ตเป็นสามีของหนูวลีแล้วนะ” คำว่าสามีทำให้หล่อนยิ่งเจ็บปวด มันเหมือนคมมีดที่ทิ่มแทงลงมากลางหัวใจ “แต่วลีอยากช่วยเหลือตัวเองค่ะ ขอบคุณนะคะคุณแม่ ไปกันเถอะแสง” หล่อนฝืนยิ้มให้กับมาเรียอีกครั้ง ก่อนจะให้แสงแก้วเข็นรถเข็นออกไปนอกห้องอาหาร มาร์ติเนซยังคงยืนนิ่ง มองตามด้านหลังของภรรยาไปด้วยสายตาไม่สบายใจนัก “น้องงอนแล้ว ไม่รีบตามไปง้อล่ะพ่อมาร์ต” คำพูดของมารดาทำให้มาร์ติเนซถอนหายใจออกมาเบาๆ “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” “เดี๋ยวก่อน” “ครับ” ลูกชายหยุดก้าวเท้าและหมุนตัวกลับมาหามารดาอีกครั้ง “คุณแม่มีอะไรกับผมหรือครับ” “วันนี้พาน้องออกไปเปิดหูเปิดตาด้วยนะ ไหนๆ พ่อมาร์ตก็หยุดงานตั้งห้าวันนี่” “ครับคุณแม่” ชายหนุ่มตอบรับแล้วเดินออกไปจากห้องอาหาร ซึ่งก็เป็นจังหวะที่รวีบงกชอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยถือวิสาสะเดินเข้ามาพอดี “สวัสดีค่ะคุณมาร์ต ไม่ทราบว่ารบกวนหรือเปล่าคะ” คิ้วเข้มของมาร์ติเนซเลิกสูง ก่อนจะปรับสีหน้าเป็นเรียบเฉย “คุณรวีมีอะไรหรือครับ ถึงมาหาผมที่นี่” รวีบงกชรีบเดินเข้ามาหยุดใกล้ๆ และจีบปากจีบคอพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน จนสราวลีที่นั่งบนรถเข็นอยู่ห่างไม่ไกลนักต้องกัดฟันแน่นด้วยความหึงหวง “รวีมีเรื่องสำคัญต้องมาขอคำปรึกษาจากคุณมาร์ตน่ะค่ะ” “งั้นพอจะรอให้ผมไปทำงานก่อนได้ไหมครับ เพราะตอนนี้ผมลาพักร้อนอยู่” รวีบงกชรีบปั้นสีหน้าร้อนใจ “มันจะรอไม่ไหวน่ะค่ะ คือ...มันต้องรีบทำให้เสร็จ” “อะไรหรือครับ” “เอ่อ คุณมาร์ตจำนิทรรศการรักการอ่านครั้งที่สิบสองได้ไหมคะ ที่กำลังจะจัดขึ้นวันมะรืนนี้น่ะค่ะ” “ครับ จำได้” ชายหนุ่มพยักหน้ารับน้อยๆ ก่อนจะพารวีบงกชเข้าไปในห้องรับแขก เมื่อเห็นว่าจะคุยเรื่องงาน สราวลีรีบให้แสงแก้วเข็นรถเข็นไปหยุดที่หน้าห้องรับแขกทันที และแอบฟัง “คือมันมีอีกหลายอย่างเลยค่ะที่ยังไม่เรียบร้อย โดยเฉพาะเรื่องสถานที่” “แต่เรื่องนี้ตอนประชุมกันเราได้จัดสรรหน้าที่ให้รับผิดชอบแล้วไม่ใช่หรือครับ ผมว่าไม่น่าจะมีปัญหา” “ของคนอื่นไม่มีปัญหาหรอกค่ะ แต่ของรวี...” รวีบงกชแกล้งตีหน้าเศร้า น้ำตาร่วง “รวีต้องขอโทษด้วยนะคะที่ไม่มีคุณภาพพอ แต่รวีตัดสินใจไม่ได้จริงๆ ค่ะว่าควรจะทำยังไง” “ผมเชื่อใจคุณรวีครับ ยังไงงานก็ต้องออกมาดี” “แต่รวีไม่เชื่อใจตัวเองค่ะ” แล้วรวีบงกชก็เงยหน้าขึ้น สบประสานสายตากับมาร์ติเนซอย่างจงใจทอดสะพาน แต่ชายหนุ่มไม่ได้แสดงทีท่ารับรู้อะไรเลย หรือเรียกง่ายๆ ว่าไม่ได้ให้ความสนใจมากกว่า “รวีก็เลยต้องบากหน้ามาหาคุณมาร์ต...รบกวนให้คุณมาร์ตไปช่วยตัดสินใจให้หน่อยค่ะ” “ผมคงไม่สะดวก” “นะคะคุณมาร์ต ถือเสียว่าเพื่อทำให้นิทรรศการในครั้งนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี และก็ถือว่าช่วยให้รวีรอดพ้นจากการถูกเพื่อนร่วมทีมยำด้วยนะคะ รวีขอร้องล่ะค่ะ” รวีบงกชบีบน้ำตา และพยายามพูดให้น่าสงสารที่สุด มาร์ติเนซลังเลใจ แต่ยังไม่ได้ตอบอะไรออกไป เสียงล้อรถเข็นก็ดังขึ้นเสียก่อน เขาหันไปมองก็เห็นว่าแสงแก้วเข็นรถของสราวลีผ่านหน้าห้องรับแขกไปเสียแล้ว ชายหนุ่มมองตามไป สีหน้าเรียบเฉยก็จริง แต่ภายในใจตรงกันข้าม “ก็ได้ครับ แต่ผมคงต้องพาภรรยาไปด้วย” รวีบงกชชักสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะรีบหัวเราะกลบเกลื่อน “ได้สิคะ ได้เลยค่ะ คุณสราวลีน่าจะมีเทสต์ในเรื่องแบบนี้อยู่พอสมควร เธอจะได้ช่วยเลือกแบบสวยๆ ให้รวีด้วย” มาร์ติเนซลุกขึ้น ระบายยิ้มให้กับรวีบงกช “ผมก็คิดว่าแบบนั้นแหละครับ วลีมีหัวทางด้านศิลปะและการตกแต่ง” รวีบงกชกัดฟันเมื่อได้ยินคำชื่นชมภรรยาออกจากปากของมาร์ติเนซผู้ชายที่หล่อนแอบหมายปองเอาไว้เงียบๆ “เยี่ยมไปเลยค่ะ นี่ถ้าไม่ติดว่าคุณสราวลีขาพิการ ป่านนี้เธอคงเป็นจิตรกรชื่อดังไปแล้วนะคะ” รวีบงกชสะใจที่ได้พูดเหน็บแนมแต่ก็ชั่ววินาทีเท่านั้น เพราะสีหน้าของมาร์ติเนซที่เข้มขึ้น ทำให้หล่อนต้องรีบแก้ไขคำพูดของตัวเอง “รวีหมายถึงคุณสราวลีน่าจะทำทุกอย่างได้ดี ไม่ว่าเธอจะอยู่ในสภาพไหนน่ะค่ะ” “ใช่ครับ เพราะสำหรับผมวลีไม่เคยพิการ” “อ๋อ...ค่ะ...ใช่ค่ะ” รวีบงกชกัดฟันตอบรับออกไป และหัวเราะกลบเกลื่อน “คุณรวีไปรอที่มหา’ลัยได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมตามไป” “เอ่อ...รวีนั่งรถแท็กซี่มาน่ะค่ะ ถ้าคุณมาร์ตไม่รังเกียจ ขอรวีติดรถไปด้วยคนได้ไหมคะ” ดวงตาของมาร์ติเนซเข้มขึ้น แต่ไม่นานมันก็ราบเรียบ เหมือนๆ กับน้ำเสียงที่ดังออกมา “ครับ” “ขอบพระคุณมากค่ะ” รวีบงกชรีบยกมือไหว้อย่างดีใจ “งั้นรอผมสักครู่นะครับ ผมจะไปบอกวลีก่อน” “เชิญตามสบายค่ะ รวีรอได้ค่ะ” มาร์ติเนซระบายยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะพาร่างสูงใหญ่เดินหายออกไปจากห้องรับแขก รวีบงกชแสยะยิ้มร้ายกาจออกมาเมื่ออยู่ตามลำพัง ดวงตากวาดมองไปรอบๆ ห้องรับแขกอย่างตื่นตาตื่นใจ “มีแต่ของดีๆ ราคาแพงทั้งนั้นเลย แบบนี้ค่อยคุ้มค่าแก่การแย่งชิงหน่อย” ดวงตาของรวีบงกชเต็มไปด้วยไฟอิจฉาริษยา ก่อนจะระบายยิ้มพึงพอใจออกมาอีกครั้ง เมื่อรู้ดีว่าตัวเองกำลังจะได้นั่งรถสปอร์ตไปกับ มาร์ติเนซตามลำพัง เพราะมั่นใจว่าเมียง่อยของเขาจะต้องนั่งรถเอ็มพีวีคันเดิมไปอย่างแน่นอน “อยากพิการเอง ช่วยไม่ได้ หึๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD