“...ไอ้เหี้ย”
“หึ ๆๆ ลองไหมล่ะที่รัก มิ่นอยากลองท้าทายคำพูดของพี่เล่น ๆ สักครั้งรึเปล่า จะได้รู้ว่าคนอย่างฉัน...เหี้ยได้มากกว่าที่เธอคิดแค่ไหน”
“...”
“ยังไงดี?”
“...” ฉันจ้องมองเขา พ่นความเกลียดออกไปทางสายตาทั้งที่ฉันสัมผัสได้ว่าเจ้าของรอยยิ้มสะใจไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลย
ฉันเปิดประตูออกไป ปิดประตูกระแทกแรง ๆ แล้วเปิดประตูข้างหน้าจากนั้นก็ทิ้งตัวเข้าไปในรถของเขา พอประตูปิดลงรถก็เริ่มเคลื่อนตัวช้า ๆ แต่เคลื่อนตัวได้แค่ประมาณสิบเมตรเขาก็หยุดรถ
หมับ!
“จะทำบ้าอะไร!” ฉันหันไปตะคอกเขาดังลั่นรถเพราะเขาเอื้อมมือมาทำท่าเหมือนจะกอดพร้อมกับผลักมือเขาออกไปเต็มแรง
“...” ตะคอกขนาดนี้ยังกล้าเงียบแล้วนิ่งใส่อีกเหรอ? จิตสำนึกความเป็นลูกผู้ชายมันอยู่ตรงไหนวะ!
“คิดจะทำอะไร! จะลวนลามเหรอ มาสิฉันสู้ตาย!” ฉันจะสู้ตายอย่างที่พูดจริง ๆ นะ ถึงแรงจะน้อยกว่าเขาเป็นร้อยเท่าฉันก็จะสู้ สู้ให้ตายกันไปข้างต่อให้ผลลัพธ์จะเป็นฉันที่ตายก็ตาม!
“จะคาดเบลท์ให้” เขาจ้องฉันแล้วเอ่ยออกมาสั้น ๆ
“ฉันคาดเองได้!”
“แล้วทำไมไม่คาด?”
“...เดี๋ยวคาด”
“ก็คาดซะสิจะได้ขับรถต่อ ไม่คาดอีกสักพักสัญญาณก็ดังให้รำคาญ”
“...” ฉันเกลียดเขา!
ฉันกระชากสายเข็มขัดนิรภัยออกมาด้วยความหงุดหงิดแล้วก็กดลงไปแรง ๆ เสร็จเรียบร้อยก็นั่งหน้าตรงรอเวลาให้เขาขับรถต่อซึ่งเขาก็ขับต่อโดยที่ไม่มีการพูดคุยอะไรอีกเลย
“ยูเทิร์นใต้สะพาน” เสียงห้วน ๆ ของฉันดังขึ้น้พราะใกล้ถึงหอแต่มันอยู่อีกฝั่งเลยจำใจอ้าปากบอกทาง
“รู้...เคยไปค้าง” คำว่ารู้มันคือคำพูดธรรมดาแต่คำว่าเคยไปค้างมันคือคำพูดที่...
“พูดเพื่ออะไร?” ฉันหันไปถามเขาด้วยความโกรธพยายามข่มสติอารมณ์ไม่ให้เสียงดังจนแทบจะสุดความสามารถ พอถูกถามเขาก็หันมายิ้มให้ เป็นรอยยิ้มที่ดูสะใจเหมือนเดิมนั่นล่ะ
“บอกให้รู้ไงว่าจำได้ ไม่ต้องบอกทางหรอก ใครจะจำห้องเมียไม่ได้”
“บอกแล้วไงว่านับเป็นผัวแค่คน เหี้ยไม่นับ!”
“หึ ๆๆ หลอกตัวเองเก่ง”
“นายนั่นแหละที่...นี่จะไปไหน ขับรถขึ้นสะพานทำไม ทำไมไม่กลับรถ!” ฉันกำลังจะว่ากลับแต่สายตาดันมองไปเห็นความผิดปกติบนถนนทำให้ต้องรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“เรามีเรื่องต้องเคลียร์กัน”
“ฉันไม่เคลียร์อะไรกับนายทั้งนั้น ลงสะพานแล้วจอดรถให้ฉันเลย!” ฉันกลับเองได้ คิดว่าขับรถมาอีกทางแล้วฉันจะไม่มีปัญญากลับเองรึไง
“เคลียร์กันก่อน” เขาพูดคำเดียวแล้วก็ขับรถชิดขวาซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นเครื่องยืนยันว่าเขาจะไม่ทำตามที่ฉันบอก
“มีอะไรต้องเคลียร์ ฉันกับนายเคลียร์กันไปแล้วตั้งแต่วันนั้น”
“เธอเคลียร์ของเธอคนเดียวรึเปล่า”
“ก็ใช่ ฉันเคลียร์คนเดียวแต่นั่นก็เป็นสิ่งที่อีกฝ่ายสมควรทำตามที่ฉันบอกไม่ใช่เหรอ หรือนายคิดว่านายไม่ควรหายไปจากชีวิต...”
หมับ!
“นี่จะทำอะไร!” ฉันขึ้นเสียงใส่เขาทันทีที่เขาจับที่ต้นแขนของฉันเอาไว้แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้ฉันโมโหและกลัวไปพร้อมกัน
“เงียบ”
“ไม่เงียบ! มีความจำเป็นอะไรที่ฉันต้องทำตามคำสั่งของนายเหรอไอ้เลว!”
“...โอเค ถ้างั้นก็พูดเลย พูดได้ตามสบาย แล้วเดี๋ยวเราค่อยเคลียร์คำพูดทุกคำของเธอทีเดียว”เขาพูดแค่นั้นก็ปล่อยแขนฉันจากนั้นก็สนใจแค่การขับรถแต่แทนที่ฉันจะพูดหรือโวยวายอะไรเสียงดังลั่นรถให้มันสั่นประสาทเขาต่อฉันกลับไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวเพราะน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกของเขามันทำให้ฉันรู้สึกกลัวขึ้นมาซะดื้อ ๆ กลัวจนจับหัวใจเลยด้วยซ้ำ
ฉันเงียบหันไปมองทางอื่นเขาก็ขับรถต่อไปเรื่อย ๆ ฉันกลัวนะคะไม่รู้ว่าเขาจะพาไปที่ไหน ไม่น่ามาด้วยเลย ความจริงน่าจะลงจากรถตั้งแต่ที่หอของวีญ่าโดยที่ไม่สนใจว่าเขาจะขู่ว่าอะไรเพราะต่อให้เขาประจานเรื่องฉันให้วีญ่าฟังมันก็ยังไม่น่ากลัวเท่าการมากับเขาสองต่อสองอีกครั้งหรอก
-ครึ่งชั่วโมงต่อมา-
“อาจารย์ปกป้องที่วีญ่าพูดคือใคร” พอรถจอดที่ลานจอดรถของสนามแข่งที่ฉันเคยมาเขาก็เอ่ยคำถามออกมาทันทีหลังจากที่เราไม่ได้คุยอะไรกันเลย แต่สนามแข่งของเขามันเงียบนะคะ อาจจะเป็นช่วงกลางวันหรือเป็นวันที่ไม่มีแข่งเลยทำให้ไม่มีคน ที่สำคัญลานจอดมันใหญ่มากด้วยเลยยิ่งทำให้ดูไม่ปลอดภัยสำหรับตัวฉันมากกว่าเดิม
“...พามาที่นี่ทำไม” ฉันไม่ตอบคำถามเขาแต่มองไปรอบ ๆ ที่นี่จากในรถ มันเป็นพื้นที่ของเขาถ้าเกิดอะไรไม่ดีขึ้นมาต่อให้มีคนมาเจอคนพวกนั้นจะช่วยฉันเหรอคะ
“บอกไปแล้วว่ามาเคลียร์ รู้แล้วก็ตอบมาว่ามันคือใคร”
“...”
“ตอบ” พอไม่ตอบก็ทำน้ำเสียงกดดันฉันที่กลัวอยู่แล้วพอมาอยู่ในที่แบบนี้ก็ยิ่งกลัวมากขึ้นเลยต้องตอบออกไป
“ก็เป็นอาจารย์ไง” ฉันกลัวเขานะแต่เพราะมีอารมณ์โมโหอยู่น้ำเสียงที่ตอบออกไปก็เลยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ติดจะห้วนมากพอสมควรด้วยซ้ำ
“อาจารย์ที่ไหน” จะอยากรู้เพื่อ?
“อาจารย์พิเศษที่คณะ”
“อาจารย์แบบไหน แล้วที่วีญ่าพูดมันหมายความว่ายังไง”
จะให้บอกยังไงล่ะ ก็อาจารย์ไงแต่เป็นอาจารย์ที่ฉันแอบปลื้ม ส่วนอาจารย์เขาจะปลื้มฉันบ้างไหมอันนี้ก็ไม่แน่ใจ ยังไม่ได้สานสัมพันธ์กันแต่ถ้าได้สานสัมพันธ์ก็คงดีเผื่อใจจะลืมแผลที่นายสร้างไว้สักที
“ก็... / หึ! เธอมีซัมธิงกับอาจารย์ของตัวเองงั้นสิ” สมองฉันกำลังพยายามจะประมวลคำตอบว่าควรตอบเขายังไงแต่เขาก็ดันพูดออกมาก่อน แถมมันยังเป็นน้ำเสียงที่ชวนโมโหยังไงก็ไม่รู้สิ
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม”
“ก็ไม่ทำอะไร แค่อยากถามว่ามันไม่รู้เหรอว่าลูกศิษย์ที่มันอยากกินมีผัวแล้ว”
“ฉันไม่มีผัว!”
“อยากให้ตอกย้ำความเป็นผัวไหมเผื่อจะจำได้”
ผลัก!
เพราะเขาถามแล้วทำท่าทางคุกคามฉันก็เลยโมโหจนผลักไหล่เขาแล้วตะคอกใส่เสียงดังลั่นรถ
“ต้องการอะไรวะ! เป็นบ้าอะไรหวงก้างเหรอ! จะเอาอะไรนักหนาหรือว่าเกมเหี้ย ๆ ของพวกนายมันยังไม่จบถึงได้ตามตอแยฉันไม่เลิก!” ฉันไม่อยากพูดจาหยาบคายเลย ไม่เคยชอบแต่กับผู้ชายคนนี้ฉันอดที่จะพ่นคำหยาบออกมาไม่ได้
“...”
“ว่าไง! เกมนายมันยังไม่จบใช่ไหม! พนันกันต่อว่ายังไงล่ะ ถ้าหลอกฟันฉันได้อีกรอบหลังจากฉันรู้ความจริงแล้วนายจะได้รถราคาเป็นสิบล้านอีกคันใช่รึเปล่า!” ฉันตะโกนถามแล้วก็เอามือผลักอกเขาที่กำลังมองและฟังด้วยท่าทางที่นิ่งมาก
“คิดแบบนั้น?”
“เออ! จะให้คิดแบบไหน คนเลวอย่างนายมันคิดอะไรดี ๆ ได้ด้วยเหรอ!” ฉันตะคอกใส่หน้าเขาอีกครั้ง ทั้งโมโหทั้งเกลียดเลยให้ตายเถอะ!
“กับมันถึงไหนกันแล้ว” เปลี่ยนเรื่องเพื่อ? โมโหว่ะ โมโหที่สุดเลย
“ยุ่งอะไรด้วยวะ?”
“ตอบ” คำพูดสั้น ๆ ที่เป็นการออกคำสั่งทำให้ฉันฟิวส์ขาดในทันที
“มันเป็นเรื่องส่วนตัวไม่จำเป็นต้องตอบ ทำไมเหรอ? ฉันไปได้กับใครฉันต้องรายงานนายรึไงวะ!”
หมับ!
“อื้อ!!!” ฉันโดนเขากระชากเข้าไปจูบแถมยังจูบได้โคตรหยาบคายฉันเลยใช้มือทุบตีเขาไปทุกส่วนของร่างกายที่มือจะทุบได้โดยเฉพาะส่วนหัว
ตุ๊บ!
ตุ๊บ ๆๆ
ผลัก!
“ไอ้เลว!” ไม่ใช่ฉันนะที่ผลักแต่เป็นเขาต่างหากที่ผลักฉัน ผลักออกหลังจากที่ทำร้ายฉันด้วยการจูบจนเลือดมันซึมออกมาจากริมฝีปากของฉัน
“อยากโดนอีกก็พูดจาให้มันไม่เข้าหูอีก” เสียงเย็นยะเยือกกับสายตาเอาจริงของเขาทำให้ฉันต้องควบคุมอารมณ์และดึงสติเพื่อให้รู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัย
“พูดสิ”
“...อยากจะเคลียร์อะไรก็พูดมาฉันจะได้กลับ” ฉันตัดสินใจพูดออกไปแล้วเม้มปากตัวเองที่มีเลือดจากนั้นก็เบือนหน้าไปอีกทาง พูดมาให้มันจบ ๆ วันนั้นบอกว่าฉันเคลียร์ของฉันคนเดียวถูกรึเปล่า ถ้างั้นวันนี้ฉันจะให้เขาเคลียร์ในมุมของเขา ต่างฝ่ายต่างเคลียร์แล้วจะได้จบสักที
บรื๊น~
“นี่จะไปไหนอีก” แทนที่จะเคลียร์อย่างที่พูดแต่รถของเขากับเคลื่อนตัวฉันเลยต้องรีบถามออกไป
“ไม่พาไปฆ่าหรอก” คำพูดที่ตอบออกมาไม่ได้ทำให้ฉันสบายใจขึ้นมาเลยเขาจะรู้บ้างรึเปล่า ฉันไม่รู้เลยว่าไว้ใจอะไรผู้ชายคนนี้ได้บ้างไหม
ฉันนั่งอยู่ในรถด้วยความกลัวและกังวลแต่เขาก็ขับรถอยู่ในสนามของเขานี่ล่ะจากตอนแรกที่จอดในลานจอดด้านนอกแต่ไกลออกไปเขาก็ขับไปตรงโซนที่มีรถจอดอยู่พอสมควรแล้ววนไปตามตัวอาคารขนาดใหญ่ของสนามจากนั้นฉันก็เห็นป้ายที่จอดรถที่ติดว่า เฉพาะผู้บริหาร
นี่จะทำบ้าอะไรของเขาอีก
“ลง” เขาดับเครื่องรถยนต์แล้วพูดสั้น ๆ จากนั้นก็ลงจากรถไปเลย เหอะ! ทำไมต้องเอาแต่บังคับด้วย เขาคิดว่าตัวเองเป็นใคร เปิดซิงได้แล้วจะทำอะไรกับฉันต่อก็ได้งั้นเหรอ?
ฉันไม่ลงยังไม่ทำอะไรทั้งนั้นแต่เขาก็เดินอ้อมมาเปิดประตูฝั่งที่ฉันนั่ง
“ลงมา”
“ไม่ลง ไม่ไปไหนทั้งนั้น นายนั่นแหละกลับขึ้นมาเคลียร์กันบนรถให้จบฉันจะได้กลับสักที”
“โอเค ถ้าไม่ก้าวขาลงมาเองฉันอุ้ม” เขาพูดจบก็โน้มตัวลงแล้วสอดตัวเข้ามาในรถทันทีจนฉันต้องรีบเอามือดันเขาออกห่าง
“เฮ้ย ๆๆ ไม่ต้อง อย่ามาคุกคามนะ!” ฉันผลักจนเขาออกไปนอกรถแล้วรีบปลดเข็มขัดนิรภัยจากนั้นก็ลงรถทันทีเพราะกลัวโดนคุกามอีกครั้ง
“ก็แค่นั้น”
“จะพาไปไหน นัดเพื่อนนายไว้อีกรึไง” จะพาฉันมาให้เพื่อนเห็นเป็นเครื่องยืนยันว่าจบเกมแล้วเหมือนครั้งนั้นใช่ไหม นี่ตกลงเขาไปพนันอะไรกับเพื่อนอีกใช่ไหมคะ? ทำสนามแข่งรถกินเงินจากพวกพนันแล้วมันไม่พอเหรอวะถึงต้องพนันไปทุกเรื่องจนถึงเรื่องความรู้สึกของคน
“ไร้สาระ” น้ำเสียงกึ่งดุกึ่งรำคาญพูดออกมาจากนั้นเขาก็จับที่ข้อมือฉันทันที
“จะทำอะไร ปล่อย!”
“เงียบแล้วเดินตามมา อย่าเรื่องเยอะไม่งั้นก็ไม่เสร็จธุระสักที”
“นายก็ช่วยบอกก่อนสิว่าจะพาฉันไปไหน” ฉันฝืนตัวไว้ต่อให้เขาจะดึงมือให้เดินตามก็ตาม
“เข้าไปข้างใน”
“เข้าไปทำอะไรล่ะ จะพาฉันไปเคลมเหรอ? อย่านะฉันสู้ตายแน่!” ฉันพูดไปฝืนตัวไปแต่เขาไม่ยืมปล่อยมือพอพูดจบเขาก็หันกลับมามอง
“ไปทำแผล ปากแตกขนาดนี้จะไม่ทำแผลรึไง”
“ไม่จำเป็น”
“จำเป็น เลิกดื้อแล้วเข้าไปทำดี ๆ เธอไม่อยากทำก็เรื่องของเธอแต่ฉันจะทำ...ฉันไม่ได้อยากเห็นเธอเจ็บ”
“...”
...จะพูดแบบนี้เพื่ออะไร?
ฉันไม่ได้พูดอะไรได้แต่เงียบ ไม่รู้สิคะ อยู่ดี ๆ สมองมันก็ไม่อยากพูดอะไรออกมาซะดื้อ ๆ ส่วนเขาก็เดินจูงมือฉันเข้าไปข้างในช้า ๆ
“ฝ้าย” เขาเดินเข้ามาข้างในตัวอาคารแต่ไม่ใช่ทางเดียวกันกับที่ฉันเคยเข้าหรอกนะคะ อันนั้นน่าจะข้างหน้าส่วนตรงนี้เหมือนจะเป็นโซนออฟฟิตพอเข้ามาก็มีผู้หญิงคนหนึ่งหันหลังกำลังจะเดินไปอีกทางพอดีเขาก็เลยเรียก ก็น่าจะเรียกผู้หญิงคนนี้มั้งเพราะมีเธอคนเดียว
“คะเฮีย...”
“ขอกล่องปฐมพยาบาล”
“...ทำไมเหรอคะเฮีย เฮียเป็นอะไรคะเดี๋ยวฝ้ายทำแผลให้ค่ะ ไหนคะฝ้ายขอดูแผลหน่อย” ผู้หญิงคนนั้นรีบเดินมาถามเขาด้วยน้ำเสียงเครียดทันที มองเขาแล้วก็มองมาที่ฉันนิดหน่อย มองด้วยสายตาไม่ค่อยดีซะด้วยสิ
“ไม่เป็นไรฝ้าย เอามาให้ตามที่บอกก็พอฉันไม่ได้เจ็บอะไรคนที่เจ็บคือแฟนฉัน เดี๋ยวฉันทำให้แฟนฉันเอง”