ตอนที่6 ผมอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้

4507 Words
ความรู้สึกของวันแรกที่จะได้เริ่มงานเป็น ‘พ่อบ้าน’ ให้คุณตรีอีกครั้ง น่าตื่นเต้นไม่ต่างจากครั้งแรก ผมยังคงประหม่าและหัวใจเต้นแรงเมื่อยืนอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ และคนตรงหน้าก็คือเจ้านายคนใหม่เพียงคนเดียวของผมนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอบคุณอะไรก็ตาม ที่ทำให้ชีวิตของผมยังมีคนคนนี้ คนที่เป็นทั้งเพื่อน พี่ ผู้มีพระคุณและบุคคลในครอบครัว ไม่สำคัญเลยว่าเขาจะคิดกับผมเช่นไร และความคิดของผมอาจจะไม่ถูกไม่ควรนัก ทว่าในโลกที่กว้างใหญ่ใบนี้ ผมขอแค่ใครสักคนให้ได้รู้สึกว่าเป็นครอบครัวของผม เพราะต่อให้ผมจะสั่งสอนตัวเองให้เป็นคนมองโลกในแง่ดีขนาดไหน ท้ายที่สุดแล้ว การอยู่เพียงลำพังก็อ้างว้างไม่น้อย “พร้อมแล้วใช่ไหม” ผมยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะตอบ “พร้อมที่สุดเลยครับ” “ถ้าพร้อมจะทำงานแล้วก็เข้ามา” คุณตรีเบี่ยงตัวให้ผมเดินผ่านประตูรั้วเข้าไปในบ้านของเขา บ้านที่ไม่ใช่บ้านของผม แต่เป็นบ้านที่ทำให้ผมอุ่นใจทุกครั้งที่มา ที่นี่คือต้นไม้ใหญ่ที่ให้ชีวิต ให้ที่พักพิงแก่ผมมาโดยตลอด ผมยังคงยิ้มให้คุณตรีและบอกกับตัวเองในใจว่า ผมจะตั้งใจทำงานให้เต็มที่ จะพยายามให้ดีที่สุด “คุณตรีตื่นแต่เช้าทุกวันเลยเหรอครับ” ผมถามระหว่างที่เดินเข้าไปในตัวบ้าน แต่ก่อนผมจะมาก่อนเขาตื่นนอนเสมอ “ก็เหมือนนายไง ที่ต้องตื่นเช้าทุกวัน” “ก็ผมต้องไปทำงานนี่ครับ” “ฉันก็ต้องทำงานเหมือนกัน” “ผมเห็นคุณตรีทำอยู่ที่บ้าน จะต้องตื่นเช้าขนาดนี้เลยเหรอครับ” ผมไม่รู้จริงๆ นะ คือถ้าผมได้ทำงานที่บ้าน ผมจะขอตื่นสายหน่อย ไม่ใช่ตื่นตั้งแต่ตีห้าหกโมงเช้าแบบเขา “แค่ช่วงนี้เท่านั้นแหละ วันจันทร์นี้ก็ต้องเข้าบริษัทแล้ว” คุณตรีพูดนิ่งๆ “ครับ” ผมไม่ได้ถามอะไรต่อ รับรู้แค่ในสิ่งที่เขาเล่าเท่านั้น อากาศช่วงเช้าๆ แบบนี้เป็นอะไรที่สดชื่นมากๆ โดยเฉพาะที่บ้านของคุณตรี พื้นที่สวนกว้างขวางกับต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงา บ้านของเขาไม่เหมือนบ้านที่อยู่กลางกรุง ดูร่มรื่นเย็นสบายไม่อึดอัด ผมไม่ได้จะอวยบ้านคุณตรีนะ แต่ว่าที่นี่อากาศดีมากจริงๆ ดีจนผมอยากจะนอนต่ออีกสักตื่น “น้องฟ้า มาแล้วเหรอลูก” “อ้าวน้ากุ้ง สวัสดีครับ” ผมแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นน้ากุ้งกำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว คิดว่าน้ากุ้งจะกลับไปดูแลสามีแล้วซะอีก “สวัสดีจ้ะ หิวหรือยังลูก มาแต่เช้าเชียว” “คุณตรีให้ผมเริ่มงานเวลานี้น่ะครับ น้ากุ้งสบายดีนะครับ” “ก็สบายดีจ้ะ” “ฉันขอให้น้ากุ้งอยู่สอนงานนายอีกวัน พรุ่งนี้น้ากุ้งก็จะกลับบ้านที่ต่างจังหวัดแล้ว” คุณตรีเฉลยในสิ่งที่ผมสงสัยอยู่ในใจ “ขอบคุณนะครับ” ผมยกมือไหว้น้ากุ้ง คิดว่าวันนี้จะต้องเรียนรู้งานที่ต้องทำต่อจากน้ากุ้งให้ได้มากที่สุด “ผมฝากฟ้ากับน้ากุ้งด้วยนะครับ วันนี้ผมคงอยู่ในห้องทำงานทั้งวัน มีอะไรก็ไปเรียกผมได้” “ได้ค่ะคุณตรี ไม่ต้องเป็นห่วงเลย น้าจะดูแลน้องฟ้าให้ค่ะ รับรองว่าหลังจากที่น้าไม่อยู่ น้องฟ้าจะต้องดูแลคุณตรีได้เหมือนน้าแน่นอน” “ผมก็จะตั้งใจเรียนรู้งานจากน้ากุ้งครับ” ผมให้คำมั่นทั้งกับน้ากุ้งแล้วก็คุณตรี “อืมดี” คุณตรีดูจะพอใจในคำพูดของผม ดูจากสีหน้าของเขาที่ยกยิ้มบางๆ “แต่ยังไงก็ตามแต่ ทั้งคู่นั่งรอน้าทำอาหารเช้าก่อน ห้ามปลีกตัวไปทำอะไรเด็ดขาดโดยเฉพาะคุณตรีนะคะ ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ยังไม่ต้องรีบเข้าห้องทำงานนะคะ” น้ากุ้งคล้ายจะรู้ทันคุณตรี ผมแอบเห็นเขาถอนหายใจแล้วพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเดินไปนั่งดูข่าวเช้าที่โซฟา ในมือของเขามีแท็บเล็ตถือไว้และสิ่งที่เขากำลังสนใจอยู่ คงไม่ใช่สิ่งบันเทิงแน่นอน สังเกตได้จากใบหน้าที่เริ่มจะเคร่งเครียดและหัวคิ้วดกดำที่ค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน ผมเชื่อแล้วว่าคุณตรีเป็นคนที่บ้างานมากจริงๆ ผมตัดสินใจว่าผมจะไปช่วยน้ากุ้งในครัว ผมไม่ใช่แขกของบ้าน จะมานั่งรอกินอย่างสบายใจมันก็ไม่ใช่ “จะไปไหนฟ้า” ผมยังไม่ทันจะเดินไปถึงครัว ก็โดนเรียกถามโดยเจ้าของบ้านเสียก่อน “ไปช่วยน้ากุ้งในครัวครับ” ตอบผม คุณตรีเงียบไปก่อนจะพยักหน้า แล้วกลับไปสนใจงานของตัวเองตามเดิม ในเมื่อคุณตรีไม่ได้ว่าอะไร ผมก็จะเริ่มทำในสิ่งที่ควรทำ นั่นคือเรียนรู้งานจากน้ากุ้งให้ได้มากที่สุด เวลาแค่หนึ่งวันมันไม่มากพอให้เรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา แต่ก็คงพอทำให้เขาพอใจได้ไม่มากก็น้อย “น้ากุ้งครับ มีอะไรให้ฟ้าช่วยไหม” ผมถาม ลอบมองอาหารเช้าที่น้ากุ้งกำลังทำ เหมือนจะเป็นแบบอเมริกันเบรคฟาสต์ แต่ไม่เหมือนแบบที่ผมเคยเห็น ดูน่ากินมากกว่า “ไม่นั่งรอล่ะลูก เดี๋ยวตรงนี้น้าทำเอง” น้ากุ้งหันมาบอก “ได้ยังไงล่ะครับน้ากุ้ง ฟ้ามาทำงานนะครับ วันนี้เริ่มงานวันแรก ฟ้าไม่กล้าอู้งานหรอก เดี๋ยวถูกตัดเงินเดือนขึ้นมาละยุ่งเลย” ผมทำเป็นป้องปากกระซิบ น้ากุ้งถึงกับหัวเราะกับคำพูดติดตลกของผม “งั้นช่วยน้าคั้นน้ำส้มหน่อยนะ ส้มอยู่ในตู้เย็นจ้ะ” “ได้เลยครับ” ผมตอบรับ แล้วไปหยิบส้มในตู้เย็นตามที่น้ากุ้งบอก น้ากุ้งเตรียมอุปกรณ์คั้นน้ำส้มไว้ให้ผม พร้อมกับขวดแก้วที่มีฝาปิดทำจากไม้ไว้ใส่น้ำส้ม ผมก็คั้นจนกระทั่งเต็มขวด เจือรสด้วยเกลือนิดหน่อย ชิมจนได้รสชาติที่สดชื่น ก็นำขวดน้ำส้มไปแช่เย็น “ตั้งแต่คุณเขาเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้หลังจากตกแต่งภายในเสร็จ คุณตรีก็ไม่ให้น้าทำอาหารเช้าเลย สั่งกินเอาจากข้างนอก วันนี้พอคุณเขาบอกให้น้าทำ น้าก็อดแปลกใจไม่ได้” น้ากุ้งทำอาหารเช้าไปและเริ่มชวนผมคุย แถมยังเล่าเรื่องของคุณตรีให้ฟัง “คุณตรีสั่งข้าวกล่องเพื่อสุขภาพจากร้านที่ฟ้าทำงานอยู่น่ะครับ” ผมบอก “คุณเขาคงเห็นน้าเหนื่อยที่ต้องวิ่งวุ่นมาทำงานแล้วก็ไปเฝ้าสามีที่โรงพยาบาล เลยไม่ให้น้ามาทำอาหารเช้าให้” “คุณตรีเขาใจดีนะครับ” “ใช่ลูก คุณเขาใจดีได้คุณปู่กับคุณย่าของเขามา” ใจดีได้คุณปู่กับคุณย่าอย่างนั้นเหรอ? แล้วคุณพ่อกับคุณแม่คุณตรีเขาไม่ใจดีหรือยังไง ผมก็ได้แต่สงสัยในใจเท่านั้น “แล้วปกติคุณตรีชอบทานอะไรเป็นพิเศษเหรอครับ” ผมถามเพราะรู้แค่ว่าคุณตรีไม่ชอบทานอาหารรสจัด ไม่ทานอาหารรสเผ็ด แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องมีอะไรที่ชอบเป็นพิเศษที่ผมไม่รู้ อย่างผมจะชอบกินผัดไทมาก กินได้ทุกวันแทบจะไม่เบื่อเลย “คุณเขาชอบทานอาหารญี่ปุ่นเป็นพิเศษเพราะรสไม่จัด แต่ที่ชอบจริงๆก็คงเป็นพวกซุป บะหมี่น้ำ คุณเขาจะชอบเป็นพิเศษ” “บะหมี่เหรอครับ” “ใช่จ้ะ แต่ก็ต้องเป็นบะหมี่คุณภาพดี อร่อย เครื่องและน้ำซุปต้องกลมกล่อม คุณเขาถึงจะถูกใจ” บะหมี่ไม่ใช่เมนูยาก แต่จะทำให้อร่อยก็ไม่ใช่เรื่องง่าย สงสัยผมต้องลองหัดทำบะหมี่น้ำดูเป็นอย่างแรกๆ “แล้วมีอะไรอีกไหมครับที่คุณตรีชอบทาน” ผมพกสมุดมาด้วยหนึ่งเล่ม หน้าแรกๆ จะติดรายการงานเก่าที่คุณตรีเคยเขียนให้ไว้ แต่เมื่อเขาโตขึ้น กิจวัตรประจำวันก็น่าจะเปลี่ยนไป ถ้าใช้ความจำอย่างเดียวผมคงจำได้ไม่หมด ดังนั้นแล้วการจดบันทึกจะเป็นการช่วยผมได้มาก “พวกอาหารก็จะเป็นพวกปลา คุณตรีจะมีปัญหาเรื่องระบบย่อยอาหารอยู่หน่อยๆ เพราะทานข้าวไม่เป็นเวลา ถ้าทานของหนักๆ พวกเนื้อแดง ก็มักจะปวดท้อง แต่คุณเขาก็ยังคงชอบกินอยู่ ตรงนี้ต้องระวังนะน้องฟ้า ถ้าคุณเขาไปทานของหนักท้องมา ต้องเตรียมยาช่วยย่อยช่วยลดกรดเอาไว้” “ได้ครับน้ากุ้ง” ผมจดอาหารที่คุณตรีชอบ และกาดอกจันทร์แดงเอาไว้ตัวโตๆเลยว่า ‘ห้ามคุณตรี ทานเนื้อแดงเกินกว่าที่ผมจะกำหนด!’ แต่ถึงตอนนั้น ห้ามได้ไม่ได้ก็อีกเรื่อง ถ้าคุณตรีเขาอยากทาน ผมจะไปห้ามได้เหรอ “เวลามื้ออาหาร เตรียมเครื่องดื่มจำพวกน้ำผลไม้คั้นสดเอาไว้ก็ดี คุณเขาติดเครื่องดื่มมีรส ไม่ค่อยชอบกินน้ำเปล่าเท่าไหร่ คุณเขาติดมาตั้งแต่เด็กๆ คุณย่าของคุณตรีทำน้ำผลไม้น้ำหวานให้กินทุกมื้ออาหาร ตอนนั้นฟันของคุณตรีผุเป็นรูด้วยนะ แต่ถึงจะปวดฟันจนร้องไห้ ก็ไม่ยอมหยุดดื่มน้ำหวาน” “จริงเหรอครับ” ผมหัวเราะเบาๆ ให้กับเรื่องเล่าของคุณตรีในวัยเด็ก เขาในตอนนั้นจะต้องน่ารักมากแน่ๆ เด็กน้อยฟันหลอที่งอแงร้องอยากกินน้ำหวาน “จริงสิจ้ะ สมัยก่อนจะกินน้ำผลไม้ก็ต้องเติมน้ำเชื่อม แต่เดี๋ยวนี้ดีหน่อยที่หันมาดื่มเป็นน้ำผลไม้ปั่นสด น้ำผลไม้สกัดสด ชา กาแฟ น้ำที่มีรสชาติคุณเขาก็ดื่มได้หมด ไม่จำเป็นต้องเติมน้ำตาล เลือกผลไม้ที่มีรสหวานสักหน่อยก็เป็นอันใช้ได้” ผมจดทุกรายละเอียดไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ผมมีเวลาแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้นที่จะเรียนรู้ว่าคุณตรีชอบอะไรไม่ชอบอะไร การเป็นพ่อบ้านดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้เข้าใกล้คำว่าง่ายเลยสักนิด ต้องรู้ว่าเจ้าของบ้านชอบอะไรไม่ชอบอะไรของทุกๆ เรื่อง ทั้งเรื่องอาหารการกิน เรื่องความสะอาด เรื่องแสงสีเสียง มันยิบย่อยแตกแขนงเป็นสิบยี่สิบจุด และผมอยากทำมันออกมาให้ดีในทุกๆ จุด ความพึงพอใจของคุณตรีคือความปรารถนาที่สูงที่สุดของผมในขณะนี้ “ส่วนขนมคุณตรีเขาก็พอกินได้ แต่ที่ไม่กินเลยคือขนมห่อ จะกินพวกขนมไทย ขนมเบเกอรี่อบใหม่แบบนั้นมากกว่า” ผมคงทำให้เขาทานไม่ได้ แต่ในซอยมีร้านขายขนมไทยกับร้านขนมปังเจ้าอร่อยอยู่ น่าจะถูกปากคุณตรี “ของกินเล่นก็พวกผลไม้สด โดยเฉพาะเบบี้แครอทจะชอบมาก เอาแช่ในน้ำแข็งก่อนเสิร์ฟ คุณเขาชอบกินเวลาอ่านหนังสือ ตรงไหนจดไม่ทันก็ไม่เป็นไร น้าจะให้เบอร์โทรไว้ โทรมาถามน้าได้ตลอด” “ได้เหรอครับน้ากุ้ง ขอบคุณนะครับ” ผมยกมือไหว้น้ากุ้งที่เมตตาพ่อบ้านฝึกหัดอย่างผม “อ่อ อีกอย่างที่คุณตรีชอบมากและจะต้องกินคู่กับกาแฟทุกเช้า อันนี้สำคัญมากๆ ขาดไม่ได้เลยแม้แต่วันเดียว” “อะไรเหรอครับ” “อะโวคาโดจ้ะ คุณตรีชอบทานมาก แต่จะต้องเป็นพันธ์แฮสเท่านั้นนะ นี่เลย ลูกเล็กๆ ผิวขรุขระแบบนี้ ตอนอยู่ที่อังกฤษช่วงสองปีหลังแม่บ้านที่นู่นลาออก แล้วหาคนใหม่ไม่ได้ คุณเขาไม่ถูกใจก็ไม่เอา คุณผู้หญิงก็เลยต้องให้น้าไปดูแลคุณตรีที่นู่น น้าถึงได้รู้ว่าอาหารฝรั่งอะไรบ้างที่คุณตรีเขาชอบทาน อะโวคาโดเนี่ย อย่างต่ำคุณตรีจะทานวันละสองลูก คือเช้ากับหลังมื้อเย็น มื้อเช้าก็จะทานกับกาแฟ หลังมื้อเย็นก็จะทานกับชาร้อน” ผมฟังคำของน้ากุ้งด้วยความตั้งใจ แค่เรื่องของกินของคุณตรีก็ทำเอาผมหัวหมุนเหมือนกัน แค่ฟัง แค่จดและจำอาหารที่คุณตรีชอบทาน หน่วยความจำในสมองของผมก็ดูเหมือนจะเริ่มเต็มเสียแล้ว ถ้าเงินสามารถซื้อหน่วยความจำในสมองได้ ผมไม่ลังเลเลยที่จะเอาเงินเก็บออกมาจ่าย เพราะเชื่อว่ารายละเอียดเกี่ยวกับคุณตรีที่ผมรับรู้มาแล้ว ยังไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ของข้อมูลทั้งหมด ก็ว่าไม่ได้นะครับ คุณตรีเขาเป็นผู้ชายระดับห้าดาว จะมีรายละเอียดในชีวิตเยอะก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา มื้อเช้าของวันนี้ คุณตรีได้ทานในแบบที่เขาชอบ มีกาแฟดำร้อนๆ เสิร์ฟพร้อมกับมันบดปั้นเป็นแผ่นเท่าขนมปังแล้วนำไปย่างกับเนยบนกระทะ วางอะโวคาโดสไลด์ไว้ด้านบน ปิดท้ายด้วยไข่ดาวที่เอาไปทอดในน้ำ ใช่ครับ ฟังไม่ผิดหรอก เรียกว่าอะไรสักอย่างที่ผมฟังไม่ถนัด แต่ว่าน้ากุ้งเอาไปทอดในน้ำจริงๆ วิธีทำดูแล้วไม่ยาก แต่ให้ทำจริงๆ ผมว่ามันคงไม่ง่ายแบบที่ตาเห็น นอกจากอาหารจานหลักของคุณตรีที่ผมว่ามา ก็ยังมีผลไม้สดอีกหนึ่งจานและมะเขือเทศลูกเล็กย่างไฟอีกหนึ่งพวง ส่วนของผมเป็นข้าวต้มหมูสับธรรมดา ทีแรกน้ากุ้งจะจัดให้ผมแบบคุณตรี แต่ผมห้ามเอาไว้ ผมขอกินง่ายๆ ดีกว่า ไม่อยากทำให้คนอื่นต้องลำบากยุ่งยาก ดังนั้นผมกับน้ากุ้งจึงทานข้าวกันสองคนที่โต๊ะหลังบ้าน ปล่อยให้คุณตรีทานคนเดียวเงียบๆ ตอนที่เห็นเขานั่งทานมื้อเช้าคนเดียวในบรรยากาศที่เงียบสงบ ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเขาดูเหงาและโดดเดี่ยว แต่จะให้ผมไปนั่งทานเป็นเพื่อนก็คงจะไม่เหมาะ มันคงจะดี ถ้าวันหนึ่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเขาจะได้รับการเติมเต็มจากคนสำคัญ ให้ช่วงเวลามื้ออาหารของคุณตรีในทุกๆ มื้อเป็นมื้อที่พิเศษและอร่อยกว่าเดิม ทานอาหารเสร็จ ผมก็เข้าไปเก็บจานชามของคุณตรีไปล้าง อ่างล้างจานที่บ้านคุณตรีมีซิงก์ถึงสองช่อง ความใหญ่ของมันทำให้ผมล้างจานได้อย่างสะดวกสบาย “ฟ้า ทำอะไรอยู่” เสียงทุ้มดังขึ้นจากด้านหลัง ผมหันไปหาคุณตรี โดยที่มือทั้งสองข้างยังคงจุ่มอยู่ในซิงก์ล้างจาน “ผมล้างจานอยู่ครับ คุณตรีอยากได้อะไรหรือเปล่า” “ไม่มี ล้างจานเสร็จแล้วก็ขึ้นไปคุยกับฉันที่ห้องทำงานหน่อย” “ได้ครับ ผมล้างจานเสร็จจะรีบไปหานะครับ” “อืม” คุณตรีมองผมทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไป ผมรีบล้างจานแล้ววางไว้ในที่พักจาน เพื่อรอเช็ดให้แห้งก่อนนำเก็บเข้าตู้ เครื่องครัวในบ้านคุณตรีน่าใช้ทั้งนั้น ขนาดผมทำอาหารไม่ค่อยเป็น ยังรู้สึกอยากทำอาหารดีๆ ให้เป็น จะได้หยิบจานชามช้อนส้อมสวยๆ ออกมาใช้ ผมล้างจานเสร็จก็รีบขึ้นไปหาคุณตรีที่ห้องทำงาน น้ากุ้งบอกว่าจะเช็ดจานที่ล้างแล้วให้ ผมก็ยกมือไหว้ขอบคุณน้ากุ้งอีกครั้งที่ช่วยเหลือผม ผมเคาะประตูห้องทำงานของคุณตรี จากนั้นก็เปิดประตูเมื่อได้ยินเสียงอนุญาต คุณตรีเงยหน้าจากกองกระดาษมองผม เขาวางปากกาในมือลงกับโต๊ะ แล้วเปลี่ยนอิริยาบถเป็นนั่งพิงเก้าอี้บุนวม “มานั่งตรงนี้สิ” เขาเรียกให้ผมไปนั่งตรงหน้าเขา “ครับ” ผมเดินเข้าห้อง ปิดประตูอย่างเบามือ “วันนี้เป็นวันเริ่มงานวันแรกของนาย อันนี้เป็นสัญญาจ้างงาน ฉบับหนึ่งจะอยู่กับฉัน อีกฉบับหนึ่งจะอยู่กับนาย ลองเอาไปอ่านดูแล้วค่อยเซ็น” คุณตรีหยิบกระดาษเอสี่สีขาวสองฉบับมาให้ผม “คุณตรีครับ ผมแค่มาทำงานบ้านนะครับ ไม่เห็นต้องมีสัญญาว่าจ้างเลย” ผมหยิบเอกสารจ้างงานมาถือไว้ก็จริง แต่ยังไม่ได้อ่าน และผมไม่คิดว่างานพวกนี้จะต้องทำอะไรแบบนี้ “ถ้าไม่ทำไว้ให้เป็นกิจจะลักษณะ เกิดฉันเอาเปรียบนายขึ้นมาจะว่ายังไง” เขาพูดเหมือนว่างานนี้มันมีอะไรให้เขาเอาเปรียบผมได้ และทำเหมือนที่ผ่านมาผมไม่รู้จักเขา “โถ่ คุณตรีครับ ผมแค่มาทำอาหาร ทำความสะอาดบ้าน และทำสวน ไม่เห็นจะต้องยุ่งยากเลย” ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่เคยเอาเปรียบผมเลยสักครั้ง มีแต่ให้มากกว่าที่ผมทำเสียอีก “มันไม่มีอะไรยุ่งยากเลยฟ้า อ่านซะ ถ้ารับข้อเสนอได้ก็เซ็น แล้วหลังจากนั้น นายจะถือเป็นคนของฉันโดยสมบูรณ์” เขาพูดด้วยความจริงจังจนผมขนลุก ‘คนของเขา’ อย่างนั้นเหรอ ถ้าบอกว่า...ขอเป็นคนของคุณตรีได้ไหม ในฐานะคนรับใช้ก็ได้ โอ๊ย ฮ่าๆๆ จั๊กจี้หัวใจสุดๆ ปึก! “โอ๊ะ!” ผมสะดุ้งตกใจเมื่อถูกกระดาษปึกหนาเคาะหัว “เป็นอะไร เรียกตั้งนานก็เอาแต่เหม่อ” คุณตรีดุอีกแล้ว ผมแค่เหม่อลอยคิดเรื่องตลกแค่นิดเดียวเอง “เปล่าครับ” ผมอมยิ้ม ส่ายหน้าไม่บอก ใครจะไปกล้าบอกในสิ่งที่ผมคิด ยังไม่อยากตกงานตั้งแต่วันแรกหรอกนะครับ “เด็กหัดโกหก” เขาพูดอะไรแบบนี้ก็เป็นด้วยเหรอ “คุณตรี” ผมเรียกเขา ก้มมองสัญญาในมือก่อนจะพูด “ผมต้องอ่านและทำสัญญาจริงๆ เหรอ” ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยทำสัญญาจ้างงานนะ แต่กับคุณตรี ผมมองว่ามันไม่จำเป็น ถ้าเป็นบริษัทใหญ่ๆ ผมก็เข้าใจนะ แม่บ้านในบริษัทก็คือพนักงานคนหนึ่ง แต่ผมเป็นแค่คนรับใช้ประจำบ้าน ไม่รู้จริงๆ ว่าที่อื่นเขาทำกันแบบนี้เป็นปกติหรือเปล่า ใครรู้ คอมเมนต์บอกผมทีนะครับ ฮ่าๆๆ “ถ้านายไม่เซ็น แล้วอยู่ๆนายก็ลาออก ฉันจะทำยังไง หาคนมาช่วยงานในบ้านมันไม่ใช่เรื่องง่ายนะฟ้า อย่างน้อยสัญญาฉบับนี้ก็จะทำให้นายผิดสัญญางานไม่ได้ นายจะออกจากงานก่อนกำหนดไม่ได้ เข้าใจหรือยัง” อ่อ เขากลัวผมลาออกแล้วตัวเองจะลำบากกับการหาพ่อบ้านคนใหม่นี่เอง โอเค เหตุผลนี้ก็พอเข้าใจได้ “งั้นผมอ่านก็ได้” ผมยอมแต่โดยดี “ดี ค่อยๆอ่าน ตรงไหนไม่ชอบใจก็บอกได้” “ครับ” ผมเริ่มต้นอ่านหนังสือสัญญาจ้างงาน ผมอ่านช้าๆ เพราะอยากทำความเข้าใจรายละเอียด แต่ยิ่งอ่านลงไปบรรทัดแล้วบรรทัดเล่า ผมยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ใช่ สัญญาฉบับนี้มันไม่ถูกต้อง ผมว่าคุณตรีต้องเข้าใจอะไรผิดแน่ๆ “คุณตรีครับ” “ว่าไง” “สัญญานี่ ผิดหรือเปล่าครับ” ผมเงยหน้าขึ้นจากเอกสาร มองตาเขาเพื่อขอคำตอบ “ไหน มีอะไรผิดตรงไหน” เขาหยิบเอกสารอีกฉบับมาเปิดดูจนหมดทั้งสองแผ่น ก็ไม่เห็นเขาจะทำหน้าแปลกใจอะไร “ไม่เห็นมีอะไรผิดนี่” เขาบอก “ผมว่ามีนะครับ คุณตรีดูตรงนี้สิครับ เงินเดือนเดือนละสองหมื่นบาท เวลาหลังจากหกโมงเย็น จะได้เงินค่าล่วงเวลาชั่วโมงละสองพันบาท คุณตรีใส่ตัวเลขผิดหรือเปล่าครับ” มันน่าจะเป็นสักสองร้อยนะผมว่า “ไม่ผิด” เขาตอบสั้นๆ เหมือนมั่นใจในสิ่งที่ปรากฏบนกระดาษ “ชั่วโมงละสองพันเลยเหรอครับ” ผมทวนถามเขาอีกครั้ง “ใช่” และเขาก็ยังคงว่าเช่นนั้น “งั้น ตรงนี้ล่ะครับ ระยะจ้างงานทั้งหมดสิบปี คุณตรีจะให้ผมทำงานกับคุณตรีนานขนาดนั้นเลยเหรอครับ” เขากลัวไม่มีคนทำงานบ้านให้มากๆ เลยนะ จ้างผมนานถึงสิบปี ตั้งแต่อ่านมาสัญญาข้อนี้น่ากลัวที่สุดแล้ว “ทำไมล่ะ นานไปเหรอ ไม่อยากทำงานกับฉันนานๆเหรอ” ความเร็วในการถามกลับดูจะมากกว่าปกติ น้ำเสียงของเขาก็ดูร้อนรนนิดๆ ถ้าผมไม่ได้คิดไปเอง “โธ่ คุณตรีครับ เผื่อในอนาคตผมเรียนจบและอยากงานทำที่ตรงกับสายที่ผมเรียนไงครับ” ผมอธิบายในสิ่งที่ผมคิด แต่จะทำแบบที่พูดหรือไม่ก็อีกเรื่อง “ก็ให้ถึงตอนนั้นก่อน ฉันจะพิจารณาอีกที” เขาตีหน้านิ่งพูดเสียงเบา “แต่ในนี้บอกว่า ถ้าผมออกจากงานก่อนกำหนด ผมจะต้องจ่ายค่าเสียหายให้คุณตรีหนึ่งแสนบาท” ผมไม่อยากเสียเงินนี่น่า “ถ้านายจะไปแบบมีเหตุผลที่ดี ฉันก็ไม่เก็บเงินหรอก” แล้วเหตุผลที่ดีมันต้องเป็นแบบไหน “ถ้าคุณตรีทารุณผม แล้วผมไม่อยากทนอยู่ นั่นเป็นเหตุผลที่ดีหรือเปล่าครับ” ผมลองสมมุติให้เขาเห็นภาพ แต่คุณตรีกลับทำหน้าดุใส่ “ฉันเคยทารุณนายหรือไงถามจริง” เขาถามอย่างจริงจัง “ใจเย็นสิครับคุณตรี ผมแค่สมมุติเฉยๆ” “ถ้าฉันทำอะไรแล้วนายไม่พอใจ ก็บอกได้นะ” ผมว่าเขาคิดไปไกลแล้วนะ “ไม่มีหรอกครับ ผมพูดเล่นเฉยๆ” ผมว่าผมรีบไปข้ออื่นดีกว่า สิบปีก็สิบปี มีงานทำระยะยาวขนาดนี้ มันจะไม่ดีได้ยังไง แถมเงินยังดีอีกต่างหาก “คุณตรีครับ ข้อนี้ ผมว่าไม่ต้องใส่มาก็ได้นะครับ” ผมชี้ให้เขาดูอีกจุด ที่ผมว่าเขาให้ผมมากเกินไป “ตรงไหน” เขาทำหน้าเหมือนจะเริ่มรำคาญในความเรื่องมากของผม “เรื่องค่าเล่าเรียน ผมเรียนมหาวิทยาลัยเปิด ค่าเทอมมันก็ไม่ได้แพงอะไร หรือต่อให้แพง มันก็เป็นหน้าที่ของผมเอง คุณตรีไม่ต้องออกให้หรอกครับ” เพราะในหนังสือสัญญาจ้างงาน คุณตรีระบุไว้ว่า ในขณะที่ผมกำลังศึกษาไม่ว่าระดับใด นายจ้างจะเป็นผู้จ่ายค่าเล่าเรียนทั้งหมดให้ ข้อนี้ผมมั่นใจว่าไม่มีที่ไหนทำแน่ๆ เขาต้องคิดของเขาเอาเอง “แล้วถ้าฉันยืนยันจะออกค่าการศึกษาให้ นายจะทำยังไง” คำถามของคุณตรี ยากเกินกว่าที่ผมจะตอบได้ ผมจะทำอะไรได้ ตอนนี้ก็ลาออกจากงานทั้งสองที่มาแล้ว ถ้ายังจะปฏิเสธงานนี้ เพียงเพราะนายจ้างขู่เข็ญจะจ่ายค่าเทอมให้ มันจะไม่ดูเป็นการตัดอนาคตตัวเองเกินไปหรอกเหรอ แต่จะให้ผมยิ้มรับค่าเทอมจากเขาอย่างหน้าชื่นตาบาน ผมก็ทำไม่ลง ผมเงียบและใช้ความคิดในการปฏิเสธเงินค่าเล่าเรียน ถ้าต้องเลือกระหว่างยอมรับเพื่อให้ได้ทำงานกับเขา กับปฏิเสธงานนี้เพื่อที่คุณตรีจะได้ไม่ต้องมารับผิดชอบค่าใช้จ่ายของผมมากนัก ไม่ว่าทางไหน ก็ยากสำหรับผม “ไว้คิดได้เมื่อไหร่ ค่อยบอกฉันแล้วกัน ถ้าเป็นความคิดที่ดี ฉันจะแก้ไขข้อนี้ให้” และดูเหมือนว่าผมจะใช้เวลาคิดนานเกินไป เขาจึงไม่รอ “คือ...” “มีตรงไหนอีกไหมที่อยากจะท้วง” ผมเม้มปาก แล้วปล่อยให้ข้อถกเถียงเรื่องค่าเล่าเรียนจบไว้แต่เพียงเท่านั้น ไม่เป็นไรหรอก เทอมนี้ผมจ่ายค่าเรียนไปแล้ว ครั้งต่อไปก็อีกตั้งหลายเดือน ถึงตอนนั้นผมค่อยปฏิเสธเขาอีกที คิดได้ดังนั้น ผมจึงสลัดความคิดเรื่องค่าเทอมออก แล้วมุ่งหน้าไปที่ข้อต่อไป ที่ผมรู้สึกไม่สะดวกเท่าไหร่ “คุณตรี คือผมต้องมาอยู่ที่นี่เหรอครับ ผมขอพักที่หอพักอย่างเดิมได้ไหมครับ แล้วผมจะมาทำงานให้ตรงเวลา” เพราะในเอกสารระบุไว้ว่า ผมจะต้องย้ายมาอยู่ที่บ้านของเขา ในขณะที่ผมยังทำงานที่นี่ตามสัญญา “แล้วทำไมถึงไม่อยากมาอยู่ที่นี่” คุณตรีก็ยังเป็นคุณตรีที่ไม่ว่ายังไง เขาก็ต้องรู้เหตุผลก่อนจะให้คำตอบ “มันก็หลายๆ อย่างอ่ะครับ เรื่องข้าวของ เรื่องความเป็นส่วนตัว ก็หลายๆอย่าง ผมเลยอยากอยู่ที่หอมากกว่า” ผมไม่รู้ว่าเขาจะให้ไหม จากตัวอย่างข้อบนๆ ก่อนหน้านี้ เขาไม่ยอมให้ผมสักข้อ “ตามใจแล้วกัน แต่ห้ามมาทำงานสายเด็ดขาด” แต่รอบนี้ผมกลับคิดผิด เขายอมให้ผมทำตามที่ตัวเองต้องการอย่างง่ายดาย จนผมคิดว่าผมอาจจะฟังผิดไป “จริงเหรอครับ” “อืม” เขาพยักหน้า “ขอบคุณครับคุณตรี” ผมยกมือไหว้เขา “มีอะไรอีกไหม” “ไม่มีแล้วครับ” ผมฉีกยิ้มให้เขา ทั้งที่จริงๆ แล้วยังมีอีกเยอะแยะ แต่ประสบการณ์เมื่อสิบนาทีก่อนหน้า สอนให้ผมรู้ว่า ปล่อยเลยตามเลยไปจะดีกว่า เพราะผมไม่มีทางทำให้คุณตรีเขียนสัญญาจ้างงานฉบับใหม่ขึ้นมาได้ เท่าที่ดูแล้วผมไม่ได้เสียเปรียบอะไร ไม่เข้าข่ายสัญญาทาสด้วยซ้ำ ปล่อยผ่านไปก็คงไม่เป็นอะไร “ถ้าไม่มีก็เซ็นชื่อซะ ทั้งสองฉบับ จากนั้นนายก็จะได้เริ่มงานกับฉันอย่างเต็มตัว” “ครับ” นี่คงเป็นสัญญาจ้างงานฉบับเดียวในโลก ที่ลูกจ้างดูจะได้กำไรมากกว่าเจ้านาย ยกเว้นระยะเวลาของสัญญาสิบปี ที่ถ้าออกก่อนผมจะต้องจ่ายหนึ่งแสนบาท ถึงตอนนั้น ผมว่า...ผมอาจจะมีเงินจ่ายเขาก็ได้นะ ใครจะไปรู้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD