แพรพรรณรีบออกมาที่หน้าบ้านทันที เมื่อเห็นรถยนต์คันที่ลูกสาวขับออกไปกำลังเข้ามาจอด จันจิราดูร่าเริงสดใสไม่เห็นเหมือนตอนไปที่บ่นโน่นนี่อิดออดไม่อยากไปที่ไร่ใจเดียว
“กลับเร็วไปนะ” แพรพรรณพูดขึ้น
“แผนแม่ไม่สำเร็จ” จันจิราบอก
“แค่ให้ไปแยกยายผู้ช่วยให้อยู่ห่างๆ น้าเดียวแค่นี้จัดการไม่ได้”
“น้าเดียวไม่ยอมแยก ไม่ไล่จันออกมาจากไร่ก็บุญแล้ว” จันจิราพูดต่อปากต่อคำกับมารดา
“ใช้อะไรไม่ได้เรื่องเลย อย่าได้คิดมาขอเงินฉันเชียวนะ” แพรพรรณพูดต่อว่าลูกสาว
“ถ้าแม่ไม่ให้เงิน จันจะไปสมัครเป็นผู้ช่วยพี่ไตร น้าเดียวรับจันเข้าทำงานแน่นอน ถึงตอนนั้นล่ะก็แม่จะเหลือตัวคนเดียวแล้วนะ ถ้าไม่มีลูกสาวอย่างจันอยู่ด้วยน่ะ” จันจิรายักไหล่
“แทนที่จะเข้าข้างฉัน กลับไปเข้าข้างคนไร่โน้น”
“พ่อเสียไปนานแล้วนะคะ แม่ ถ้าน้าเดียวยังรู้สึกลึกซึ้งกับแม่ล่ะก็ น้าเดียวคงมาขอแม่ไปอยู่ด้วยแล้ว แม่ไม่รู้หรือแค่อยากเอาชนะกันแน่”
“เอ๊า ไอ้ลูกคนนี้ ฉันแม่แกนะ ยายจัน”
“ถ้าจันเป็นน้าเดียว จันก็จะไม่ย้อนอดีตไปหรอก กินเด็กสดชื่นกว่าตั้งเยอะ ไอ้ความรักครั้งเก่าสู้อะไรกับเด็กสาวสวยได้ล่ะคะ แม่
นาย”
“ยายจัน เดี๋ยวเถอะนะ” แพรพรรณทำท่าเงื้อมือจะตีลูกสาว
“อย่านะ อย่าคิดว่าจันไม่มีที่ไป น้าเดียวยินดีต้อนรับจันไปที่ไร่นั้นเสมอ แม่รับทราบเอาไว้ด้วยนะคะ” จันจิรายิ้มๆ เมื่อเห็นท่า
ทางโกรธเกรี้ยวของมารดา แต่ความตั้งใจจริงอยากให้มารดาตัดใจจากใจเดียวมากกว่า
“ฉันมีทุกอย่างแล้ว ฉันอยากได้คนที่ฉันรักคืนมาเท่านั้น มันผิดอะไรนักหนาหรือ” แพรพรรณคิด
เสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น ปรายฝนรีบออกมาดูทันที เพราะมีการแจ้งข่าวมาที่เครื่องรับสัญญาณถึงได้รู้ว่าเกิดไฟไหม้ขึ้นบริเวณท้ายไร่
“ปรายรออยู่ที่นี่ข้างนอกนั่นวุ่นวาย ไม่รู้ใครเป็นใคร” แม่นายใจเดียวบอกปรายฝน
“แต่ปรายอยากไปด้วย” ปรายฝนบอก
“อย่าดื้อ ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ พวกผู้หญิงจะอยู่ที่บ้านพักไม่ออกมาวุ่นวาย ปรายควรทำเหมือนคนอื่น” แม่นายใจเดียวพูดเสียง
เข้มท่าทางขึงขังรีบออกไปพร้อมกระชับปืนที่ถืออยู่
“ระวังตัวด้วยนะคะ ปรายขอไปรอที่ห้องแม่นายได้ไหมคะ”
“ฉันจะระวัง ล็อกประตูด้วยล่ะ เดี๋ยวถ้าจัดการเรียบร้อยฉันจะมาเคาะประตูเรียก ไปเข้าห้องไปได้แล้ว” แม่นายใจเดียวมองดูปรายฝนจนเข้าไปในห้องพักของตัวเองแล้วจึงรีบไปดูเหตุการณ์ ซึ่งได้ยินเสียงโหวกเหวกจากชายหนุ่มที่กำลังไปช่วยกันดับไฟ
ไฟไม่ได้ลุกลามไปมากนัก แต่เพลิงลุกไหม้ใกล้บ้านพักคนงานชาย โชคดีที่มีคนเห็นเข้าจึงรีบแจ้งให้ไตรทราบทำให้ดับได้รวด
เร็ว เพราะไม่อย่าง นั้นมีหวังบ้านพักคนงานคงวอดวายไปทั้งหลัง
“มีถังน้ำมันโยนทิ้งอยู่ไม่ไกลนักครับ น่าจะตกใจเพราะคนงานตื่นขึ้นมาเห็นไฟที่เพิ่งเริ่มลุกไหม้เลยเอะอะโวยวาย” ไตรรายงาน
“วางเพลิง ไม่น่าเป็นไปได้ เราไม่มีศัตรูที่ไหนเลยนะ” แม่นายใจเดียวทำท่าคิด
“นั่นสิครับ” แม่นายใจเดียวกับไตรมองดูรถยนต์ที่แล่นเข้ามาในไร่สองสามคัน เมื่อคันแรกเข้ามาใกล้ถึงได้รู้ว่าเป็นแพรพรรณ
“เกิดอะไรขึ้น แพรพาคนมาช่วยเพราะเห็นควันขึ้นโขมง” ใจเดียวหันไปมองสบตากับไตรซึ่งแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“สงสัยไฟรัดวงจร ไตรจัดการเรียบร้อยแล้วล่ะ ขอบคุณมากนะ แพร” ใจเดียวบอก
“แพรอยู่ด้วยก็ได้ แพรเป็นห่วง” แพรพรรณบอก
“ขอบคุณนะทุกคน ไม่มีอะไรแล้วล่ะ กลับไปพักผ่อนกันเถอะ เดี๋ยวคนงานทางนี้จัดการกันเอง” ใจเดียวบอกกับคนงานของแพร
พรรณ
“แพรอยู่เป็นเพื่อนเดียวเอง”
“กลับไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวจะอยู่จัดการทางนี้กับไตรก่อน”
“แต่แพรอยากอยู่ช่วย”
“ไม่มีอะไรต้องช่วยเลย กลับไปพักผ่อนเถอะ ป่านนี้ยายจันตกใจแย่แล้วล่ะมั้ง” ใจเดียวอ้างถึงจันจิรา
“คุณผู้ช่วยไม่ตื่นมาช่วยหรอกหรือ” แพรพรรณมองดูไปรอบๆ
“พวกผู้หญิงถูกสั่งให้อยู่แต่ในที่พัก กลับไปได้แล้ว” เสียงเข้มๆ ของเจ้าของไร่ทำเอาแพรพรรณโกรธ จึงปึงปังเดินไปขึ้นรถ
“คนของแกทำงานไม่ได้เรื่องเลย” แพรพรรณพูดต่อว่าคนงาน
“คงมีคนมาเห็นก่อนครับ เดี๋ยวผมจะลองไปสอบถามดูว่าทำไมไม่ได้ตามที่สั่ง” คนงานของแพรพรรณบอก
“ไม่ได้เรื่องเลยสักคน” แพรพรรณบ่นพึมพำขณะขับรถกลับไป
“แม่นายไร่โน้นรู้เรื่องเร็วดีจังนะครับ ไฟไม่ได้ไหม้มากถึงขนาดไร่โน้นจะเห็นชัดนัก” ไตรบอกกับแม่นายใจเดียวที่มองตามรถ
ยนต์ที่ขับออกไป
“เหตุผลของการวางเพลิงล่ะ ถ้าเป็นอย่างที่ไตรคิด”
“คงอยากได้ใจเจ้าของไร่มั้งครับ” ไตรหัวเราะเล็กๆ
“ช่างลงทุนลงแรงเหลือเกิน แต่เราคงต้องระวังให้มากขึ้น ถ้าไม่ใช่อย่างที่เราคิดกัน” แม่นายใจเดียวบอก ไตรจึงรีบแจ้งให้คนที่
มีเครื่องรับส่งสัญญาณภายในทราบว่าเหตุการณ์เรียบร้อยดีแล้ว เพื่อที่ทุกคนจะได้พักผ่อนกันได้อย่างสบายใจ
ปรายฝนรีบมาเปิดประตูทันที เมื่อได้ยินเสียงเคาะที่หน้าห้องและเสียงเรียกของแม่นายใจเดียว
“เป็นอย่างไรบ้างคะ” ปรายฝนถาม
“ไตรคิดว่าถูกวางเพลิง” แม่นายใจเดียวบอก
“วางเพลิงเป็นไปได้อย่างไรกัน” ปรายฝนพูดขึ้น
“นั่นสิ ฉันเองก็แปลกใจเหมือนกัน แต่ระมัดระวังให้มากขึ้นคงไม่มีใครกล้าเข้ามาก่อเหตุอีก” แม่นายใจเดียวแอบถอนใจ เมื่อนึกถึงแพรพรรณซึ่งเป็นที่คนที่ไตรสงสัย
“ปรายไปนอนดีกว่า แม่นายจะได้พักผ่อน” ปรายฝนบอกและทำท่าจะเดินออกจากห้องไป
“แม่นายไร่โน้นพาพวกมาช่วย แต่กลับไปแล้ว”
“แสดงว่าไฟลามไปเยอะสิคะ ไร่โน้นถึงได้เห็น” ปรายฝนสงสัย
“ไม่เยอะนะ แต่คนไร่โน้นมาเร็วจนไตรสงสัย” แม่นายใจเดียวบอก
“อย่าบอกนะว่า สงสัยแม่นายแพรพรรณ”
“หวังว่าจะไม่ใช่”
“ปรายไปนอนก่อนนะ” ปรายฝนยิ้มๆ ให้รั้งรออยากกอดปลอบแต่ไม่กล้า
“นอนที่ห้องนี้จะเป็นไรไหม ฉันเป็นห่วง” แม่ใจเดียวพูดขึ้น ปรายฝนจึงหันกลับมาสวมกอดเอาไว้
“ปรายเป็นห่วงแม่นายเหมือนกัน” แม่นายใจเดียวยิ้มน้อยๆ กระชับอ้อมกอดที่กอดปรายฝนเอาไว้เล็กน้อย
“งั้นก็นอนด้วยกัน”
“ฟังดูไม่น่าไว้ใจ” ปรายฝนพูดยิ้มๆ
“ถ้าเธอไม่ยอม ฉันจะไปทำอะไรได้” แม่นายใจเดียวยิ้มๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนมองดูปรายฝนที่ยังคงยืนอยู่
“ใครจะยอมง่ายๆ ล่ะ” ปรายฝนบอก แต่ยอมมาล้มตัวลงนอนข้างๆ แม่นายใจเดียวขยับเข้าใกล้ปรายฝนจึงกอดเอาไว้
“ไม่ต้องยอม เอาไว้เต็มใจค่อยว่ากันอีกที” แม่นายใจเดียวหัวเราะ ปรายฝนหมั่นไส้จึงหยิกเบาๆ ไปที่แขน
“แรกๆ ทำเป็นนิ่งนะคะ ร้ายกาจ นอนได้แล้ว” ปรายฝนพูดดุแล้วแอบยิ้ม
“ฝันดีนะคะ คุณผู้ช่วยขี้บ่น” เสียงพึมพำของแม่นายใจเดียวทำให้ปรายฝนยิ้มกว้างมากขึ้น เพราะท่าทางคงจะง่วงมากแล้ว แค่
เพียงครู่เดียวแม่นายใจเดียวก็หลับไป ปรายฝนกระชับอ้อมกอดเล็กน้อยอยากให้คนที่หลับรู้สึกปลอดภัยกับการได้อยู่ในอ้อมกอดของ
เธอ
แพรพรรณหัวเสียที่ใจเดียวไม่ได้สนใจไยดีเอาเสียเลยทั้งๆ ที่เสนอตัวเข้าไปช่วย
“ดื่มอะไรไหมคะ แม่นาย” เสียงของแม่บ้านสาวถาม
“ทำไมยังไม่หลับไม่นอน” แพรพรรณถาม
“ได้ยินเสียงแม่นายออกไปค่ะ เลยตื่นขึ้นมาดู ได้ยินคนงานบอกว่าที่ไร่โน้นไฟไหม้” แม่บ้านบอกกับแพรพรรณ
“ขอเหล้าสักแก้วก็ได้ หลังจากนั้นเธอก็ไปพักผ่อนเถอะ” แม่บ้านไปนำเหล้ามาให้ตามที่ได้รับคำสั่ง
“นั่งลงก่อนได้ไหม” แพรพรรณพูดขึ้น
“ค่ะ”
“เธอมาทำงานแทนแม่บ้านคนก่อน”
“ป้าดิฉันเองค่ะ แกไม่ค่อยสบาย ดิฉันเลยมาทำงานแทน”
“น่าจะมาทำแทนป้าเสียเลย” แม่นายแพรพรรณยิ้มน้อยๆ จ้องมองแววตาสวยใสของหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“ป้าคงไม่ยอมหรอกค่ะ”
“เพิ่งสังเกตว่าเธอสวยมากนะ” แม่นายแพรพรรณบอก
“เพราะเหล้ามากกว่าค่ะ แม่นาย”
“ฉันจิบไปนิดเดียวเอง”
“ถ้าไม่มีอะไร ดิฉันขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะคะ” แม่บ้านสาวบอก
“เดียวสิ” แววตาสวยสดใสนั้นคล้ายกับแววตาของใจเดียว ในตอนที่คบหากันฉันท์คนรัก ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนไปคล้ายกับคนไม่รู้จักกัน ไม่อบอุ่นไม่อ่อนโยนเหมือนเคย
“คะ” แพรพรรณดึงตัวหญิงสาวเซถลามานั่งลงที่ตักและกอดกระชับเอาไว้ แต่สาวเจ้าพยายามจะลุกขึ้น
“สายตาเธอดูแปลกๆ นะ ฉันว่า” แพรพรรณจูบเบาๆ ไปที่ไหล่
“แม่นายชอบแม่นายไร่โน้นไม่ใช่หรือคะ ดิฉันได้ยินคนงานพูดกัน”
“ใช่ แล้วยังไง” แพรพรรณถาม
“จะยังไงได้ล่ะคะ” หญิงสาวคนนั้นบอก
“ตามใจฉันสิ เผื่อจะได้งานที่สบายขึ้น เรื่องแม่บ้านเดียวฉันจะเอาคนอื่นมาทำแทน” แพรพรรณพูดก่อนจะดื่มเหล้าจนหมดแก้ว แต่ยังไม่ยอม ปล่อยแม่บ้านสาวให้ลุกขึ้น
“ต้องเอาตัวเข้าแลก แม่นายหมายถึงอย่างนั้นหรือเปล่าคะ”
“ได้ไหมล่ะ ผู้หญิงด้วยกันไม่มีอะไรเสียหาย ไม่ใช่หรือ”
“แน่ใจนะคะ เรื่องงาน” หญิงสาวคนนั้นถามย้ำ
“ถ้าฉันพึงใจ เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับเธอแล้วล่ะ” จุมพิตอ่อนหวานที่เบียดชิดทำเอาแพรพรรณรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที ความ
สัมพันธ์ที่แนบชิดกับผู้หญิงกลับมาทำให้หัวใจที่แห้งผากชุ่มชื่นขึ้น หญิงสาวที่ทำนิ่งเฉยกลับร้อน แรงและทำให้หัวใจเต้นระส่ำ
“ลุกขึ้น ตามฉันไปที่ห้อง” แม่นายแพรพรรณลุกขึ้นจับมือหญิงสาวที่ยอมเดินตามไปแต่โดยดี
แพรพรรณห่างเหินการได้ใกล้ชิดกับหญิงสาวมาเนิ่นนาน ผู้หญิงคนเดียวที่เคยคลอเคลียอย่างหลงใหลก็คือ ใจเดียว แต่ความ
อยากได้อยากมีได้เข้ามาบดบังหัวใจทำให้เลือกสิ่งที่อยู่ภายนอกมากกว่าสิ่งที่ทำให้รู้สึกสุขใจ ความเย็นชาที่ได้รับจากใจเดียวทำให้
หัวใจว้าเหว่ หากตอนที่ใจเดียวอยู่เพียงลำพังยังไม่ทำให้รู้สึกว้าเหว่เท่ากับการมีใครอีกคนเข้ามา จนทำให้แพรพรรณเลือกที่จะผิด
สัญญาที่ให้ไว้กับใจเดียว โดยเคยสัญญาว่าจะไม่เข้าไปวุ่นวายในไร่ใจเดียวอีกเลยตั้งแต่เป็นฝ่ายไปขอเลิกราในฐานะคนรัก เพื่อจะได้
มาแต่งงานกับบิดาของจันจิราที่แรกๆ ก็ดูจะรักใคร่ในตัวเธอค่อนข้างมาก แต่เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปความเจ้าชู้ได้ทำให้แพรพรรณ
เจ็บช้ำน้ำใจ
“เธอสวยมากนะ ชื่ออะไร” แพรพรรณถาม
“ทิวารีค่ะ เรียกว่า ทิ ก็ได้ค่ะ แม่นาย” ทิวารีไม่ได้บ่ายเบี่ยงเมื่อถูกปลดเปลื้องอาภรณ์ออก โดยแพรพรรณจดจ้องไปตามเรือน
ร่างเปลือยเปล่าขณะลูบไล้อย่างแผ่วเบาคล้ายดังว่าต้องการสำรวจดู ร่างกายเริ่มสั่นสะท้านเมื่อถูกลูบไล้ไปที่เนินอกและกำลังถูกริม
ฝีปากทาบทับและเบียดชิด จนถึงกับต้องเอามือกดเบาๆ ไปที่ไหล่ของแพรพรรณ ซึ่งไม่ได้ถอยหนีกลับดูดดื่มจุดสัมผัสอันอ่อนไหวเล็กๆ บนเนินอกของทิวารีที่ขยับเข้าหาจนทำให้รู้สึกเหมือนกำลังท้าทาย นั่นยิ่งทำให้แพรพรรณหลงใหลและรุกเร้าด้วยการขบริม
ฝีปากเพื่อทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเสียวซ่าน ทิวารีดึงตัวแพรพรรณมาพรมจูบอย่างดูดดื่มจนตัวเองรู้สึกว่า กำลังเคลิ้มไหวกับการได้ใกล้ชิด
กับผู้หญิงที่ดูหยิ่งและไม่ค่อยได้สนใจใยดีอะไรในตัวเธอนัก จนกระทั่งคืนนี้ที่ได้อยู่แนบชิดแบบไร้ซึ่งอาภรณ์ ปลายลิ้นกำลังยอกย้อนหยอกล้ออยู่ที่ส่วนเนินนูน ถึงแม้จะหย่อนคล้อยไปบ้าง แต่ความงดงามยังคงทำให้รู้สึกหวั่นไหวยามได้แนบชิด ความสวยงามที่หลบซ่อนเอาไว้ทำให้ทิวารีหลงใหลมากยิ่งขึ้น จึงถาโถมความร้อน แรงเป็นทวีคูณ จนแพรพรรณส่งเสียงครวญครางและเริ่มกลับมารุกเร้า โดยจุมพิตไปตามเรือนร่างของหญิงสาวที่ถึงแม้สีผิวจะไม่ได้ผุดผ่องหรือขาวนวล แต่ก็เรียบเนียนและกลิ่นหอมๆ จากเรือนกายที่มีกลิ่นสะอาดสะอ้านของสบู่ทำให้แพรพรรณลืมสิ้นทุกสิ่ง แม้แต่ภาพของใจเดียวที่ยังคงอยู่ในหัวใจเสมอมาดูท่ากำลังเลือนหายไป
“ถ้ากลืนกินเธอได้ ฉันก็อยากทำ” แพรพรรณกระซิบบอก ก่อนจะพรมจูบไปที่หูและไล่เรื่อยมาที่บริเวณลำคอ ทิวารีฉลาดพอที่
จะโอนอ่อนผ่อนตามทำตัวเป็นอ่อนแอ เพื่อเอาใจแพรพรรณที่ยิ้มๆ กับความน่ารักของหญิงสาวที่เบียดตัวเข้าหาไม่ว่าจะรุกเร้าหนักขนาดไหน ก็ไม่ยอมถอยห่างออกไป จนเรือนร่างถูกสำรวจเข้าไปภายในทำให้ร่างกายกระตุกเล็กน้อยและสั่นไหว รอยยิ้มนั้นทำให้แพรพรรณจับมือของทิวารีและขยับสะโพกของตัวเองเพื่อให้สาวเจ้าสอดแทรกความรู้สึกดีๆ เข้ามาภายในเรือนกายเช่นกัน
สองสาวขยับเรือนร่างอย่างเชื่องช้าและค่อยๆ เพิ่มความร้อนแรงแต่ไม่ได้เร่งเร้าเพราะความเย้ายวนของจุมพิตและความรู้สึก
ดีๆ ที่มอบให้กันทำให้รู้สึกอยากคลอเคลียให้เนิ่นนาน จุมพิตเร่าร้อนกลับกลายมาออดอ้อนอ่อนหวาน ซึ่งทิวารีฉลาดในการเรียนรู้และ
ลอกเลียนโดยหวังว่าตัวเองจะทำให้แม่นายแพรพรรณมีความสุขที่สุด ทิวารีรู้สึกร่างกายร้อนรุ่มจนแทบขยับตัวไม่ไหว แต่เมื่อจุมพิต
อ่อนหวานทาบทับไปที่ไหล่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายขณะเข้ากอดรัดแม่นายแพรพรรณเอาไว้แน่น เมื่ออ้อมกอดของกันและกันค่อยๆ
คลายออก แพรพรรณซึ่งอ่อนแรงจึงล้มตัวลงนอนร่างกายรู้สึกเบาหวิว เมื่อมองดูหญิงสาวที่ชื่อทิวารี ซึ่งกำลังทาบทับเรือนร่างเปลือย
เปล่ามาบนตัวเธอและเบียดใบหน้าให้แนบชิดกับเนินอก แพรพรรณจุมพิตเบาๆ ไปที่หน้าผากของทิวารีที่ขยับตัวเบียดให้แนบชิดมาก
ขึ้น
“เธอทำให้ฉันลืมทุกอย่างไปเลย” แม่นายแพรพรรณพูดพึมพำ
“ตอนมีเสื้อผ้าอาภรณ์ ทิว่าแม่นายก็สวยมากแล้วนะ ตอนไม่มีสวยมากที่สุด” ทิวารีเอ่ยชมและจุมพิตออดอ้อนตะกองกันและกัน
จนหลับไป