เช้าอีกแล้ว ผมว่าผมเพิ่งจะหลับไปไม่นานนี้เอง สามชั่วโมงสั้นราวสามสิบนาที แต่ต่อให้อยากนอนแค่ไหนก็นอนต่อไม่ได้ เพราะมีสิ่งที่รอให้ต้องไปทำ
สิ่งที่ทำเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องให้ยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไป
ผมมองดูนาฬิกาอีกครั้ง ตีสี่สามสิบห้านาที เอาล่ะ ผมเอ้อระเหยไปห้านาทีสมควรลุกจากเตียงแล้วไปล้างหน้าแปรงฟันเพื่อออกไปทำงาน
ผมยังไม่ได้แนะนำตัวใช่ไหม ผมชื่อฟ้า ชื่อจริงชื่อสายฟ้า อายุ 21 ปี คนที่ตั้งชื่อนี้ให้ผมเป็นลุงขี้เมาคนหนึ่ง ที่เล่าให้ผมฟังว่า ในคืนวันที่ฝนตกหนัก สายฟ้าก็ผ่าเหนือหน้าบ้านมุงสังกะสีเก่าๆ ของลุงจนสะเทือนไปหมด แล้วหลังจากนั้นลุงชัยก็ได้ยินเสียงเด็กทารกร้อง ออกมาดูก็เจอกับผมที่นอนตากฝนอยู่ข้างถังขยะในซอยของสลัม
ลุงไม่รู้จะทำยังไงกับผม เที่ยวเร่หาคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ แต่ก็หาไม่เจอ และผมในตอนนั้น ไม่ยอมให้ใครอุ้มเลยยกเว้นลุงคนเดียว แกเลยต้องจำใจเจียดเงินค่าเหล้ามาซื้อนมให้ผม และเลี้ยงผมมาอย่างตามมีตามเกิด
จนกระทั่งผมอายุได้สิบสองขวบ ลุงก็จากไปด้วยโรงมะเร็งตับ ที่ไม่ต้องถามหาสาเหตุว่าเพราะอะไร ตั้งแต่นั้นมา ผมก็ต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง รับจ้างทำงานตั้งแต่เด็กยันโต เพื่อให้ชีวิตตัวเองอยู่รอด ให้สมกับที่ลุงชัยมีเมตตาเก็บผมขึ้นมาจากความตาย
นึกถึงลุงแล้ว ผมก็อดไม่ได้ที่จะหยิบของเล่นเพียงชิ้นเดียวที่ผมมีในชีวิต หุ่นยนต์ตัวเก่าๆ ที่ลุงเก็บได้ในถังขยะ ตอนที่ไปคุ้ยหาของเก่าไปขาย
ในตอนนั้นมันดูสมประกอบมากเสียจนเกือบจะเป็นของใหม่ ผมดีใจคิดว่าลุงซื้อมาให้ แต่ลุงไม่เคยโกหก ลุงบอกว่าลุงเก็บมา แต่ผมไม่เชื่อแก จะมีก็แค่สัญญาครั้งสุดท้ายที่ลุงบอกว่าจะไม่ตาย
สุดท้าย...ลุงก็จากไป
“ฟ้าคิดถึงลุงนะ ลุงล่ะ คิดถึงฟ้าไหม”
ผมยิ้มให้กับหุ่นยนต์ที่เริ่มจะเก่า แล้ววางมันลงที่หัวเตียงตามเดิม จากนั้นก็รีบเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวไปทำงานในตอนเช้าตรู่
ทุกเช้า ผมรับจ้างส่งอาหารกล่องให้ตามบ้านในซอยที่ผมเช่าอพาร์ทเม้นท์อยู่ ภายในซอยนี้มีหมู่บ้านอยู่หลายหมู่บ้าน ราคาก็หลายล้านบาทไปจนถึงหลักห้าสิบล้านก็มี
ร้านอาหารที่ผมไปทำงาน จะเปิดขายอาหารปกติตอนแปดโมงเช้า แต่จะมีจัดส่งอาหารกล่องเพื่อสุขภาพก่อนในตอนตีห้าถึงเจ็ดโมง และผมก็เป็นคนที่จะต้องไปส่งอาหารตามบ้านต่างๆ ที่สั่งเข้ามา
“สวัสดีครับพี่นุช”
ผมยกมือไหว้และยิ้มให้พี่เจ้าของร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ที่รับผมเข้าทำงานตั้งแต่ผมตกงานจากการเป็นคนทำความสะอาดบ้านของคนๆ หนึ่ง
“สวัสดีจ้า ทำไมวันนี้หน้าตาดูไม่ค่อยสดชื่นเลยล่ะ”
พี่นุชสอดสายตาสังเกตไปทั่วใบหน้าของผม ที่คงจะออกอาการฟ้องว่าช่วงนี้ผมนอนน้อยมากถึงมากที่สุด
“ช่วงนี้ใกล้สอบน่ะครับ ผมต้องอ่านหนังสือหนัก เลยนอนน้อย”
“ก็เราทำงานหนักตั้งแต่เช้ายันดึก” พี่นุชพูดคล้ายจะบ่น
“ทำไงได้ล่ะครับ ผมต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง” ผมพูดยิ้มๆ หยิบรายชื่อและรายการอาหารที่ต้องไปจัดส่งมาดู พร้อมกับจัดกล่องข้าวใส่ถุงตามออเดอร์ที่ต้องนำไปจัดส่งก่อนในรอบหกโมงเช้า
“เอ๋?” ผมครางเสียงเบาด้วยความแปลกใจ
“มีอะไรเหรอ”
พี่นุชที่กำลังจัดอาหารลงกล่องอยู่ใกล้ๆ เงยหน้าขึ้นมามอง
“มีไปส่งที่บ้านเลขที่88ด้วยเหรอครับ” ผมยื่นใบออเดอร์ให้พี่นุชดู
“อ่อ ใช่จ้า เป็นวันแรกเลยนะที่มีสั่งอาหารมาจากบ้านหลังนี้”
ไม่แปลกที่จะเป็นวันแรก เพราะบ้านหลังนั้นไม่มีใครอยู่นับตั้งแต่เมื่อสี่ปีที่แล้ว
‘คุณตรี’
แค่คิดถึงผู้ชายคนนั้น ผมก็รู้สึกใจเต้นแรง ความเคลื่อนไหวของบ้านหลังนั้น จะหมายความว่าคุณตรีกลับมาแล้วหรือเปล่า
ผู้มีพระคุณของผม
ย้อนไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว
หลังจากที่ลุงจากไปแล้วผมต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง ผมก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในสลัม ลักลอบทำงานเล็กๆน้อยๆ เท่าที่จะทำได้ด้วยอายุไม่อำนวย เก็บขยะขายบ้าง รับจ้างล้างจานที่ร้านก๋วยเตี๋ยวบ้าง รับจ้างเข็นผักในตลาดสดผมก็ทำ ว่างๆ ก็ไปเก็บยอดกระถินส่งแผงขายหอยนางรม ผมทำทุกงานที่สุจริตเพื่อหาเงินเลี้ยงดูตัวเอง
จนกระทั่งอายุสิบเจ็ดปี ผมก็ย้ายออกจากสลัมแห่งนั้น เพราะใครไม่รู้ที่บอกว่าเป็นญาติของลุงอยู่ๆ ก็มาที่บ้าน และมาอาศัยอยู่แบบถาวร เขาดูน่ากลัว และแน่นอนว่าเขาเหมือนลุงเรื่องกินเหล้า ผมไม่กล้าอยู่ที่นั่น เพราะเคยเห็นเขาเตะต่อยชาวบ้านยามเมาจัด สุดท้ายก็ตัดสินใจแอบย้ายออกมา
ผมเลือกหอพักที่ผมอยู่ในปัจจุบัน สภาพเก่าถึงเก่ามาก แต่ก็ราคาถูกมากเหมือนกัน เป็นอะไรที่น่าแปลกว่าห้องเช่านี้อยู่ในซอยที่มีหมู่บ้านเป็นสิบโครงการ และแต่ละโครงการก็ราคาแพงหูฉี่ ส่งผลให้ในซอยนี้ครึกครื้นไปด้วยร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ และตลาดสด
ตอนนั้นผมยังไม่รู้เลยว่าจะต้องใช้ชีวิตยังไง เงินที่มีติดตัวก็พอแค่เช่าห้องอยู่ ผมเดินเตร็ดเตร่หางานอยู่ในซอยอยู่หลายวัน เพราะส่วนมากร้านอาหารก็พนักงานเต็มหมดแล้ว ส่วนร้านสะดวกซื้อต้องใช้วุฒิจบมัธยมศึกษาปีที่หกในการสมัครงาน ซึ่งผมจบแค่มัธยมปีที่สาม จึงไม่สามารถไปสมัครได้
ผมร่อนเร่อยู่เกือบเดือนสุดท้ายผมก็ได้งาน งานแรกที่ผมได้ทำก็คือการรับจ้างทำความสะอาดบ้านให้คนๆ หนึ่ง คนที่อายุมากกว่าผมแค่ปีเดียว แต่เขาต้องอาศัยอยู่ในบ้านหลังโตแค่เพียงลำพัง
คนๆ นั้นก็คือคุณตรี
‘สวัสดีครับ เอ่อ ผม...ผมมาสมัครทำความสะอาดบ้านครับ’ นั่นเป็นประโยคแรกที่ผมพูดเมื่อกดกริ่งหน้าบ้าน แล้วเขาเดินออกมาเปิดประตูด้วยตัวเอง
เขามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาสงบนิ่งนั้นเจือแววสงสัยเล็กน้อย ผมเลยยื่นใบประกาศที่ผมได้มาจากหน้าร้านสะดวกซื้อให้เขาดู
‘คุณได้เอาไปติดไว้ที่ร้านสะดวกซื้อหรือเปล่าครับ’ ผมถามอย่างไม่แน่ใจ กลัวว่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดและผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น เพราะว่าผมอยากได้งานทำมากๆ ไม่อย่างนั้นผมจะต้องอดตายแน่นอน
‘ใช่’ เขาตอบแค่นั้น สั้นๆ คำเดียว ที่จริงเขาดูเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่ไม่น่าจะอายุเยอะกว่าผมมากนัก แต่ที่มากกว่าก็คือรูปร่างและส่วนสูง เพราะเขาไม่ผอมแห้งแรงน้อยแบบผม
‘เอ่อ แล้ว...’ เป็นผมที่ไปต่อไม่ได้ เพราะใบหน้าของเขานิ่งเกินไป จนไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
ทั้งผมและเขาต่างเงียบด้วยกันทั้งคู่ ผมมองเขาในระดับที่ไม่ตรงสายตา ไม่กล้าจ้องหน้าเขาตรงๆ ส่วนเขาก็คงจะกำลังจ้องหน้าผมอยู่
‘อายุเท่าไหร่’ หลังจากที่เงียบไปชั่วครู่ เขาก็ถามผมกลับมา
‘ผมอายุสิบเจ็ดปีครับ’ ผมรีบตอบ
‘ฉันรับสมัครคนทำงานบ้าน รวมทั้งทำกับข้าว ดูแลทุกอย่างภายในบ้าน’ เขาอธิบาย
‘ครับ’ ผมตอบรับ
‘แน่ใจว่านายทำเป็น’
นี่สินะ ที่เขาดูจะลังเลในตัวผม
‘ถึงผมจะดูผอม ไม่ค่อยแข็งแรง แต่เรื่องงานบ้าน ผมทำมาตลอดตั้งแต่เด็ก ส่วนเรื่องทำอาหาร ผมพอทำได้ครับ’
ก็ถ้าเป็นอาหารง่ายๆ น่ะนะ ผมต่อประโยคนี้ในใจ
ผมอยากได้งานนี้ ไม่รู้สิ ผมรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่าอยู่ใกล้ เขาดูใจดี แม้ภายนอกจะดูนิ่งเฉย แต่ผมว่าเขาใจดีแน่นอน
‘ถ้านายบอกว่าทำได้’
‘ครับ ผมทำได้ ทำได้แน่นอน’
‘หึหึ รีบตอบอะไรขนาดนั้น’ เขาหลุดหัวเราะเบาๆ
‘ขอโทษทีครับ ผมกลัวคุณจะไม่เชื่อ’
‘ฉันไม่เคยเชื่ออะไรง่ายๆ’
‘...’ หมายความว่ายังไงนะ เขาไม่เชื่อคำพูดของผมหรือเปล่า เขายกยิ้มมุมปากแค่จางๆ จางจนเกือบจะมองไม่เห็น ดีที่ผมเป็นคนช่างสังเกตก็เลยพอจะมองออก
‘ถ้าอยากให้ฉันเชื่อว่านายทำได้ ลองพิสูจน์ให้เห็นหน่อยเป็นไง’ ผู้ชายตรงหน้าเปิดประตูรั้วไม้ที่สูงเลยหัวไปประมาณหนึ่งออกกว้างกว่าเดิม พร้อมขยับเปิดทางคล้ายจะให้ผมเดินเข้าไป
‘ครับ?’ ผมยังงงๆ เลยไม่ค่อยเข้าใจที่เขาพูด
‘ถ้าอยากได้งาน วันนี้นายก็ลองทำงานให้ฉันดู ถ้านายทำได้ดี ฉันจะรับนายทันที’ เขาพูดในท่าทางแสนสบาย เอนตัวยืนไขว้ขาพิงประตู สองมือยกกอดอก ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น แต่ดูเท่สุดๆ ในสายตาผม
‘ได้เลยครับ ผมจะทำให้เต็มที่’ และผมจะต้องได้งานนี้ เพื่อปากท้อง เพื่ออนาคต
‘นายชื่ออะไร’ เขาถามหลังจากที่เดินนำผมเข้ามาในบ้าน ผมถึงได้นึกได้ว่าผมลืมแนะนำตัวกับเจ้าของบ้าน ทั้งๆ ที่มาของานเขาทำแท้ๆ ทำไมผมถึงได้เอ๋อแบบนี้นะ
‘ผมชื่อสายฟ้าครับ เรียกฟ้าเฉยๆ ก็ได้ครับ’
‘อืม ฉันชื่อตรี’ เขาตอบกลับมา
‘ครับ คุณตรี’ เป็นครั้งแรกที่ผมได้เรียกชื่อเขา นับแต่วินาทีนั้น ผมรู้สึกอยากเรียกชื่อของเขาไปตลอด
คุณตรี
วันนั้นผมเริ่มต้นการทดลองงานด้วยการเก็บกวาดถูบ้าน ซักผ้า และจบท้ายด้วยการรดน้ำต้นไม้ในสวน
ความจริงแล้วบ้านคุณตรีแทบจะไม่สกปรกอะไรเลย ทุกอย่างอยู่เป็นระเบียบเรียบร้อยดี ไม่เหมือนกับบ้านผู้ชายทั่วไป ที่ส่วนมากก็จะต้องมีของกองสุม มีรกมีสกปรกบ้าง แต่คุณตรีดูจะเป็นคนรักสะอาดและเจ้าระเบียบ ผมลอบสังเกตหลายครั้ง เวลาคุณตรีหยิบจับใช้อะไรในบ้าน เขาจะเอาไปเก็บที่อย่างเรียบร้อยทุกครั้ง ช่างเป็นผู้ชายที่ดูสมบูรณ์แบบอย่างบอกไม่ถูก
จบวันผมก็มายืนรอลุ้นคำตอบอยู่ตรงหน้าคุณตรี เขานั่งไขว่ห้างกอดอกมองหน้าผมอยู่ที่โซฟา เขาพยักหน้าให้ผมนั่งลงที่โซฟาอีกตัว แต่ผมส่ายหน้าปฏิเสธอย่างนอบน้อม ขอผมยืนแบบนี้จะดีกว่า ผมไม่กล้านั่งเทียบเท่าเขาหรอกครับ
‘นายว่างทำงานได้วันไหนบ้าง’
‘ผมเหรอครับ’ ผมสะดุ้ง เพราะมัวแต่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
‘ก็นายน่ะสิ หรือมีใครคนอื่นจะมาทำงานนี้’
‘ไม่มีครับไม่มี ผมว่างทุกวันเลยครับ’
‘ว่างทุกวัน?’ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
‘ครับ ว่างทุกวัน’
‘ทำไมว่างทุกวัน ไม่มีเรียนหรือยังไง’
‘อ่อ ผมไม่ได้เรียนหนังสือหรอกครับ ผมต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเอง ทำให้ไม่มีเวลาไปเรียนครับ’
คุณตรีเงียบไป แล้วก็เอาแต่จ้องผมนิ่งราวสองนาทีได้ ก่อนจะพูดเรื่องที่ทำให้ผมดีใจจนเกือบจะกระโดดร้องเย้สุดตัว
‘ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ก็มาเริ่มงานได้ นายมาตั้งแต่ตีห้าทุกวัน นี่กุญแจบ้าน ไขเข้ามาได้เลย แล้วก็นี่ ลิสต์รายการงานที่นายจะต้องทำทุกวัน ทำได้ใช่ไหม’
‘ทำได้ครับ ผมทำได้ และจะทำให้ดีที่สุดเลยครับ’ ผมเอื้อมมือไปรับกุญแจและสมุดจดรายการงานที่ผมต้องทำมาถือไว้แน่นด้วยความดีใจ
‘ก็ดี วันนี้ก็กลับไปพักผ่อนเถอะ’
‘ครับ ขอบคุณคุณตรีมากเลยนะครับที่รับผมเข้าทำงาน ขอบคุณครับ’
‘อืม’
ผมกลับห้องพักไปด้วยความดีใจ แล้วรีบตื่นเช้าไปทำงาน งานหลักๆที่คุณตรีจดมาให้ ก็คือการเตรียมอาหารเช้าให้คุณตรีก่อนที่คุณตรีจะไปโรงเรียน เตรียมหนังสือพิมพ์ รดน้ำต้นไม้ในตอนเช้า เก็บกวาดบ้านไม่ให้มีไรฝุ่น โดยเฉพาะในห้องนอนที่จะต้องเปลี่ยนผ้าปูเตียงทุกอาทิตย์ ผ้าขนหนูจะต้องมีผืนใหม่ไว้ใช้วันต่อวัน เสื้อผ้าซักรีดทุกวัน เพราะคุณตรีไม่ชอบให้หมักหมม อย่างที่บอกความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญกับคุณตรีมากๆ
ตกเย็นก็แค่รอให้คุณตรีกลับบ้าน บางวันเขาก็กินข้าวเย็นมาแล้ว บางวันก็กลับมากินที่บ้าน ผมทำเป็นแต่อาหารง่ายๆ แต่เพราะเป็นคุณตรี ผมเลยต้องลองหัดทำอะไรที่มันดูพิเศษกว่าพวกผัดผัก ต้มจืด ของทอดๆ ดูบ้าง ความรู้ก็ดูเอาจากทีวีที่คุณตรีอนุญาตให้เปิดดูได้
ผ่านไปได้สักหนึ่งอาทิตย์ คุณพ่อคุณแม่ของคุณตรีก็มาที่บ้านในวันหยุด วันนั้นผมถึงได้รู้ว่า จริงๆ แล้วคุณตรีมีแม่บ้านเป็นผู้หญิงก่อนที่จะรับผมมาทำแทน ผมได้ยินคุณพ่อของคุณตรีบ่นว่าเรื่องที่คุณตรีเปลี่ยนแม่บ้านบ่อยมากๆ และล่าสุดก็ไล่แม่บ้านที่แม่เขาหามาให้โดยไม่บอกแม่เขาก่อน
เหตุผลที่เขาบอกกับแม่เขาก็คือ แม่บ้านที่แม่หามาทำตัวไม่เหมาะสมและเขาไม่ชอบ พวกเขาทะเลาะกันไปหนึ่งยกใหญ่ ก่อนจะบอกกับผมว่าให้ตั้งใจทำงาน แล้วพ่อแม่ของคุณตรีก็พากันกลับอังกฤษ
แต่ผมก็ทำงานอยู่กับเขาได้แค่หกเดือนเท่านั้น คุณตรีก็ต้องไปเรียนต่อปริญญาตรีที่ต่างประเทศ เขาดูไม่อยากไป เพราะผมเคยได้ยินเขาทะเลาะกับพ่อแม่เขาผ่านทางโทรศัพท์ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
‘นายหางานใหม่ได้หรือยัง’ เขาถามผมขณะที่ผมช่วยเขาเก็บของเตรียมตัวไปต่างประเทศ ข้าวของเครื่องใช้ในบ้านก็ต้องหาผ้ามาคลุมไม่ให้มีฝุ่นจับ
‘ยังเลยครับ แต่ผมว่าพรุ่งนี้ผมคงไปเดินหางานทำดู’
‘อืม มีอะไรให้ฉันช่วยไหม’ เขาถามอย่างคนมีน้ำใจ เพราะว่าคุณตรีใจดี
‘ไม่เป็นไรครับ แค่คุณให้โอกาสผมทำงานที่นี่ ก็มากพอแล้วครับ’
‘นายดูเป็นคนหวังน้อยดีนะ’
ผมแค่ยิ้มให้เขา เพราะผมรู้ดีว่าชีวิตนี้เราหวังอะไรไม่ได้มาก แค่ที่เป็นอยู่นี่ก็ดีแล้ว ผมมีความสุขดี อีกอย่างคุณตรีให้เงินเดือนผมค่อนข้างเยอะ ผมเลยมีเงินเก็บมากกว่าที่เคยมีมาด้วยซ้ำ
‘ตามปกติแล้ว ถ้าพนักงานโดนไล่ออกหรือขอให้ออกจากงาน พนักงานจะได้เงินชดเชย’
อยู่ๆคุณตรีก็พูดขึ้นมา ซึ่งผมชินเสียแล้ว ทำงานให้เขามาหลายเดือน ผมรู้ว่าคุณตรีเป็นคนเงียบๆ เพราะเขามีเรื่องให้คิดมากมาย ทั้งๆ ที่อายุมากกว่าผมแค่ปีเดียว คุณตรีเป็นคนที่ทำให้ผมเห็นว่าคนรวยก็ไม่ได้มีความสุขเสมอไป อย่างน้อยเขาก็ถูกกดดันจากครอบครัวในหลายๆ เรื่อง ซึ่งผมไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไหร่ เรื่องของเจ้านาย ถ้าเขาไม่พูดผมก็ไม่จำเป็นต้องรู้
‘นายจะเรียกเงินชดเชยเท่าไหร่ ที่นายต้องตกงานแบบกะทันหัน’
บอกตามตรงว่า ผู้ชายตรงหน้าไม่เหมือนผู้ชายที่แก่กว่าผมแค่ปีเดียว เพราะเขาชอบพูดอะไรที่มันเข้าใจยากและดูเป็นผู้ใหญ่แบบสุดโต่ง
‘คุณตรีพูดอะไร ผมไม่เห็นเข้าใจ’
‘หึ เด็กหัวช้า’ เขาบ่นผม แล้วลุกเดินหายขึ้นไปบนชั้นสอง ครู่เดียวก็เดินลงมา พร้อมกับยื่นซองสีน้ำเงินสีที่คุณตรีชอบให้ผม
‘อะไรครับ’
‘ของขวัญ’
‘ของขวัญ? ในโอกาสอะไรครับ’ ผมถามด้วยความสงสัย
‘ของขวัญส่งท้าย ไว้ฉันไปแล้วนายค่อยเปิดดู เข้าใจไหม’
‘ครับ ผมเข้าใจ’ ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจก็ต้องบอกว่าเข้าใจ ผมไม่อยากให้คุณตรีรู้สึกรำคาญในความหัวช้าของผม
และแล้วงานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกรา เช้าวันต่อมาก่อนที่คุณตรีจะต้องไปสนามบิน ผมรีบตื่นมาทำแซนด์วิชแบบหรูๆ ให้คุณตรีเป็นการส่งท้าย ผมปั่นจักรยานที่ซื้อมาได้ด้วยเงินเดือนที่คุณตรีให้ไปที่บ้านของเขา
‘แฮกๆ’ ผมเหนื่อยหอบอยู่หน้าบ้าน ยังไม่ทันได้กดออด คุณตรีก็เปิดประตูออกมาพอดี พร้อมกับเสียงรถยนต์ดังขึ้นที่ด้านหลัง ผมหันไปมองรถยนต์คันหรูที่ขับมารับคุณตรีไปสนามบิน ก่อนจะหันกลับมาพูดกับเขา
‘คุณตรีครับ’
‘ว่าไง’
‘ผมทำแซนด์วิชมาให้ครับ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมานะครับ’ ผมยื่นถุงกระดาษที่มีกล่องแซนด์วิชอยู่ข้างในให้คุณตรี เขามองก่อนจะยกยิ้มแล้วรับไป ผมดีใจที่เขาไม่รังเกียจน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากผม
‘เดินทางปลอดภัยนะครับ คุณตรีคงต้องไปแล้ว งั้นผมลานะครับ’
‘ฟ้า...’ คุณตรีเรียกผมเอาไว้ก่อนที่ผมจะออกตัวถีบจักรยาน ผมหันไปมองเขา คุณตรีเหมือนมีอะไรอยากจะพูด แต่เขาก็ไม่ได้พูดออกมา
‘โชคดีนะครับ’ ผมยิ้มให้เขา รู้สึกใจหายหดหู่จนอยากจะร้องไห้ เพราะหลังจากนี้ผมจะไม่เจอเขาอีกแล้ว
‘นายด้วย โชคดีนะ’
ผมรู้ว่าคุณตรีเก่ง เขาจะต้องเรียนที่ต่างประเทศได้ดีแน่นอน ผมดีใจกับเขาด้วย และรู้สึกเสียใจเล็กๆ ที่คิดว่าชาตินี้ทั้งชาติอาจจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว
แล้วถ้าผมอยากจะลองฝันดูล่ะ ถ้าปาฏิหาริย์มีจริงแล้วเราได้เจอกันอีกครั้ง ถึงตอนนั้นเขาจะยังจำผมได้หรือเปล่า ส่วนตัวผมนั้นไม่มีทางที่จะลืมเขาได้
ผู้มีพระคุณและคนที่ผมแอบรัก
นานแล้วที่ผมไม่ได้มาที่บ้านหลังนี้ ช่วงแรกๆที่คุณตรีไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ผมก็แวะเวียนมาอยู่สองถึงสามครั้ง คงเพราะรู้สึกคิดถึงคนที่เคยให้โอกาส แต่เพราะผมต้องหางานใหม่และหาเงินเพื่อเรียนต่อกศน. และต่อมหาวิทยาลัยแบบที่ผมฝัน ทำให้ผมไม่มีเวลาเหลือพอให้มามองหลังคาบ้านเขา
ของขวัญในซองสีน้ำเงิน สีประจำตัวของคุณตรีที่ให้ผมไว้ บรรจุเงินสดจำนวนห้าหมื่นบาท ตอนนั้นผมเสียใจที่ไม่เปิดซองดูให้เร็วกว่านี้ ถ้าผมรู้ก่อนที่คุณตรีจะจากไป ผมคงค*****นทั้งหมดให้เขา
ผมไม่ได้ต้องการเงินชดเชย ที่ผ่านมาคุณตรีให้ผมมามากพอแล้ว สำหรับผมที่หาเงินได้จากการรับจ้างทำทุกอย่างทั้งเดือนรวมๆ กันแล้วไม่เคยเกินแปดพันบาท เทียบกับการทำความสะอาดบ้านและทำกับข้าวง่ายๆ ให้คุณตรีแล้วได้เงินเดือนหนึ่งหมื่นบาท ก็ถือว่าผมโชคดีที่สุดแล้ว
วันนี้จึงนับเป็นครั้งแรกในรอบสี่ปีที่ผ่านมาที่ผมมาที่นี่ หน้าประตูไม้บานเก่าที่สูงชะลูดเลยหัวผมไป ถ้ายืนชิดก็จะมองเห็นแค่แผ่นไม้ แต่ถ้าถอยไปไกลสักหน่อยก็จะเห็นหลังคาบ้านที่ดูจะแปลกตาไปอย่างบอกไม่ถูก
ผมก้มมองถุงกระดาษที่บรรจุกล่องข้าวจำนวนสามกล่องเอาไว้ในมือ ก่อนที่จะเสียเวลามากไปกว่านี้ ผมกดกริ่งหน้าประตู แล้วยืนรอด้วยใจที่เต้นค่อนข้างจะแรง
“ฟู่ว” ผมเป่าลมออกจากปาก ระงับความตื่นเต้นที่อัดแน่นอยู่เต็มอก
ผมจับจ้องไปที่ประตู จนกระทั่งบานไม้ใหญ่ค่อยๆ เปิดออก จังหวะนั้นผมเผลอกลั้นหายใจ ร่างกายเกร็งขึงเหยียดตัวยืนตรงโดยอัตโนมัติ มือที่ถือถุงกำแน่นขึ้นเล็กน้อย
ผมจะได้เจอคุณตรีแล้วใช่ไหม
ความกว้างของประตูที่เพิ่มมากขึ้นเผยให้เห็นผู้ชายตัวสูงในชุดออกกำลังกาย กล้ามเนื้อตามท่อนแขนดูเป็นมัดสวยอย่างสมบูรณ์แบบ เขาใช้ผ้าขนหนูที่พาดอยู่บนคอซับเหงื่อบนใบหน้า ก่อนจะขยับสายตามองมายังผมที่ยืนนิ่งค้าง
และเมื่อเขาเห็นผม เขาดูชะงักไปเล็กน้อย นั่นหมายความว่าเขาจำผมได้ใช่ไหม
จากที่เคยรู้สึก มาวันนี้ที่ได้เห็นหน้าเขาอีกครั้ง ผมจึงได้รู้ว่า...ผมคิดถึงเขามากเหลือเกิน
ดีจัง...ดีจนอยากจะร้องไห้
คุณตรีนับเป็นคนแรกที่เดินออกจากชีวิตผมไป แล้วหวนกลับคืนมาอีกครั้ง
“ไง” เขาทักผมก่อน ทำให้ผมได้สตินึกขึ้นได้ว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ ผมยิ้มกว้างให้เขาเท่าที่ริมฝีปากจะขยายออกได้
“สวัสดีครับคุณตรี ผมเอาข้าวที่คุณสั่งไว้มาส่งครับ” ผมยื่นถุงอาหารให้เขา
เหมือนตอนนั้นเลย ที่ผมต้องมาทำอาหารเช้าให้เขาทานก่อนไปโรงเรียน ต่างกันตรงที่ว่าตอนนี้ผมมาส่งอาหารเช้าให้เขาแทน
“อืม เข้ามาก่อนสิ ฉันจะเข้าไปเอาเงินให้” เขาเปิดประตูออกให้ผมเดินตามเขาเข้าไปในบ้าน
เพราะผมไม่ได้มาที่บ้านหลังนี้นานแล้ว เลยไม่รู้ว่าข้างในเปลี่ยนไปทั้งหมด บ้านหลังเก่าได้อันตรธานหายไป แล้วมีบ้านหลังใหม่มาตั้งไว้แทน บ้านหลังใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมและดูสวยทันสมัยกว่าเดิมมาก
พอเดินเข้ามาในตัวบ้าน ผมก็แทบจะต้องห่อตัวเพราะความหนาวจากเครื่องปรับอากาศ แต่ก่อนเขาไม่เคยเปิดแอร์หนาวขนาดนี้ จะเป็นเพราะไปอยู่ต่างประเทศมาหรือเปล่า เลยทำให้เขาติดอากาศเย็น
คุณตรีเดินหายขึ้นไปข้างบน ผมไม่กล้าถือวิสาสะเดินไปไหนในบ้านของเขา ก็เลยยืนรออย่างเก้อเขินอยู่ที่หน้าประตู
“เท่าไหร่นะ” คุณตรีถาม เขาลงมาพร้อมกระเป๋าสตางค์สีน้ำเงินเข้มในมือ
สีน้ำเงินยังคงเป็นสีโปรดของคุณตรีสินะ
“ข้าวสามกล่อง หนึ่งร้อยแปดสิบบาทครับ” ผมบอกและรับเงินมาจากคุณตรี คลี่แบงก์ร้อยออกดูก็นับจำนวนได้สามใบ ผมคิดว่าคุณตรีน่าจะให้เงินมาเกิน ก็เลยเตรียมจะค*****นพร้อมเงินทอน แต่คุณตรีกลับโบกมือปฏิเสธไม่ยอมรับ
“ไม่ต้องทอน”
“แต่...”
“ไม่มีแต่ ฉันให้ทิป”
“ไม่ได้หรอกครับ”
“ต้องได้สิ รับไว้เถอะนะ”
“เอ่อ ครับ ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้เขา
“นายทำเองเหรอ” เขาถามต่อ
“เปล่าครับ ผมเป็นแค่เด็กส่งของเฉยๆ” ผมตอบ เขาพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ
“ยังทำงานรับจ้างทั่วไปอยู่เหรอ”
“ครับ ผมยังต้องหาเงินนี่นะ” ผมตอบยิ้มๆ
“ก็คงจะต้องอย่างนั้น”
เสียงกริ่งหน้าประตูบ้านดังขึ้น บทสนทนาของเราสองคนเลยจบลงแต่เพียงเท่านี้ ผมอยากจะคุยกับเขาต่อ แต่ว่าผมก็ยังมีงานให้ต้องกลับไปทำ
วันนี้ก็คงจะได้เพียงเท่านี้ การได้เจอคุณตรีอีกครั้ง ต่อให้ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกัน ขอเพียงได้เห็นหน้า สำหรับผมมันก็ดีมากเกินพอ
“ถ้างั้น ผมขอตัวกลับไปทำงานต่อนะครับ” ผมเอ่ยลาเขา
“อืม ออกไปพร้อมกันสิ”
“ครับ”
ผมเดินออกมาหน้าบ้านพร้อมกับคุณตรี ได้เดินเคียงกันแบบนี้ ทำให้เห็นชัดเลยว่าเขาโตขึ้นกว่าเดิมมาก จากเด็กหนุ่มกลายเป็นผู้ชายเต็มตัวเต็มวัย ต่างจากผมที่ยังคงเหมือนเดิม
เขาเปิดประตูรั้วออก มีผู้หญิงใส่ชุดสูทดูดียืนอยู่ข้างรถยนต์สีดำ เธอส่งยิ้มให้คุณตรีก่อนจะเบนสายตามามองผมด้วยความแปลกใจ ผมเพียงยิ้มบางๆ ให้เธอ พลางขยับเดินเลี่ยงไปที่รถมอเตอร์ไซค์ที่ใช้ส่งอาหาร
“สวัสดีค่ะคุณตรี พอดีท่านประธานให้ดิฉันเอารายชื่อคนที่มาสมัครเป็นแม่บ้านมาให้คุณค่ะ”
แม่บ้านเหรอ?
ผมไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังนะ แต่ผมกำลังถอยรถมอเตอร์ไซค์แล้วบังเอิญได้ยินพอดี
ก่อนจะสตาร์ทเครื่องยนต์ ผมตัดสินใจหันไปมองคุณตรีอีกครั้งและเขาเองก็มองผมอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน
“ขอบใจนะ แต่จริงๆ ส่งอีเมลมาก็ได้” คุณตรีพูด
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันผ่านมาทางนี้พอดี เลยถือโอกาสเอาเข้ามาให้ด้วยตัวเองเลยจะดีกว่า”
“ครับ”
ผมไม่มีเหตุผลให้ยื้ออยู่ตรงนี้อีกต่อไป จึงตัดสินใจออกรถเพื่อไปส่งอาหารตามออเดอร์ที่เหลืออยู่
เรื่องที่คุณตรีเหมือนจะต้องการรับสมัครแม่บ้าน วนเวียนอยู่ในหัวผมหลายต่อหลายครั้ง ผมแอบคิดเล่นๆ ว่า ถ้าผมได้มีโอกาสกลับไปเป็นคนดูแลเรื่องงานบ้านงานสวนให้เขาเหมือนเมื่อก่อนก็คงจะดี
และถ้าผมได้รับโอกาสนั้นอีกครั้ง ผมสัญญาเลยว่าครั้งนี้ผมจะดูแลเขาให้ดีกว่าครั้งก่อน
และบางทีผมคงจะเพ้อเจ้อเกินไป ถึงได้คิดอะไรบ้าๆ แบบนั้น