ปรายฝนแปลกใจ เมื่อกลอยแจ้งว่ามีโทรศัพท์มาจากพี่ชายทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นลูกคนเดียวและไม่มีใครรู้เลยว่ามาทำงานอยู่ที่นี่ นอกจากบิดาของเท่านั้น
“สวัสดีค่ะ ปรายฝนค่ะ” ปรายฝนพูดทักทายขึ้นก่อน
“พี่ฤทธิ์เองค่ะ ปรายใจร้ายจังนะคะ” เสียงที่ได้ยินทำเอาปรายฝนมีรอยยิ้มเจื่อนๆ หันมองดูไปรอบๆ มีเพียงกลอยที่ทำงานอยู่
ใกล้ๆ
“ไปเอาเบอร์มาจากไหนคะ” ปรายฝนพูดน้ำเสียงแปร่งๆ
“คุณพ่อให้มาค่ะ หนีไปอยู่เสียไกลคิดว่าพี่จะตามปรายไม่เจอหรืออย่างไรกัน” ดวงฤทธิ์ถาม
“ปรายไม่ได้เป็นอะไรด้วย พี่ฤทธิ์จะมาตามทำไมกัน แค่นี้ก่อนนะคะ ปรายต้องไปทำงานแล้วล่ะ” พูดจบปรายฝนรีบวางสาย
ทันที
“ไว้ถ่ายละครเสร็จ จะตามไปง้อนะจ๊ะ คนสวย” ดวงฤทธิ์ยิ้มๆ ถึงแม้ปลายทางจะวางสายไปแล้วก็ตาม กลอยมองเห็นปรายฝนทำหน้ามุ่ยเลยยิ้มให้แต่แปลกใจทำไมเวลาทางบ้านโทรศัพท์มาทีไร ปรายฝนดูไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไรนักหลังจากพูดคุยกับคนใน
ครอบครัว
“หนีออกจากบ้านมาหรือไง ปราย” กลอยถาม
“ประมาณนั้นแหละ” ปรายฝนบอกแล้วยิ้มจางๆ ให้
“คงแค่อยากรู้ทุกข์สุข อย่าคิดมากเลยเนอะ ยิ้มสวยๆ แม่นายจะได้มีกำลังใจทำงาน” กลอยอมยิ้ม เมื่อได้พูดพาดพิงไปถึงแม่
นายใจเดียว
“กลอยพูดจาแปลกๆ นะ ปลาก็อีกคนหนึ่ง พี่ไตรด้วยเจอทีไรยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่มีสาเหตุตลอดเลย” ปรายฝนบ่นพึมพำทำเอา
กลอยถึงกับหัวเราะออกมา
“แหมจูบแม่นายกลางไร่ไปขนาดนั้นแล้ว ไม่มีอะไรน่าแปลกหรอก ถ้ามีคนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้น่ะ” กลอยหัวเราะคิกคักแล้วขอตัว
ออกไปพูดคุยกับคนงานปล่อยให้ปรายฝนยืนงงอยู่เพียงลำพัง
“ตายแล้ว” ปรายฝนรำพึงออกมาเบาๆ เอามือปิดหน้าปิดตาออกอาการเขินอายแม้อยู่คนเดียวก็ตาม หลังจากได้ยินกลอยบอก
ทำให้ปรายฝนยืนยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกลับมาหวนนึกถึงความใกล้ชิดด้วยเพราะความหวงที่เห็นแม่นายแพรพรรณแวะเวียนมาหาแม่นาย
ใจเดียวอยู่บ่อยๆ แต่ภาพของรถยนต์ที่กำลังแล่นเข้ามาทำเอาปรายฝนถอนใจ
“ทีหลังจะไม่นึกถึงแล้ว คิดปุ๊บมาปั๊บเลย” ปรายฝนบ่นพึมพำ แต่ไม่มีใครอยู่จึงต้องออกไปต้อนรับเอง เมื่อรถยนต์จากไร่แม่นาย
แพรพรรณแล่นเข้ามาใกล้ๆ ถึงเห็นว่าเป็นจันจิรา
“สวัสดีจัน” ปรายฝนพูดทักทาย
“คิดถึงปรายเลยแวะเข้ามา ปรายมีวันหยุดบ้างไหมจะชวนไปเที่ยวในเมือง แล้วนี่ของฝากจันไปกรุงเทพฯ มา” จันจิรายืนถุงให้
แต่ปรายฝนทำเพียงแค่ยิ้มๆ ไม่ได้รับมา
“ไม่เป็นไร เกรงใจ จันเก็บไว้ใช้เองเถอะ ส่วนเรื่องวันหยุด ไม่มีหรอก” ปรายฝนบอก
“โห น้าเดียวโหดขนาดนั้นเลย” จันจิราพูดขึ้น แต่รอยยิ้มต้องจางลง เมื่อเจ้าตัวเดินมาพอดี
“นินทาน้าอยู่หรือ จัน” ใจเดียวเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างปรายฝน
“ค่ะ ลูกจ้างไม่มีวันหยุดไม่ได้นะคะ น้าเดียว” จันจิรายิ้ม
“ทำไมมีอะไรกัน” แม่นายใจเดียวหันไปมองสบตากับปรายฝน
“ปรายบอกว่า ไม่มีวันหยุด จันจะชวนไปเที่ยวในเมืองค่ะ” จันจิราเป็นคนพูดตรงไม่ค่อยอ้อมค้อม แม่นายใจเดียวหันไปมองสบ
ตากับปรายฝนอีกครั้ง ซึ่งส่ายหน้าให้เห็นเล็กน้อย
“ผู้ช่วยน้า ไม่ใช่คนงาน จันก็รู้ว่าน้าทำงานตลอด เพราะฉะนั้นผู้ช่วยเลยไม่มีวันหยุดไปด้วย ไอ้จะว่าน้าโหดไม่ได้หรอกนะ
เพราะตอนมาทำงานข้อตกลงเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ใช่ไหมคะ คุณผู้ช่วย” แม่นายใจเดียวถาม
“ตามนั้นแหละ จัน”
“โห อดเลย ของฝากก็ไม่รับอีก งั้นยืมคุณผู้ช่วยพาเที่ยวเล่นในไร่ได้ไหมคะ น้าเดียว” จันจิราถามใจเดียว
“โตมากับไร่แท้ๆ ไม่เบื่อหรือไง” ใจเดียวถามกลับ
“ไปกับปรายไม่เบื่อหรอก” จันจิรายิ้มๆ ทำสายตาวิบวับใส่ปรายฝนที่แอบถอนใจชำเลืองมองไปทางแม่นายใจเดียว
“ต้องถามเจ้าตัวเขาเอง” ใจเดียวหันไปยิ้มน้อยๆ ให้ปรายฝน ซึ่งคนที่มาสังเกตเห็นท่าทางรวมถึงแววตาซึ่งดูแปลกๆ เหมือนที่
มารดาเคยเปรยๆ มิน่าถึงได้กำชับให้มาทำความสนิทสนมกับปรายฝนและยังบอกด้วยว่า หากรักชอบผู้หญิงด้วยกัน ตัวท่านที่เป็นมารดาหายห่วงมากกว่าหนุ่มๆ ที่มาวอแวนั่นเสียอีก
“ว่าไงจ๊ะ ปรายฝนคนงาม” จันจิราพูดแหย่ เมื่อชำเลืองมองดูเจ้าของไร่ที่หน้านิ่งไปทันทีทำเอาจันจิราอดที่จะยิ้มไม่ได้
“ปรายงานเพียบเลย ถ้าปล่อยให้แม่นายปั่นจักรยานมีหวังลมจับ” ปรายฝนหันไปยิ้มๆ ให้คนที่ทำหน้าบึ้งเมื่อได้ยิน
“ใจร้ายทั้งสองคนเลย” จันจิราพูดต่อว่า
“อยากสนุก โน่น ตามพี่ไตรไปทำงานเลย จัน” ปรายฝนหัวเราะให้คนที่ทำหน้ามู่ทู่ทันที
“ไร่ข้าวโพดกำลังสวยเลยล่ะ” แม่นายใจเดียวรีบบอก
“น้าเดียวกับปรายนี่ชักจะยังไงนะคะ ผลักไสไล่ส่งกันจนออกนอกหน้าไปกับพี่ไตรก็ได้งั้น” จันจิรายิ้มแป้นให้ไตรที่ขมวดคิ้วมอง
สบตาปรายฝนทีแม่นายใจเดียวทีเผื่อว่าจะช่วย
“ไตรพาจันไปดูไร่ข้าวโพดหน่อยนะ แล้วค่อยกลับมาส่ง มื้อกลางวัน จันมากินข้าวกับน้าที่โรงอาหารไหม” แม่นายใจเดียวถาม
“ดีเหมือนกันค่ะ ข้าวโรงอาหารอร่อยดี แม่ไม่ค่อยยอมให้จันไปที่โรงอาหารของไร่เลย” จันจิราพูดขึ้น ไตรแอบถอนใจ ในเมื่อเป็นคำสั่งคงต้องปฏิบัติตามแต่โดยดี
“สงสารพี่ไตรเหมือนกันนะคะ” ปรายฝนพูดขึ้น
“หรือปรายจะเป็นคนพาเที่ยวล่ะ เรียกไว้ก็ยังทัน” แม่นายใจเดียวพูดขึ้นขณะมองดูไตรที่พาสาวสวยซ้อนท้ายจักรยานพากันไป
ทางไร่ข้าวโพด
“ไม่ดีกว่า เอาไว้สาวใหญ่แถวนี้อยากไปเที่ยวกรุงเทพฯ ปรายค่อยอาสาเป็นคนพาเที่ยว”
“ฉันไม่ชอบความวุ่นวาย” แม่นายใจเดียวบอก
“อาจต้องไปขอสาวตามจารีตประเพณีนะคะ น่าจะต้องทนๆ ความวุ่นวายนิดหนึ่งค่ะ ไปทำงานกันดีกว่า วันนี้ไปสวนไหนดีล่ะ”
ปรายฝนอมยิ้ม เมื่อเห็นแม่นายใจเดียวยิ้มๆ เพราะเข้าใจว่าปรายฝนพูดถึงเรื่องอะไร
“ทำไมถึงไม่พาพ่อมาขอฉันล่ะ” แม่นายใจเดียวคิดอยู่ในใจ
จันจิรารู้สึกทึ่งในความสามารถของไตร ไม่ว่าจะความรู้เรื่องของพืชไร่หรือแม้แต่ท่าทางน่าเกรงขามยามพูดคุยกับคนงาน ส่วนความหล่อเหลาแทบไม่ต้องพูดถึง ถ้ามารดาให้มาเข้าหาไตรคงง่ายกว่าส่งมาตีลูกกันใจเดียว กับปรายฝน
“พี่ไตรถามอะไรหน่อยสิ” จันจิราพูดขึ้น
“ครับ” ไตรขมวดคิ้วหันมาจ้องมองคิดว่าจันจิราอาจจะถามเรื่องของงานหรือเรื่องข้าวโพด
“พี่ไตรชอบผู้หญิง หรือผู้ชาย” เมื่อได้ยินจันจิราถาม ไตรต้องกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่คิดว่าสาวเจ้าจะถามตรงๆ อย่างนั้น
“ผมยังไม่เจอคนที่ชอบครับ เลยยังบอกไม่ได้ว่าชายหรือหญิง”
“โห เบี่ยงเบนตั้งแต่ยังไม่เจอสิแบบนี้” จันจิราพูดยิ้มๆ ปล่อยให้ไตรทำงานของตัวเองต่อ โดยยืนดูอยู่ห่างๆ และถ่ายรูปเก็บเอา
ไว้บ้าง ไร่ใจเดียวจัดสรรพื้นที่ได้น่าสนใจ แม้จันจิราจะไม่ได้สนใจการทำไร่สักเท่าไรนักยังเห็นถึงความแตกต่างจากไร่ตัวเองค่อนข้างมาก แม่นายใจเดียวกับมือขวาอย่างไตรจัดสรรพื้นที่ได้เป็นอย่างดีในอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ เจ้าของไร่ถึงได้เป็นที่ชื่นชมของผู้คนแถวนี้ จันจิราคิด
“พืชเมืองหนาวน่าจะปลูกได้นะคะ พี่ไตร” จันจิราพูดขึ้น ขณะไตรกลับมายืนดูคนงานกำลังทำงานกันอยู่
“เริ่มปลูกสตอเบอรี่บ้างแล้วครับ แต่เพิ่งลองดู แม่นายอยากปลูกพืชตระกูลเบอรี่ไว้ให้คนงานได้ลองทานกันดูก่อนครับ ไม่ได้
ปลูกเอาไว้ขาย”
“แม่น่าจะส่งคนงานที่ไร่มาดูงานกับพี่ไตรนะคะ จันว่าที่ไร่ของจันพอพ่อไม่อยู่ไม่มีใครคิดที่จะทำหรือปลูกอะไรใหม่ๆ เลยค่ะ” จัน
จิราบอก
“คุณจันไม่ลองทำดูเองล่ะครับ ไม่ยากหรอก ถ้าติดขัดตรงไหนมาถามผมหรือแม่นายเอาก็ได้ แม่นายเองเอ็นดูคุณจันเหมือนลูก
เหมือนหลานอยู่แล้วครับ” ไตรพูดขึ้น
“แน่ใจนะว่า ติดขัดอะไรพี่ไตรจะช่วยน่ะ” จันจิราพูดยิ้มๆ
“เรื่องงานไม่มีปัญหาครับ”
“โห ตีลูกกัน ร้ายกาจ” จันจิราบ่นพึมพำ
ไตรทำหน้าที่ดูแลแขกของแม่นายใจเดียวอย่างดี เพราะไม่อยากให้ใครว่าเอาได้ จันจิราแอบมองไตรอยู่บ่อยครั้ง ใบหน้าคมสันได้สัดส่วนและผิวพรรณที่ดูสมชายถึงแม้คล้ำค่อนข้างมาก แต่กลับทำให้ชายหนุ่มดูมีเสน่ห์
“ท่าจะต้องมาบ่อยเสียล่ะมั้งเรา” จันจิรารำพึงออกมาเบาๆ
“ว่าอะไรนะครับ” ไตรถาม
“สงสัยต้องมาขอติดตามดูงานกับพี่ไตรบ่อยๆ แล้วล่ะ เผื่อที่ไร่จะได้เขียวชอุ่มเหมือนที่ไร่ใจเดียวบ้าง” จันจิรายิ้มๆ ให้ไตรที่ยิ้มๆ
ให้เช่นกัน
อาหารกลางวันดูสะอาดสะอ้านและน่ารับประทาน จันจิรารู้สึกทึ่งกับหลายสิ่งของไร่แห่งนี้และแอบเสียดายที่ไม่เคยเข้ามาก่อนหน้าทั้งๆ อยู่ติดกันแค่รั้วต้นไม้กั้นเท่านั้น
“อาหารหลายอย่างเลยนะคะ” จันจิราพูดขึ้น
“ส่วนใหญ่เป็นพืชผักในไร่เของเรานี่แหละ คนงานทำงานเยอะก็ต้องทานอาหารเยอะสิ” ใจเดียวบอกกับจันจิรา
“จันมาดูงาน ก็ต้องทานเยอะได้สินะคะ” จันจิราหัวเราะ ปรายฝนยิ้มๆ หันไปมองแม่นายใจเดียวที่นั่งอยู่ข้างๆ ปลากับกลอยทานอาหารไปยิ้มไปทำให้ปรายฝนเขินอายจนไม่กล้ามองสบตาด้วย
“แต่ตอนบ่ายแดดแรงนะครับ ถึงจะมีลมพัดเย็นสบาย” ไตรบอกกับจันจิราที่ทำท่าคิด
“สงสัยทานอาหารเสร็จคงต้องกลับแล้วค่ะ เพราะต้องกลับไปราย งานแม่นายไร่โน้น” จันจิราเผลอพูดออกมา
“รายงานเรื่องอะไร แม่ให้มาสืบอะไรที่ไร่น้า” ใจเดียวถาม
“น้าเดียวก็รู้อยู่แล้วล่ะ จันว่า” จันจิราพูดเสียงอ่อยๆ
“รู้ว่าอะไร” ใจเดียวถามอีก
“รู้ว่าแม่คิดยังไงกับน้าเดียว”
“จันรู้ว่าอย่างไร”
“แม่ไม่ได้มีความสุขอย่างที่แสดงให้คนอื่นเห็นหรอกค่ะ ถึงได้มาทำให้น้าเดียววุ่นวายด้วยการเทียวไปเทียวมา แม่กับพ่อแยกห้องกันตั้งแต่จันจำความได้แล้วมั้งคะ แต่คงรักษาภาพลักษณ์ตัวเองถึงได้ทำหวานกันจี๋จ๋า”
“อย่าเอาไปพูดให้ใครได้ยินล่ะ มันไม่ดี” ใจเดียวพูดดุจันจิรา
“จันเคารพน้าเดียวเหมือนญาติ ถึงได้กล้าเล่าให้ฟัง คนเราตัดสินใจอะไรผิดพลาดไปควรได้รับการให้อภัยไม่ใช่หรือคะ” จันจิราพูด เพราะรู้สึกสงสารมารดาอยู่เหมือนกัน
“แต่คนเราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเลือกด้วยนะ คนที่ไม่ถูกเลือกไม่อยากเดินย้อนกลับไปจุดเดิมหรอก จันลองคิดดูถ้าเป็นตัวจันเอง จันจะเดินย้อนกลับไปไหม” ใจเดียวบอกกับหลานสาวที่นิ่งคิดและพยักหน้ากับสิ่งที่ได้ยินใจเดียวบอก ปรายฝนยิ้มจางๆ หันมามองสบตากับแม่นายใจเดียว
“ถ้าจันไม่ถูกเลือก ก็อย่าหวังว่าจะย้อนกลับไปเลย” จันจิราบอก