จันจิรามองดูทิวารีที่เพิ่งเปิดประตูออกมาจากห้องนอนมารดาของตัวเองทำเอาถึงกับถอนใจ ภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างที่คิด เพราะถึงแม้จะเป็นเด็กสมัยใหม่ก็ตาม ถ้าหากเลือกได้ขอเป็นใจเดียวดีกว่า
“แม่นะแม่ อยากได้น้าเดียว แล้วดูดู๊ทำอะไรลงไป” จันจิราพูดบ่น
ทิวารีกำลังเตรียมอาหารมื้อเช้า เมื่อเห็นจันจิราเลยแปลกใจเพราะปกติตื่นสาย แต่เช้านี้ถือว่าเช้ามาก
“รับน้ำส้มก่อนไหมคะ คุณจัน” ทิวารีถาม
“ดีเหมือนกัน แม่ยังไม่ลงมาหรือ” จันจิราแสร้งถาม
“ยังไม่เห็นค่ะ”
“ฉันควรสงสารแม่หรือสงสารเธอดีทิวารี” จันจิราคิด เพราะมารดาของตัวเองก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน
แพรพรรณลงมาจากชั้นบนเห็นลูกสาวเข้าถึงกับยิ้มๆ เพราะรายนั้นตื่นสายมาก หากให้ตื่นเช้าต้องไปปลุกจนแทบจะต้องลากลงจากเตียงกันเลยทีเดียว
“แม่นายแพรพรรณดูสดชื่นนะคะ เช้านี้ ท่าทางคงจะไปทานอาหารเช้าที่ไร่แม่นายใจเดียวกระมัง” จันจิราพูดแหย่แถมยังพูดเสียงดังให้ได้ยินไปถึงสาวที่อยู่ในห้องครัว
“ข้าวบ้านฉันก็มีกิน ไม่เห็นต้องไปบากหน้าขอข้าวบ้านอื่นเลย”
“อ้าวเหรอ ถ้างั้นจะได้บอกน้าเดียว” จันจิราอมยิ้ม
“เดี๋ยวคงต้องไปดูสักหน่อย เมื่อคืนไร่โน้นไฟไหม้” แพรพรรณพูดขึ้นมองสบตากับทิวารีที่ไม่ยอมสบตาด้วย
“อ้าวเหรอคะ ไหม้เยอะหรือเปล่า น้าเดียวบอกแม่เหรอ”
“เปล่า ฉันเห็นควันไฟเลยเอาคนงานไปช่วย” แพรพรรณบอก
“มีควันแสดงว่าไหม้เยอะ มีใครเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
“เอ๊าไปช่วยยังไงของแม่ ใครเป็นอะไรบ้างก็ไม่รู้” จันจิราพูดบ่น
“เดียวไม่เป็นอะไร ฉันก็สบายใจแล้ว”
“ใจแคบแม่เนี่ย ไม่สินะ ใจกว้างมากกว่า” จันจิราลุกขึ้นยืนระหว่างพูดก็ยื่นหน้ายื่นตาไปทางทิวารี
“แล้วจะไปไหน”
“ไปช่วยน้าเดียว เผื่อมีอะไรให้ช่วย อ้อจันว่าจันอยากเข้าไปดูไร่เห็นไร่น้าเดียวแล้วอยากรู้บ้างว่าไร่เราเป็นอย่างไรบ้างตั้งแต่ไม่มีพ่อ”
“ไปซึมซับเอาความขยันมาหรือไง รวมไร่กันง่ายกว่านะ ยายจัน”
“มัวแต่อยู่บ้าน จะไปสู้อะไรเด็กใสๆ ได้ล่ะคะ แม่นายแพรพรรณ”
“ยายจัน เดี๋ยวเถอะนะ” แพรพรรณเงื้อมือจะตีลูกสาวแต่ไม่ทันเสียแล้ว เพราะจันจิราวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว แพรพรรณมองดู
ทิวารีที่ก้มหน้ายิ้มน้อยๆ ระหว่างนำอาหารเช้ามาวางไว้ให้
“นั่งลงสิ ทานอาหารเช้าเป็นเพื่อนฉันหน่อย เธอคงหิวเหมือนกัน” แพรพรรณพูดขึ้นแล้วจับข้อมือของทิวารีดึงตัวให้นั่งลงข้างๆ
“คุณจันพูดเหมือนเห็นทิออกมาจากห้องเมื่อเช้าเลยค่ะ” ทิวารีบอก
“แล้วไง ก็ช่างหัวยายจันสิ ทานอาหารเถอะ” แพรพรรณบอก
“อย่าเลยค่ะ เดี๋ยวคนงานผ่านมาเห็นเข้า”
“เธอเป็นแม่บ้านคนพิเศษ แม่บ้านที่ดูแลทั้งบ้าน อาหารการกินแล้วก็คนด้วย เดี๋ยวยายจันก็จะเข้าใจ” แพรพรรณพูดปลอบโยนก่อนจะโอบไปที่ไหล่ของทิวารี
“ไม่ไปไร่โน้นหรือคะ” ทิวารีถามและเริ่มรับประทานอาหาร
“หวงหรือเปล่าที่ถามน่ะ” แพรพรรณหันมายิ้มและมองสบตาทิวารี
“ไม่หรอกค่ะ ทิรู้ว่าพื้นที่ของตัวเองมีแค่ไหน”
“คุมคนงานไหวไหม ฉันเพิ่งสังเกตบุคลิกท่าทางของเธอจริงๆ เมื่อคืน คิดว่าน่าจะเคยช่วยพ่อแม่ทำไร่” แพรพรรณถาม
“ไหวหรือเปล่าไม่แน่ใจค่ะ ต้องลองดู” ทิวารีบอก
“ฉันไม่ชอบงานไร่เอาเสียเลยจริงๆ ตั้งแต่สามีตายก็ปล่อยปะละเลยพอได้ยินยายจันพูดขึ้น ถึงมานึกดูนานโขเหมือนกันนะ ถ้ายายจันสนใจงานไร่จริงได้เธอดูแลยายจันอีกที ฉันคงสบายใจขึ้น” แพรพรรณยิ้มๆ แล้วหันไปหอมแก้มทิวารี ใครจะว่าหลงใหลก็ยอม
“ถ้าทิไปตรวจดูไร่แล้ว ยังไงจะมารายงานให้แม่นายทราบนะคะ”
“จบอะไรมา”
“บริหารธุรกิจค่ะ เรียนมหาวิทยาลัยเปิด จบช้าหน่อย แต่ได้ปริญญามาให้พ่อแม่ชื่นใจ” ทิวารีรายงาน แพรพรรณยิ้มๆ มองอย่างชื่นชม แต่หากจ้องมองอย่างเพ่งพิศ ทิวารีลักษณะท่าทางคล้ายๆ กับใจเดียวอยู่มาก
“ถ้าฉันจ่ายเงินเดือนป้าเธอเหมือนเดิม แต่แกไม่ต้องมาทำงานเธอคิดว่าไง ฉันอยากมีแค่เธอกับยายจันเดินอยู่ในบ้านนี้เท่านั้น”
“จะเอาเงินซื้ออย่างนั้นหรือคะ”
“เธอมีเงินเดือนสองทาง เงินเดือนแม่บ้านด้วย คุมไร่ด้วย ส่วนของป้าเธอคิดเป็นเงินเกษียณให้แกก็ได้ เงินไม่ได้มากมายอะไร
ฉันไม่เดือดร้อนคิดว่าดูแลคนเก่าคนแก่” แพรพรรณอธิบาย
“ถ้ารวมไร่ ทิจะอยู่ตรงไหนได้ล่ะคะ” ทิวารีถาม
“ให้แม่นายไร่โน้นเป็นน้อยสิ ถ้ารวมไร่” แพรพรรณหัวเราะ ขณะดึงตัวทิวารีมากอดเอาไว้
“ไม่กลัว ทิมาหลอกเอาเงินทอง หรือหลอกให้หลงใหลหรือคะ”
“ฉันว่าไม่นะ ฉันมองแววตาเธอออก สายตาที่เธอมองฉันน่ะ มันฟ้องว่าเธออยากอยู่ใกล้ๆ ฉัน” แพรพรรณพูดยิ้มๆ เมื่อเห็นทิวารี
ออกอาการเขินอาย
“คิดเข้าข้างตัวเองมากเลยค่ะ”
“แล้วใช่อย่างที่ฉันพูดไหมล่ะจ๊ะ” แพรพรรณเชยคงทิวารีก่อนจะพรมจูบเบาๆ
“ขอดูนานๆ ก่อนค่ะ คนมีเงินน่ะ ขี้เบื่อ” ทิวารีพูดขึ้น
“ก็อย่าทำให้เบื่อสิ ขอบคุณที่ยอมอยู่กับฉันเมื่อคืน แต่ขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เพราะจะพาเธอไปดูรอบๆ ไร่และแนะนำคนงาน
ว่าเธอจะเข้าไปดูแล ตกลงตามนี้นะ” แพรพรรณถาม
“ไม่เร็วไปหรือคะ”
“ไม่หรอก เธอพร้อมกับทุกเรื่องอยู่แล้วนี่” แพรพรรณอมยิ้ม
“ก่อนหน้าดูน่ากลัวเชียว” ทิวารีพูดขึ้น ขณะมองตามแพรพรรณที่ยังคงหันมาทำท่าส่งจูบให้
ปลากับกลอยสังเกตเห็นแม่นายใจเดียวกับปรายฝนดูเงียบผิดปกติหรือเป็นเพราะเมื่อคืนเกิดเหตุการณ์ชวนให้ตกใจ แต่ไอ้เจ้า
สายตาวิบวับและแอบยิ้มๆ ให้กันที่ทำให้รู้สึกสงสัยขึ้นมา ไตรเดินมานั่งลงข้างเจ้าของไร่และกระซิบกระซาบอะไรบางอย่าง
“จริงหรือ ไม่เป็นไรเพราะไม่ได้เสียหายอะไรมาก แค่เรียกร้องความสนใจด้วยวิธีแปลกๆ ไตรจัดเวรยามเพิ่มขึ้นอีกหน่อย ช่วงนี้คงไม่กล้าทำอีกแน่นอน” แม่นายใจเดียวพูดจริงจังเสียจนไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมา
“ปลากับกลอยแจ้งคนงานผู้หญิงให้ตรวจดูว่า ประตูหน้าต่างแน่นหนาและกำชับให้ล็อกให้ดีก่อนเข้านอนด้วยนะ อย่าพูดให้
ตกใจเราแค่ระวังและไม่ประมาทเท่านั้น” แม่นายใจเดียวบอกปรายกับกลอยที่เริ่มทำหน้าที่ทันที โดยการเดินไปพูดคุยกับคนงาน
ผู้หญิง
“มีอะไรร้ายแรงหรือเปล่าคะ” ปรายฝนถาม หลังจากปลากับกลอยลุกไปแล้ว
“ไฟไหม้เมื่อคืนเป็นฝีมือคนที่ไร่แม่นายแพรพรรณ ญาติของไตรที่ทำงานอยู่ที่ไร่โน้นแอบมาบอก” แม่นายใจเดียวถอนใจ
“เพื่ออะไรกันคะ”
“ไตรคิดว่า น่าจะเรียกร้องความสนใจ เพราะพอเกิดเหตุเขาก็เข้ามาช่วยทันที แต่เราจัดการได้ก่อน”
“ลงทุนมากเกินไปหรือเปล่าคะ เกิดไหม้ลามใหญ่โตขึ้นมาแล้วมีคนเป็นอะไรด้วย มิแย่หรือ คิดอะไรของเขานะ” ปรายฝนพูดบ่น
“ปรายก็ระวังตัวด้วย”
“ปกติ ปรายอยู่กับแม่นายตลอด หรือไม่ก็พี่ไตร ปลา กลอย ไม่ค่อยไปไหนมาไหนคนเดียวอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ” ปรายฝนไม่อยากให้แม่นายใจเดียวมากังวลใจเรื่องของตัวเองมากนัก
“ฉันไม่อยากให้เรื่องราวถึงตำรวจ ยังอยากเป็นมิตร เป็นเพื่อนบ้านเลยไม่คิดจะเอาเรื่องเอาราวอะไร ปรายคิดว่าไง” แม่นายใจ
เดียวถาม
“ปรายเห็นด้วยค่ะ แม่นายแพรพรรณคงพยายามเขี่ยถ่านไฟเก่าให้ติดไฟอยู่ล่ะมั้งคะ” ปรายฝนพูดยิ้มๆ
“แก่แล้ว ไฟมอด” แม่นายใจเดียวหัวเราะ คนที่ยังนั่งทานอาหารอยู่ยิ้มๆ เมื่อได้ยินแม่นายเจ้าของไร่หัวเราะ
“เดี๋ยวปรายเป็นเชื้อไฟให้ก็ได้ ไปทำงานกันดีกว่า คนมองเราสองคนแปลกๆ นะ ปรายว่า” ปรายฝนหัวเราะ
แม่นายใจเดียวเดินไปจูงจักรยานและนั่งแทนที่ปรายฝน โดยมองไปยังที่นั่งด้านหลังแล้วพยักหน้าให้
“ไหวเหรอคะ สว.” ปรายฝนหัวเราะคิกคัก
“ดูถูกนักนะ อย่ามาหลงรักเข้าแล้วกัน” แม่นายใจเดียวพูดพึมพำ
“ห้ามตอนนี้ไม่น่าทันแล้ว ปรายกอดเอวได้ไหมคะ”
“ได้สิ แต่ฉันไม่ได้ขี้แกล้งเหมือนเด็กบางคนหรอก ไปจ้ะ สว.พร้อมปั่นแล้ว กอดแน่นๆ ล่ะ” แม่นายใจเดียวดูสดใสร่าเริง ปราย
ฝนยิ้มๆ และปฏิบัติตามแต่โดยดี
ปรายฝนมองดูเส้นทางที่ผ่านทุกวันตั้งแต่มาทำงานที่นี่ บรรยากาศไม่เหมือนกันสักวัน แต่จะว่าบรรยากาศคงไม่ใช่น่าจะเป็นเพื่อนร่วมทางและเจ้านายเสียมากกว่าที่ทำให้บรรยากาศไม่ซ้ำกันเลยสักวัน ดั่งเช่นตอนนี้ที่ปรายฝนรู้สึกสุขใจและปลอดภัย การได้เข้ามาอยู่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติทำให้ลืมทุกสิ่งที่ตัวเองเคยอยากมีเคยอยากได้และคิดว่า ถ้าได้สิ่งของนั้นมา แล้วจะมีความสุข แต่เมื่อก้าวย่างเข้ามาอยู่ในไร่ใจเดียว ความสบายใจคือสิ่งที่มีค่าที่สุดและนำพาความสุขมาให้ แม่นายใจเดียวยามเรียบนิ่งก็ดูเป็นแม่นายใจดีไม่ได้ต่างไปจากยามที่มีเสียงหัวเราะอย่างสดใส ไอ้ที่สำคัญก็คือรอยยิ้มกับสายตาวิบวับยามสบตากันนั่นแหละกำลังทำให้รู้สึกว่า นี่ละมั้งที่เรียกกันว่า ความรัก
“เมื่อคืนมีคนนอนกรนเสียงดังด้วยล่ะค่ะ” ปรายฝนพูดขึ้น คนที่ปั่นจักรยานอยู่หยุดรถทันที
“จริงหรือ ฉันควรไปหาหมอไหม” แม่นายใจเดียวหันมาถามใบหน้าดูจริงจังมาก ปรายฝนจึงพยายามทำหน้าตาให้ดูจริงจัง
“ทำไมถึงกับต้องไปหาหมอล่ะคะ คนอายุเยอะๆ นอนกรนเป็นเรื่องปกติหรือเปล่า” ปรายฝนพูดขึ้น
“นอนคนเดียวมานานเกินไปมั้ง เลยไม่รู้ว่าตัวเองนอนกรน”
“โอ้โหพูดซะน่าสงสารเลย ปรายไปนอนเป็นเพื่อนทุกคืนก็ได้”
“ทนเสียงกรนไหวหรือ สงสัยต้องไปหาหมอแล้วล่ะ ฉันอยากแข็งแรงอยากอยู่นานๆ” แม่นายใจเดียวหันมายิ้มให้ปรายฝน
“เป็นเรื่องเป็นราวเลย ปรายแค่แหย่เล่น ไม่ได้กรนสักหน่อย”
“เหรอ ชอบแกล้งนักใช่ไหม” แม่นายใจเดียวหยิกแก้มทั้งสองข้างทำเอาปรายฝนร้องเอะอะเสียงดังลั่น จันจิราซึ่งพูดคุยอยู่กับไตรยังหัวเราะออกมา แต่เมื่อหันมาเห็นไตรยิ้มสวยๆ จ้องมองไปทาง
ผู้หญิงสองคนทำให้จันจิรามองแต่ไตรไม่หันไปมองทั้งสองสาวอีกเลย
“มีอะไรหรือเปล่าครับ จ้องผมเหมือนที่หน้าผมมีอะไรเลย” ไตรถามจันจิราที่ยิ้มๆ อยู่
“ไม่มีอะไรค่ะ นึกว่าพระเอกหนังมายืนยิ้มสวยๆ อยู่ข้างๆ”
“หนังคงเจ๊งนะครับ คุณจัน” ไตรหัวเราะ
“พี่ไตรรับเป็นที่ปรึกษาดูแลไร่ไหมคะ แบบเข้าไปดูให้เดือนละครั้งอะไรประมาณนี้ วันหยุดก็ได้ค่ะ จันเอาจริงนะ อยากสานต่อ
งานที่พ่อทำไว้” จันจิราบอกกับไตรที่แปลกใจ เพราะจากที่ได้ยินมา จันจิราชอบเที่ยวตามประสาลูกคนมีเงิน ทำไมจู่ๆ ถึงได้อยากปรับ
ปรุงไร่ขึ้นมา
“เหนื่อยมากนะครับ คุณจัน” ไตรบอก
“พี่ไตรจะช่วยไหมล่ะ ถ้าพี่ไตรยอมช่วย จันก็พร้อมเหนื่อย”
“ผมเป็นคนงานนะครับ คุณจันควรไปปรึกษาแม่นายมากกว่า”
“จันอยากรู้เรื่องดูแลคนงานด้วยค่ะ พี่ไตรช่วยหน่อยนะคะ"
“ถ้าแม่นายอนุญาต ผมยินดีช่วยครับ แต่คุณจันคงต้องไปแจ้งกับแม่นายแพรพรรณเป็นกิจลักษณะนะครับ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่าผมเข้าไปวุ่นวายที่ไร่โดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วจะวุ่นวายมาถึงแม่นายใจเดียวด้วย” ไตรบอก
“เรื่องแม่ไม่มีปัญหาค่ะ เพราะจันเป็นเจ้าของร่วม ส่วนเรื่องน้าเดียวไปจัดการเลยดีกว่า พี่ไตรพร้อมเมื่อไหร่แจ้งวันให้ทราบด้วย
นะคะ พ่อพระเอกของจัน” จันจิราหัวเราะ เมื่อเห็นไตรยิ้มอายๆ
“สาวจีบ รู้ตัวไหมครับนายไตร” ชายสูงวัยพูดแซวไตรที่หัวเราะอยู่
“โอ้โห ลุงก็นะ ผมจะถูกยิงหัวเอานา” ไตรบอก
“ทำแต่งานจะหาเมียไม่ได้เอานะครับ นายไตร”
“ไม่ขยันทำงาน ก็ไม่มีเงินไปขอเมียนะ ลุง” ไตรหัวเราะ ชายสูงวัยก็เช่นกัน ถึงกับส่ายหน้าให้ชายหนุ่มที่ขยันขันแข็ง