“วลีไม่ไปค่ะ เชิญพี่มาร์ตเถอะค่ะ”
สราวลีปฏิเสธเสียงห้วน เมื่อสามีในนามเดินมาบอกว่าจะออกไปดูงานที่มหาวิทยาลัย
ทั้งๆ ที่เขาลาหยุดพักร้อนแล้วแท้ๆ แต่กลับต้องออกไปทำงานอีก คงเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นแน่นอน
“แต่วลีควรจะไป เพราะหลังจากไปมหา’ลัย เราจะไปดูหนังกันต่อ”
“ก็วลีบอกว่าไม่ไปยังไงล่ะคะ” หล่อนหันไปเถียงเขา สีหน้าเต็มไปด้วยความน้อยใจ
“คุณหนูคะ ใจเย็นๆ ค่ะ” แสงแก้วที่ยืนตัวลีบอยู่ในเหตุการณ์ด้วยรีบเอ่ยเตือนสติ แต่สราวลีไม่สนใจ
“แสงพาวลีไปในสวนหน่อย วลีอยากไปนั่งรับลมเย็นๆ”
“อย่าขัดคำสั่งพี่นะวลี พี่บอกว่าให้ไปกับพี่ก็ต้องไป” มาร์ติเนซเดินมาขวางตรงหน้า ย่อตัวนั่งลงบนส้นเท้า และพูดอย่างใจเย็น “อย่าดื้อเป็นเด็กเล็กๆ อีก ตอนนี้เธอแต่งงานกับพี่แล้วนะ”
“ก็แค่แต่งงาน ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยนี่คะ เรื่องระหว่างเราน่ะ”
มาร์ติเนซระบายลมหายใจออกมา เขาลุกขึ้นยืน แต่ก็ยังโน้มตัวลงมาจ้องหน้าหล่อน “ให้แสงแก้วแต่งตัวให้นะ พี่จะไปรอที่รถ”
“ก็วลีบอกว่าไม่ไปไงคะ”
“งั้นพี่จะแต่งตัวให้วลีเอง”
พอได้ยินคำนี้เข้า สราวลีก็ชะงัก แก้มนวลมีสีระเรื่อขึ้น
“เลือกเอา จะให้แสงแก้วช่วยแต่งตัว หรือว่าจะให้พี่ช่วยวลีด้วยตัวเอง” น้ำเสียงของเขาราบเรียบ แต่แวบหนึ่งในสายตาของเขามีไฟอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ แต่หล่อนยังไม่ทันได้เข้าใจความหมาย มันก็จางหายไปเสียก่อน
“งั้นให้คุณมาร์ตช่วยนะคะคุณหนู” แสงแก้วเอ่ยแซวและอมยิ้ม และนั่นก็ทำให้สราวลีเอียงอาย
“แสงช่วยวลีแต่งตัวหน่อยนะ”
มาร์ติเนซหัวเราะออกมาเบาๆ ยืดตัวตรง “ก็แค่นี้แหละ งั้นพี่ไปรอที่รถนะ หวังว่าคงไม่ให้ขึ้นมาตามอีกล่ะ”
“คนเผด็จการ” หล่อนต่อว่าเขาซึ่งๆ หน้า แต่มาร์ติเนซกลับเอาแต่อมยิ้ม ก่อนจะโค้งศีรษะให้อย่างล้อเลียน และเดินออกไปจากห้องหอ สราวลียังคงหน้าแดงระเรื่อจนแสงแก้วอดแซวไม่ได้
“ความจริงคุณหนูน่าจะให้คุณมาร์ตช่วยแต่งตัวนะคะ”
“แสงน่ะ พูดแบบนี้ได้ยังไงกัน วลีเป็นผู้หญิงนะ”
“แหม แต่คุณมาร์ตเธอก็ไม่ใช่คนอื่นสำหรับคุณหนูแล้วนะคะ เธอเป็นสามีนะคะ”
คนตัวเล็กที่นั่งอยู่บนรถเข็นเบ้หน้าเล็กน้อยอย่างเจ็บปวด
“ก็แค่สามีในนามที่แต่งเพราะความจำเป็น”
“อย่าคิดมากสิคะคุณหนู แค่คุณมาร์ตเธอดีกับคุณหนูก็น่าจะเพียงพอแล้วนะคะ”
สราวลีก้มหน้ามองมือของตัวเองที่ประสานอยู่บนตัก ที่หยาดน้ำตาเม็ดโตไหลหยดลงไปเปื้อน
หล่อนต้องการหัวใจของมาร์ติเนซ ต้องการมาโดยตลอด แต่ก็รู้ดีว่าก้อนเนื้อก้อนนั้นมันไม่มีวันเป็นของตัวเอง เพราะถึงยังไงซะ มาร์ติเนซก็ไม่มีทางรักผู้หญิงง่อยเช่นหล่อน
รวีบงกชเห็นสราวลีทางหางตาก็รีบแกล้งทำเป็นหัวร่อต่อกระซิกกับมาร์ติเนซมากยิ่งขึ้น ก่อนจะแกล้งทำเป็นเดินสะดุดเพื่อให้ชายหนุ่มช่วยพยุง
“อุ๊ย...ขอโทษค่ะคุณมาร์ต รวีซุ่มซ่ามไปหน่อย”
มาร์ติเนซประคองร่างของรวีบงกชเอาไว้ และเอ่ยขึ้นอย่างเป็นสุภาพบุรุษ
“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ มันเป็นอุบัติเหตุ ว่าแต่เท้าโอเคนะครับ”
“ค่ะ โอเค ไม่ได้เป็นอะไรมาก”
รวีบงกชทำหน้าน่าสงสารใส่มาร์ติเนซ ก่อนจะหันไปทำหน้าทำตา ยียวนกวนโทสะให้กับสราวลีที่แสงแก้วเข็นรถเข็นเข้ามาหยุดใกล้ๆ
“ขอบคุณคุณมาร์ตมากนะคะที่เป็นห่วงรวี”
“ครับ” มาร์ติเนซระบายยิ้มตอบรับ ก่อนจะหันไปหาสราวลีเมื่อรู้ว่าหล่อนมาถึงแล้ว
“แสงแก้วเข็นรถคุณวลีไปที่รถของฉันนะ”
“ค่ะ คุณมาร์ต” แสงแก้วกำลังจะเข็นไปตามคำสั่ง แต่สราวลีร้องถามสามีในนามของตัวเองอย่างสงสัยเสียก่อน
“ทำไมต้องไปที่รถของพี่มาร์ตด้วยล่ะคะ”
“นั่นสิคะ” รวีบงกชเองก็สงสัยและไม่พอใจนัก
มาร์ติเนซระบายยิ้ม และโน้มตัวลงมองหน้าภรรยาตัวน้อย “วลีเป็นเมียพี่ก็ต้องนั่งรถคันเดียวกับพี่สิ”
“แต่คุณสราวลีเธอจะนั่งไม่สะดวกนะคะ ควรจะไปรถตู้ใหญ่ๆ ดีกว่า ไหนจะรถเข็นอีก” รวีบงกชรีบออกความคิดเห็น
“นั่นสิคะ ให้วลีไปกับลุงผาดเหมือนเดิมเถอะค่ะ”
มาร์ติเนซส่ายหน้าน้อยๆ “ไม่ได้ พี่ไม่อนุญาต” เขาพูดแค่นั้นก็ย่อตัวลงและช้อนร่างของสราวลีขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนกะทันหัน หญิงสาวตกใจรีบตวัดมือโอบลำคอแกร่งเอาไว้แน่น
“พี่มาร์ต...ปล่อยวลีลงเถอะค่ะ”
เขาส่ายหน้าอีกครั้ง “อย่าดื้อสิครับ” จากนั้นก็อุ้มร่างของหล่อนตรงไปที่รถสปอร์ตคันงาม โดยมีแสงแก้วรีบเดินไปเปิดประตูให้อย่างกุลีกุจอ
รวีบงกชรีบวิ่งตามไป และเอ่ยถามอย่างขัดใจ “แล้วรวีจะไปยังไงล่ะคะคุณมาร์ต”
หลังจากมาร์ติเนซวางร่างของสราวลีบนรถสปอร์ตของตัวเองเรียบร้อยแล้ว จึงหันมาตอบรวีบงกชด้วยรอยยิ้มสุภาพ
“คุณรวีเป็นแขก ไปรถคันใหญ่ดีกว่าครับ”
“แต่ว่า...”
“เจอกันที่มหา’ลัยนะครับ” เขาบอกรวีบงกชอีกครั้ง ก่อนจะหันไปหาแสงแก้ว “แสงแก้ว เอารถเข็นของคุณวลีขึ้นรถมาด้วยนะ”
“ค่ะ คุณมาร์ต” แสงแก้วตอบรับด้วยรอยยิ้มยินดี
มาร์ติเนซระบายยิ้มให้อีกครั้ง ก่อนจะเดินอ้อมไปขึ้นรถแล้วขับพา สราวลีออกไปทันที
รวีบงกชมองตามไปอย่างไม่พอใจ เพราะคิดเอาไว้ว่าตัวเองควรจะนั่งชูคอแทนที่สราวลี
แสงแก้วมองตามท้ายรถของเจ้านายไปจนลับตา ก่อนจะหันมาเห็นสีหน้าขัดใจของรวีบงกช จึงเยาะเย้ยขึ้น
“ผัวเขาก็ต้องเลือกเมียเป็นธรรมดา แค่ลูกจ้าง ไม่มีใครเขามาสนใจหรอก”
“นี่หล่อนว่าใครยะ” รวีบงกชหันมาจ้องหน้าแสงแก้ว
“ก็ว่าพวกไม่เจียมตัวยังไงล่ะ” แล้วแสงแก้วก็สะบัดหน้าลากรถเข็นของสราวลีไปขึ้นรถเอ็มพีวีที่ลุงผาดติดเครื่องรออยู่
“อีบ้า...นี่แกว่าฉันหรือไงยะ”
ไม่มีใครสนใจรวีบงกชอีกเลย เพราะไม่ช้ารถเอ็มพีวีก็แล่นออกไปจากลานหน้าคฤหาสน์หรูและแล่นผ่านหน้าไปทันที รวีบงกชตะโกนเรียก แต่รถก็ไม่หยุด
“ไอ้พวกบ้า...!”
สุดท้ายหล่อนก็ทำได้แค่ร้องแรกแหกกระเชอเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินคอตกออกไปโบกรถแท็กซี่ตามติดไปอย่างไม่มีทางเลือก