บทที่ 7
มือหนาสีแทนค่อยๆ ปล่อยผ้าม่านให้ปิดสนิทลงเมื่อรถคันนั้นได้พาผู้หญิงของเขาจากไปแล้ว กรามแกร่งที่มีเคราสีจางๆ แต้มอยู่ขบกันแน่น สองมือที่ตกอยู่ข้างกายบีบเข้าหากัน
สายตาของญาดามินทร์ สายตาที่หล่อนมองเขาในวันนี้นั้นเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น บอกให้รู้ว่าหล่อนไม่ปรารถนาที่จะกลับเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของเขาอีก แต่คนอย่างเขาไม่มีทางยอม มันจะไม่มีทางเกิดขึ้น แค่ครั้งเดียว ญาดามินทร์มีโอกาสหนีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น และในเมื่อหล่อนหนีไม่รอด หล่อนก็ต้องกลับมาอยู่ในอุ้งมือมัจจุราชของเขาชั่วชีวิต
“ต่อให้ต้องใช้วิธีที่เลวที่สุด ฉันก็จะทำ เพื่อให้เธอกลับมาเป็นของฉัน ญาดามินทร์”
ร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีขาวสะอาดเดินกลับไปทรุดกายนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานใหญ่ ที่เขายอมจากบ้านจากเมืองมาค่อนโลกก็เพราะหล่อน เพราะต้องการทวงหล่อนกลับคืน ดังนั้นไม่ว่าจะต้องร้าย จะต้องเลวสักแค่ไหน เขาก็จะทำ
“วันนี้ผมไม่ต้องการพบใครอีก ยกเลิกนัดให้หมด”
เขายกหูและกรอกเสียงบอกเลขาฯ หน้าห้อง จากนั้นก็เอนกายพิงกับพนักเก้าอี้หนังสีดำสนิท ดวงตาสีน้ำเงินเข้มค่อยๆ ปรือปิดลงช้าๆ และนั่นก็ทำให้ภาพความหลังที่เขาไม่เคยลืมเลือนวิ่งกลับเข้ามาสู่ความนึกคิดอีกครั้ง
สิ่งที่เขาไม่เคยลืมเลือนมาตลอดตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องวันนั้น ก็คือความเป็นเจ้าของในตัวของญาดามินทร์ แม้จะรู้ว่าไม่จำเป็นที่จะต้องประกาศสิทธิ์หรือรับผิดชอบอะไรเลย เพราะเจ้าหล่อนแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่ต้องการ แต่เขากลับยอมไม่ได้ ยอมไม่ได้ที่จะปล่อยหล่อนไป
ญาดามินทร์นั่งเงียบมาตลอดทางกลับบ้าน ตลาดที่หล่อนบอกแต่แรกว่าต้องการจะไปหล่อนก็เปลี่ยนใจเสียดื้อๆ ดวงตากลมโตนั้นเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา หัวใจสาวนั้นก็แสนจะเจ็บปวด เจอรัลด์ไม่ใช่จำหล่อนไม่ได้ แต่เขาไม่อยากจะจดจำเลยต่างหาก เขาไม่ต้องการให้คนทั้งโลกรู้ว่าหล่อนกับเขาเคยเป็นอะไรกันมาก่อน
“คนใจร้าย...”
แม้จะเสียงแผ่วเบาอยู่ในลำคอ แต่หัสบรรณกับ อดิสรก็หูดีเหลือเกินได้ยินจนได้
“น้องญาดาว่าใครหรือครับ...”
คนทำพลาดรู้สึกตัวรีบปฏิเสธ
“เอ่อ... ปละเปล่าค่ะ ญาดาแค่...” หญิงสาวอึกอักพูดไม่ออก อดิสรจึงแทรกขึ้น
“ลุงรู้สึกว่าหนูญาดากับคุณเจอรัลด์เคยรู้จักกันมาก่อน”
“นั่นสิ... พี่เห็นน้องญาดาจ้องหน้าคุณเจอรัลด์นานมาก”
ก็มีแต่หล่อนเท่านั้นแหละที่แสดงอาการนี้ออกไป ในขณะที่พ่อมัจจุราชหล่อลากไส้ไม่ได้แม้แต่จะชายตาแลหล่อนเลยสักนิด มองเห็นหล่อนอยู่ตรงนั้นหรือเปล่าก็ไม่รู้ หญิงสาวคิดอย่างน้อยใจเป็นที่สุด ทั้งน้อยใจ ทั้งเจ็บปวดจนแทบจะร่ำไห้ออกมาเสียให้ได้
“เอ่อ ไม่รู้จักหรอกค่ะ...”
“จริงเหรอหนูญาดา” อดิสรถามย้ำ
ญาดามินทร์พยักหน้ารับช้าๆ และก้มหน้ามองตักตัวเองนิ่ง
“ค่ะ เขาก็แค่... หน้าเหมือนคนที่หนู... เคยรู้จักเท่านั้นเองค่ะคุณลุง”
จบคำตอบเศร้าๆ ระคนเสียงสั่นเครือของ ญาดามินทร์แล้วทั้งรถก็เต็มไปด้วยความเงียบงัน ความเงียบที่พร้อมจะเข่นฆ่าให้หล่อนด่าวดิ้นจากไปจากโลกนี้อย่างเลือดเย็น มือบางขาวสะอาดยกขึ้นป้ายน้ำตาที่ไหลออกมา แต่ยิ่งเช็ดก็ยิ่งทะลัก สุดท้ายก็ทำได้แค่เพียงนั่งร้องไห้เงียบๆ ไปตลอดทาง
หลังจากจมกับกองน้ำตาของตัวเองมาตลอดทั้งคืน ญาดามินทร์ก็ออกมาจากห้องในตอนเช้าของวันถัดมา และนั่นก็ทำให้หล่อนได้เห็นท่าทางเคร่งเครียดของทั้งอดิสรและหัสบรรณ
หล่อนนี่มันเลวจริงๆ เลย คิดถึงแต่เรื่องของตัวเองจนลืมไปเลยว่าผู้มีพระคุณกำลังประสบปัญหาอะไรกันอยู่
หญิงสาวต่อว่าตัวเองในใจ ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องรับแขกที่สองพ่อลูกกำลังถกปัญหากันเงียบๆ
“เอ่อ... ญาดารบกวนหรือเปล่าคะ”
หัสบรรณหันมายิ้มให้กับหล่อนเป็นคนแรก ก่อนจะถามด้วยอดิสร แต่ถึงทั้งสองคนจะพยายามยิ้มออกมาแต่หล่อนก็สัมผัสได้ว่ามันไม่ใช่รอยยิ้มที่มีความสุขอย่างที่ควรจะเป็น
“ไม่หรอกครับน้องญาดา... มีอะไรกับพี่หรือครับ”
ญาดามินทร์ฝืนยิ้ม ก่อนจะถามออกมาเสียงแผ่วเบา
“ญาดาไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่เป็นห่วงคุณลุงกับพี่หัส... เมื่อวานทางธนาคารไม่ยอมปล่อยกู้ให้”
อดิสรฝืนยิ้มและถอนใจออกมา
“ลุงก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมธนาคารถึงไม่ยอมปล่อยกู้ให้กับลุง ทั้งๆ ที่เพื่อนๆ ของลุงก็ได้กันหมด”
“ผมว่าคุณเจอรัลด์เขาอาจจะไม่ชอบขี้หน้าพวกเราก็ได้นะครับ”
ชื่อของเขาจากปากของหัสบรรณทำให้คนฟังเจ็บลึกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ แต่ก็พยายามไม่แสดงอาการน่าสมเพชใดๆ ออกมา และนั่งฟังเงียบๆ
“ไม่น่าจะใช่นะเจ้าหัส คุณเจอรัลด์เขาจะไม่ชอบขี้หน้าพวกเราได้ยังไงกัน ในเมื่อเพิ่งพบเจอกันครั้งแรก และก็ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนด้วย”
“บางที... เขาอาจจะไม่ชอบหน้าญาดาก็ได้ค่ะ”
คำพูดที่หล่อนเผลอตัวพูดออกไปทำให้ทั้ง หัสบรรณและทั้งอดิสรหันขวับมามองโดยพร้อมเพรียงกัน จนคนหลุดพูดถึงกับหน้าถอดสี
“ทำไมหนูญาดาถึงคิดแบบนั้นล่ะ หรือว่าหนูกับคุณเจอรัลด์เคย...”
“ไม่เคยอะไรทั้งนั้นค่ะ หนูก็แค่สันนิษฐาน... เอ่อ ญาดาขอตัวก่อนนะคะคุณลุง พี่หัส ญาดาเพิ่งคิดได้ว่าอบขนมเอาไว้ในครัว ต้องรีบไปดูค่ะ” แล้วหญิงสาวก็รีบผุดลุกขึ้นและรีบวิ่งจากไปจากห้องรับแขก
หัสบรรณและอดิสรมองตามไปจนลับตา ก่อนจะหันมาสบตากันนิ่ง
“แล้วเราจะทำยังไงดีครับ”
“ก็อย่างที่เราคุยกันเมื่อคืนนั่นแหละเจ้าหัส ดึงเงินส่วนตัวของเรามาใช้ลงทุนก่อน”