ของหวานบทที่สี่ เจ้าชายกับข้าวเหนียวมะม่วง

4004 Words
​ ของหวานบทที่4: เจ้าชายกับข้าวเหนียวมะม่วง ……. …………. …………………. เซนส์โยฮันท์ฟาว์น อาณาจักรของนักบวชที่เป็นศูนย์กลางดินแดนของผู้กล้าและจอมมาร ที่ได้มาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่กัน และแน่นอนว่าเป็นพื้นที่ศูนย์กลางแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอื่นๆ ด้วย โดยที่มีกษัตริย์อย่างโยฮันท์ เกสเชล และพระราชินี โซเฟีย เกสเชล ขึ้นครองอาณาจักรคอยดูแลอยู่ พร้อมบุตรชายของพวกเขาอย่าง อัลเทเรียส เกสเชล ที่คอยทำหน้าที่ช่วยเหลือแก้ไขปัญหาของผู้กล้าและจอมมารซักส่วนใหญ่ “ท่านอัลเทเรียส” “ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมีข่าวลือเกี่ยวกับร้านขนมแห่งหนึ่งที่อาจจะตั้งร้านโดยไม่ได้เสียภาษีในอาณาจักรของเราพะยะค่ะ” “อ่าฮะ” “และในหลายวันที่ผ่านมา จอมมารเอสเมรันดัสป้อมปราการของเธอแข็งแกร่งขึ้น มีผู้กล้ามาร้องเรียน และฟ้องร้องค่าเสียหายจำนวนมากกับไอเท็มที่โดนเธอขโมยไปด้วยเช่นกัน" “เธอคงโตขึ้นแล้วสินะ” “แต่ว่า..บริเวณทางตอนเหนือแถวป่าต้นกล้วย ก็โดนบุคคลปริศนาตัดใบต้นกล้วยเยอะไปครึ่งหนึ่งของพื้นที่นั้นด้วยพะยะค่ะ “หื้ม? ” ผมฟังคนรับใช้ของผมที่กำลังรายงานพร้อมทำสีหน้าเหมือนกับบอกว่าช่วงนี้อาณาจักรของท่านพ่อมีแต่เรื่องแปลกๆ เต็มไปหมด ก่อนที่สิ่งที่ผมขำนั้นคงเป็น’ต้นกล้วย’ที่ใบของมันโดนตัดมากที่สุดโดยที่ผมพลิกหน้ากระดาษเอกสารสุดท้ายวางลงบนกองกระดาษที่เซ็นเรียบร้อยแล้ว “ไม่ต้องไปรายงานให้ท่านพ่อฟังหรอก ฉันจะไปตรวจสอบเอง” มันไม่จำเป็น เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่นั้นท่านพ่อก็ทรงเหนื่อยจากงานสร้างความสัมพันธ์มิตรไมตรีอาณาจักรอื่นมากมายแล้ว กับเรื่องแค่ร้านที่ไม่จ่ายภาษา หรือดันเจี้ยนป้อมปราการของเด็กคนนั้น ก็ไม่ถึงกับต้องรายงานทั้งหมดให้เขาทราบหรอก ก่อนผมจะเดินออกไปจากห้องทำงานโดยที่หยิบเสื้อคลุมสีน้ำตาลนั้นมาคลุมทับพร้อมดีดนิ้วร่ายเวทย์มนต์ที่สามารถเปลี่ยนเส้นผมของตัวเองเป็นสีดำสนิทกับดวงตาของตัวเองที่เป็นสีแดงเพื่ออำพรางตัวตนไม่ให้คนภายนอกจับได้ เหล่าพ่อบ้านและแม่บ้านที่เห็นว่าผมกำลังเดินออกจากปราสาทก็โค้งหัวออกมาต้อนรับก่อนที่จะมีเหล่าองครักษ์ที่เดินออกมาคุ้มกันด้วย ท่าทางหมือนจะอยากติดตามจริงๆ “ไม่จำเป็น ฉันไปเองได้ ” พวกเขาดูจะเชื่อฟังผมก่อนที่จะโค้งตัวตามข้าบริวารที่เหลือ ก่อนผมจะดีดนิ้วและใช้เวทย์มนต์ล่องหนเดินออกจากปราสาทไป ……………………… ข่าวลือมากมายนั้นก็มีเยอะพอๆ กับกองงานที่ ท่านพ่อและท่านแม่มักจะคอยจัดการอยู่เสมอรวมทั้งผมที่เป็นลูกชายของพวกเขาด้วย เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้คงไม่ต้องถึงกับไปแจ้งทุกอย่างหรอก พอพูดถึงขนม … ช่วงนี้ก็มีร้านที่ดังพอสมควร ‘ กัลยรัตน์’ ที่ขนมดูจะไม่ใช่ของคนในพื้นที่นี้เท่าไหร่ และกำลังเป็นนิยมมากด้วยผมหยุดยืนมองป้ายหน้าร้านที่อาคารของมันดูผิดแปลกไปกว่าตึกบ้านเรือนอื่นๆ พร้อมกับมองป้ายที่เขียนคำว่า [closed] มาเสียเที่ยวซักได้ … แกร๊ง ประตูถูกเปิดพร้อมกับหญิงสาวผมสีน้ำตาลเซอร์ๆ ที่มัดจุกเปิดหน้าผากเอาไว้ ฝ่ามือเรียวบางที่ดูสากและมีรอยแผลเล็กๆ จากกาทำงาน เธอสวมเสื้อกล้ามโชว์ไหล่พร้อมกับกางเกงสีดำที่เงยหน้ามองมาที่ผมพร้อมกับตะกร้าที่มีสมุดจดและปากกาเอาไว้ และกล่องใสๆ ที่มีมะม่วงกับ..ข้าว? “ขอโทษนะคะ วันนี้ร้านปิดแล้ว” เธอคงกำลังมองผมที่คิดว่าจะมาซื้อขนมในขณะเดียวกันที่ผมคลี่ยิ้มให้กับท่าทางที่เป็มิตรก่อนที่จะพยักหน้าเข้าใจ “วันนี้ร้านขายดีหรือเปล่าล่ะคุณผู้หญิง? ” “ก็เรื่อยๆ นะคะ" "แต่ถ้ายังไงก็ขอตัวก่อนนะคะ...พอดีมีที่ๆ จะต้องไปอยู่” เธอพูดโดยที่จับปรายคางเล็กน้อยก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ และตัดบทสนธนาของผม พร้อมเดินผ่านหน้าไปโดยที่ผมยังคงมองแผ่นหลังของหญิงสาวอยู่ ก่อนจะกวาดสายตามองรอบๆ ดูเหมือนว่าพวกชาวบ้านดูจะรู้จักกับผู้หญิงคนนั้น ผมลองทักคุณป้าแถวนั้นที่ใกล้ตัวคนหนึ่งเกี่ยวกับตัวตนของเธอ “ขอโทษนะครับ พอทราบชื่อของเธอไหม? ” “หื้ม? หนูกมลพัชรน่ะจ๊ะ “ กมลพัชร… “ขอบคุณมากครับ” ผมผงกหัวขอบคุณคุณป้าคนนั้นก่อนที่จะลองเดินตามเธอไป ความสงสัยของผมคงเป็นผลไม้กับ..ข้าว ทำไมกันนะ? แค่นึกถึงสองเมนูนี้แล้วก็รู้สึกตลกขบขันขึ้นมา หรือว่าเป็นอาหารสำหรับชาวบ้านแถวนี้กัน คงไม่หรอก ผมมองกมลพัชรไปด้วยในขณะที่เธอเดินเข้าไปในตลาดในเมือง เธอเป็นมิตรและเป็นคนที่สดใส ร่าเริงกับทุกคนที่เข้าหาและใจดีสุดๆ ถึงแม้จะชอบทำหน้าบึ่งตึ่งเวลาโดนแซวจากพวกคนสูงอายุก็ตาม ก่อนเธอจะเลี้ยวเข้าไปร้าน [โรงรับจำนำ] ที่เป็นตลาดกลางเงินของอาณาจักรนี้เพื่อไม่ให้เธอรู้ตัวมากไปกว่านี้ ผมจึงมองเธออยู่ห่างๆ ที่ยืนอยู่ตรงเคาส์เตอร์และเจ้าของร้านที่ออกมาต้อนรับหญิงสาว กมลพัชรเทกำไรข้อมือขนาดเล็กสองอันสีทองในขณะที่ชายวัยกลางคนนั้นก็ตรวจสอบคุณภาพของชิ้นนั้นจากแว่นขยาย “ของค่อนข้างใช่ได้เลยนะครับ แต่ว่าเรื่องราคา …” “โห ลุง มันไม่ใช่ทองปลอมนะ” “นั้นน่ะเป็นของน้องชายกับฉันตอนเกิดมาเลยนะ” ผมทำท่าเดินดูของที่โรงรับจำนำวางโชว์อยู่บนตู้สินค้า ในขณะที่ใช้หูทั้งสองข้างฟังการพูดคุยของกมลพัชร และคนรู้จักของผมที่กำลังพูดคุยอยู่ “ไม่ ผมกำลังจะบอกว่าราคาไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกครับ” และหลังจากนั้นชายวัยกลางคนนั้นก็หยิบถุงเหรียญทองขนาดใหญ่ก่อนที่จะกระซิบอะไรบางอย่างกับเธอโดยที่เธอหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง “เดี๋ยวฉันจะเอามาให้เพิ่มหน่า ไม่ต้องห่วงนะลุง” เธอยิ้มแก้มปริออกมาก่อนที่จะหยิบถุงเหรียญใส่ตะกร้าพร้อมกับเดินออกไป โดยที่ผมเดินไปหาคนรู้จักของผม “อยากกินขนมอร่อ–องค์ชาย!? ” เขาที่กำลังนั่งคิดพร้อมกับเก็บกำไรข้อมือเด็กสีทองสองที่ใส่ถุงสีแดงเอาไว้ก่อนที่เขาจะทำให้ผมหลุดหัวเราะตามอีกคน “ดูคิดถึงขนมอะไรบางอย่างเลยนะ ” “แน่นอนพะยะค่ะ ขนมของกมลพัชรน่ะอร่อยมากเลยนะองค์ชาย!” และแล้วผมก็ต้องฟังเขาหนึ่งนาทีพล่ามเรื่องราวของกินของหญิงสาว ตรงหน้าที่มักจะเอามาให้ทานบ่อยๆ และก็มักจะมีมุขตลกเกี่ยวกับการติดสินบนขนมด้วยเพราะน้องชายของเธอที่มักจะมาส่งขนมเป็นประจำ “ขอบใจที่แนะนำ ฉันขอตัวก่อน” ผมเดินไปเปิดประตูพร้อมเลี้ยวมองถุงสีแดงที่เจ้าของร้านเก็บมันเอาไว้ก่อที่จะเดินขึ้นไปทางตลาดประมาณสามสิบนาทีได้ ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนที่รู้จักของพวกชาวบ้านค่อนข้างเยอะพอสมควร อาจจะเพราะน้องชายของเธอแวะมาส่งขนมบ่อยๆ ด้วย ก่อนจะเห็นว่ามีของกินมากมายที่เธอได้รับมาจนแขนบางๆ ทั้งสองข้างนั้นเต็มไปด้วยถุงขนมและของฝากให้หญิงสาวอึดอัดขึ้นมา กมลพัชรเดินออกจากตลาดไปทางภูเขาหลังอาณาจักรเพื่อไปนั่งพักผ่อนหย่อมใจ แผ่นหลังที่ผอมบางนั้นกลับถือถุงของกินมากมายได้อย่างสบายใจช่างเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งดีจริงๆ “ของจะเยอะไปแล้วนะเว้..มีช็อกโกแล็ตด้วยนี่หน่า แจ่มเลย” เธอโวยวายเสียงดังแต่จบลงด้วยการมองของกินด้านในขณะที่นั่งพักอยู่บนพื้นหญ้าใต้ต้นไม้หนาที่ปกคลุมเงาของเธอเอาไว้ ก่อนจะแกะถุงขนมจากการที่ได้รับมาจากพวกชาวบ้าน ตามด้วยยกสมุดจดพร้อมปากกาแม้ที่ปากยังคาบช็อกโกแล็ตอยู่ก็ตาม ความจริงพื้นที่นี้เป็นสวนสาธาราณะ ให้กับอาณาจักรเซนส์โยฮันท์ฟาว์นให้พวกประชาชนได้มาเดินเล่นพักผ่อนหย่อมใจกันพร้อมกับสนามเด็กเล่นที่อ้างอิงจากผู้กล้าบางคนที่ได้เสนอเรื่องราวของโลกต่างๆ มาให้ท่านพ่อของผมฟังด้วย ท่านพ่อจึงได้ประดิษฐ์สิ่งที่เรียกว่าสนามเด็กเล่นให้พวกเด็กๆ ได้สนุกสนามพร้อมกับม้านั่งข้างสนามฟุตบอล การอยู่ในปราสาทนั่งอุดอู้อยู่ในนั้นทำให้ผมรู้สึกเบื่อหน่าย ผมขยับผ้าคลุมบนหัวออกพร้อมกับสูดอากาศบริสุทธิ์บนภูเขาหลังหมู่บ้านนี้เบาๆ ไม่รู้เพราะอะไรการเดินตามกมลพัชรมันถึงให้ความรู้สึกสนุกกันได้นะ? ผมมองเธอที่ยังคงจดจ่อกับสมุดจดเล่มนั้นพร้อมกับบ่นพึมพำออกมา “ถึงต้นกล้วยมันจะเหมือนๆ ที่ประเทศไทยก็เถอะแต่ถ้าตัดไปเราจะโดนลงโทษอะไรบ้างวะ” “เออแล้วก็ ..ช่วงนี้ลูกค้าเข้ามาเยอะแต่รายได้ไม่ได้ดีด้วย” “แล้วก็ …นั้นด้วย …” ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นก็ดูครุ่นคิดอะไรหลายอย่าง ในขณะทีผมมองกลุ่มเด็กเล็กที่วิ่งเข้าไปหากมลพัชรพร้อมกับน้ำเสียงของพวกเขาที่เหมือนว่า พี่สาวคนนี้คือคนที่มักจะแวะมาที่นี่บ่อย “พี่กมล วันนี้มาแล้วนะ เล่นฟุตบอลกัน!” “ไม่ว่าง แล้วฉันก็กำลังนั่งพักอยู่ด้วย โธ่” เด็กชายสองสามคนเกาะแขนพร้อมกับร่างเล็กที่ทำเสียงฟืดฟัดไม่พอใจ แต่ก็ยกมือขึ้นมาขยี้หัว ของพวกเขาที่เซ้าซี้ก่อนที่เธอจะหัวเราะตาม และพยักหน้าเบาๆ สุดท้ายก็ใจอ่อนยอมเล่นง่ายๆ โดยที่กมลพัชรรับลูกฟุตบอลสีน้ำตาลของพวกเด็กๆ ก่อนจะโดนจูงมือเดินไปตรงสนามบอลที่มีเส้นขีดประตูเอาไว้ “จะเตะละนะ รับมือกันให้ดี!” “เฮอะๆ แรงผู้หญิงอย่างพี่จะสู้กับพวกเราสามคนได้ไงกัน! ” พวกเขารีบวิ่งเข้าไปโดยที่กมลพัชรใช้เข่าของเธอเดาะลูกฟุตบอลก่อนที่จะวิ่งซิกแซกหลบพวกเด็กๆ ทั้งสามคนได้อย่างดี หากเป็นกีฬาพวกนี้เด็กผู้หญิงจะมองว่าเป็นเรื่องของเด็กผู้ชายมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนแต่การได้มองเธอที่สนุกสนามกับพวกเด็กๆ ก็น่าสนใจสำหรับผม จนกระทั่ง … “อย่าเตะไปตรงนู้น —!” ชั่ววินาทีที่ลูกฟุตบอลกำลังจะเข้าประตูดูเหมือนเด็กคนหนึ่งจะเผลอใช้แรงมากเกินไปจนลูกฟุตบอลพุ่งเป้าเข้ามาที่ผม ทันทีที่ผมจะใช้มือรับนั้น กมลพัชรก็พุ่งตัวมารับลูกฟุตบอลนั้นต่อหน้าผมโดยที่หันมาสบตามองผมก่อนที่เธอจะแสดงอาการโวยวายออกมา “ไอ้พวกเด็กเปรต หัดกะจังหวะหน่อยสิวะ!” “ขอโทษครับบบบบบบ!” “...” “คุณ เป็นอะไรหรือเปล่า!? ” ถึงแม้มือข้างขวาของเธอจะแดงจาการรับแรงฟุตบอลตรงหน้าแต่เธอก็แสดงความเป็นห่วงกับผมก่อนอันดับแรก ก่อนกลิ่นขนมหอมๆ บนร่างกายของเธอจะลอยมาปะทะบนจมูกของผมโดยที่ผมส่ายหัวว่าไม่เป็นไร พวกเด็กผู้ชายที่วิ่งมานั้นก็รีบโค้งจนหัวแทบจะติดพื้นหญ้า ราวกับว่าถูกเธอโดนโมโหแบบนี้มาหลายรอบแล้ว “ไม่ ผมไม่เป็นอะไร ..แต่มือของคุณ” “อ่า ไม่เป็นไรน่า ฉันชินกับมันแล้ว” และเธอก็สะบัดมืออยู่สองสามทีแสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงของเธอก่อนที่จะเดินกลับไปทุบหัวเด็กพวกนั้นพร้อมกับเทศนาไปประมาณสองนาทีกว่า และเดินกลับมาหาผมอีกครั้ง “ผมได้รับขอโทษมาเยอะแล้ว หากไม่รังเกียจล่ะก็ขอให้ผมได้ซื้อยาให้คุณทำมือเอาไว้จะได้ไหม? ” เธอยังคงยืนยันพร้อมกับปฏิเสธเรื่องยาที่จะให้ผมซื้อให้ น่าแปลกที่ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้แสดงอาการเจ็บอะไรก่อนที่เด็กรูปร่างอ้วนท้วมจะพูดออกมา “พี่กมล แต่ว่าวันนี้พวกเราได้กลิ่นขนมของพี่นะ วันนี้เอาอะไรมาน่ะ!? ” “อ้อ..ข้าวเหนียวมะม่วงน่ะ? ” และนั้นก็สร้างความประหลาดให้กับเด็กคนนั้นกับผมอีกรอบ ขนมสุดแปลกของเธอที่บอกไปพร้อมกับเธอที่ส่งสายตามองมาที่ผม “คุณก็มาทานด้วยกันสิ” ……………………… พวกเราทั้งสี่คนนั่งอยู่ใต้ร่มไม้พร้อมกับถุงของกินที่กมลพัชรได้รับมา ก่อนเธอจะเปิดกล่องข้าวพร้อมกับเมล็ดสีเหลืองและมะม่วงสีทองเหลืองอร่ามที่ถูกส้อมชิ้นเล็กๆ ตัดแบ่งเป็นสี่เหลี่ยม “ผมไม่เคยกินข้าวกับมะม่วงเลยนะ …” “กินแล้วไม่ท้องเสียตายเหรอพี่? ” “สั่งเสียอะไรก่อนไหม พ่อแม่ผมจะได้รับรู้?” และหลังจากที่พวกเขาพูดจบก็โดนทุบหัวไปอีกรอบจนผมเห็นหัวลูกโนๆ ทั้งสามคนทันที “หุบปากแล้วชิมไปซะเถอะ! คุณก็ด้วย!” เธอมองมาที่ผมก่อนที่พวกเราทั้งสี่จะหยิบขนมชิ้นนั้นเข้าปากแม้กมลจะทำหน้ามุ้ยใส่ เพราะว่าอากาศร้อนหรือเปล่า แต่ความลงตัวของข้าวกับมะม่วงนั้นช่างลงตัว ผลไม้ที่หวานอมเปรี้ยวสุกและข้าวที่มีความหวานมันตัดกับเมล็ดสีทองที่รอยโปะหน้าข้าวของมัน ช่างอร่อย ผมไม่เคยกินขนมที่ให้ความสดชื่นมาก่อนเลย “อร่อย โคตรอร่อย พี่ผมอยากกินอีก —” มือข้างหนึ่งหมับเข้าไปที่ใบหน้าของเด็กน้อยที่บ่นโวยวายกับเด็กอีกสองคนที่ขอกินเพิ่ม ในขณะที่ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ “เป็นขนมที่น่าสนใจ คุณทำเองงั้นเหรอ? ” “อืม ฉันเลือกใช้ข้าวเหนียวเขี้ยวงูน่ะ แต่ว่าสามารถเพิ่มความอร่อยได้อีกนะ” ว่าแล้วเธอก็หยิบของจากในกระเป๋าออกมา ถ้วยเล็กๆ ที่มีน้ำขาวๆ เทราดกับข้าวเหนียว ท่ามกลางสายตาของพวกเราที่จ้องมองมัน “ลองทานแล้วชิมรสชาติของมันอีกรอบสิ” เธอพูดออกมาด้วยความภูมิใจก่อนที่พวกเราจะจิ้มข้าวเหนียวพร้อมกับมะม่วงอีกครั้ง สีหน้าของพวกเด็กๆ ดูปลื้มมากกว่าเก่า พร้อมกับผมที่รู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งนั้น “น้ำที่ราดกับข้าวนั้นคือ…? ” “กะทิน่ะ ถ้ามะม่วงหวานเกินไปสามารถกินตัดเลี่ยนกับน้ำกระทิและมูนได้นะ” ช่างน่าสนใจกว่าที่คิด และเชื่อแล้วว่าขนมของเธอสามารถชนะใจกับพวกชาวบ้านทุกคนแถวนี้ได้ ก่อนที่ผมจะหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความเอ็นดูตรงหน้าพร้อมกับฟังเรื่องราวของขนมที่เธอทำไปด้วยจนกระทั่งพระอาทิตย์นั้นใกล้ตกดิน พ่อแม่ของพวกเด็กๆ เริ่มมารับ และเธอก็บอกลาพวกเขาด้วยการเอาขนมบางส่วนจากของที่ชาวบ้านให้เธอมาแจกให้กับเด็กๆ “จะว่าไป ..อ่ะ ขอโทษนะที่ลืมถามชื่อคุณเลย” “อัลเบิร์ต เรียกผมว่าอัลเบิร์ต” ผมเรียกชื่อแฝงมากกว่าจะใช้คำว่า อัลเทเรียส ในขณะที่กมลพัชร พยักหน้าก่อนที่เธอจะหยิบของและตะกร้าบางส่วนโดยที่ผมก็ยื่นมือเพื่อที่จะแบ่งเบาภาระของที่เธอถืออยู่ด้วย สายตาของผมก็ยังจ้องมองมือข้างขวาที่ยังบวมแดงอยู่ “อ่า – ไม่ได้ไม่ชอบให้ผู้ชายมาช่วยหรอกนะ แต่ก็ ..ขอบคุณนะ” เธอไม่ได้ปฏิเสธอะไร ในขณะที่ใช้มือข้างหนึ่งยื่นของบางส่วนให้ก่อนที่พวกเราจะเดินลงจากภูเขา และได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันบางเรื่องด้วย “บ้านของคุณอยู่แถวไหนล่ะอัลเบิร์ต?” “อาณาจักรอื่น –ผมมาเที่ยวที่นี้ชั่วคราวน่ะ” ไม่ควรที่จะเล่าเรื่องราวของตัวเองมากเกินไปแม้เธอจะเปิดใจมากกว่าก็ตาม “อย่างนี้นี่เอง ฉันก็มาจากที่อื่นเหมือนกัน ..แล้วก็น้องชายฉันน่ะเก่งมากๆ เลยนะในการส่งขนมและช่วยเหลือคนอื่นน่ะ” ผมฟังเธอเล่าเรื่องน้องชายของเธอที่ชื่อชมณัฐ ดูเหมือนว่าพวกเธอทั้งสองจะมีกันแค่สองคน เพราะพ่อแม่ของพวกเธอทิ้งพวกเขาไปตั้งแต่เด็กๆแล้ว เลยจะต้องพึ่งพากันเอง โดยที่อาของพวกเขาได้ยื่นมือมารับอุปการะพี่น้องคู่นี้ไปด้วย ก่อนที่พวกเราจะถึงร้านขนมของเธอนั้น.. “ช่วยรอแปปนึงได้ไหม ? ” “หื้ม ได้สิคุณจะไปไหนน่ะ ” พวกเรายืนรอกันที่หอนาฬิกาโดยที่ผมวางของตรงม้านั่งเพื่อให้อีกคนได้รอก่อนจะเดินไปร้านขายยา พร้อมกับจ่ายยาโพชั่นสำหรับทาแก้ฟกช้ำตรงมือและเดินกลับมาหาคนที่รออยู่ “ถึงคุณจะปฏิเสธที่จะรับ แต่ได้โปรดให้ผมทายาได้ไหม? ” “ตอบแทนที่คุณให้ขนมผม ” กมลพัชรมองมาที่ผม พร้อมกับทำหน้าเกรงใจออกมา แต่พอเห็นแววตาของผม มองแล้วเธอคงยอมแพ้ที่จะดื้อดึงทำแบบนั้น และยอมนั่งลงม้านั่งโดยที่ยื่นมือที่บวมตอนนั้นมาให้ผมทา “คุณเป็นคนที่สามเลยนะที่ทำแบบนี้น่ะ” “แล้วคนแรกกับคนที่สองล่ะ ? ” “ลุงฉันและน้องชายฉัน” เธอยอมเล่าเรื่องของตัวเองโดยที่ผมคุกเข่าลงและบีบยาทามือตรงหน้าที่เธอยื่นให้ น้องชายของเธอที่ชื่อชมณัฐดูเหมือนจะเป็นคนที่เธอมักจะพูดชื่อบ่อยสุด ชมอยู่ตลอดว่าเป็นเด็กเรียนเก่ง และเล่นกีฬาได้ดี รวมทั้งเป็นคนที่ทุกคนคาดหวังมากที่สุด กับคุณลุงของเธอที่อุปการะพวกเธอท้ังสองคนจากปัญหาในชีวิตครอบครัว ผมชื่นชมในการที่เธอมองโลกในแง่ดีจริงๆ ก่อนที่เธอจะชวนผมคุยต่อ “ตาของคุณแปลกนะ แบบว่ารูปบวกหรือ –ไม้กางเขน ” “....” “เอ่อ – ถ้าเสียมารยาทขอโทษนะ…” “เปล่าเลย ผมแค่ไม่คิดว่าผมจะมีคนไม่กลัวดวงตาของผม” มือของผมขยับทายาบนมือของเธอต่อ น่าแปลกใจที่วันนี้ผมรู้สึกสงบใจและมีความสุขเล็กๆ กับขนมแปลกๆ ของเธอ รวมทั้งการได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับ [ดวงตา] ของผมที่เธอดูจะไม่เกรงกลัวด้วย กมลพัชรหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่บางสิ่งบางอย่างจะทำให้ผมชะงักไป เลือด หยดเลือดเล็กๆ ที่ไหลลงมาบนมือพร้อมกับใบหน้าของเธอที่เหมือนพึ่งจะรู้สึกตัวได้ตรงจมูกของเธอเหมือนเลือดกำเดาจะไหลออกมาหลังจากที่ผมพึ่งผลักมือออก กมลพัชรขยับมืออีกข้างขึ้นมาเช็คเสื้อผ้าของเธอราวกับว่าสิ่งที่เป็นตอนนี้คือเรื่องปกติ มันสร้างความตื่นตกใจให้ผมพอสมควรก่อนที่เธอจะรีบพูดตัดประโยคไป “–ให้ตายสิ ขอโทษคือมัน—” ผมหยิบผ้าเช็คหน้าจากกระเป๋ากางเกงรีบซับให้เธอทันทีแม้เธอจะทำท่าห้ามผมก็ตามก่อนที่จะมีเสียงของใครบางคนเรียกพวกเราจากด้านหลัง “ พี่ ? ” สายตาของผมหันกลับไปมอง ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลที่สวมกรอบแว่นสีดำที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับพี่สาวตรงหน้าที่ผมใช้ผ้าเช็คหน้าซับจมูกเอาไว้ดวงตาสีดำมืดมนนั้นจ้องมองผมราวกับกดดันให้ผมปล่อยมือออกจากตรงหน้านั้น “เฮ้ย ชมมาพอดีช่วยถือขอ-” “ปล่อยมือออกไปเดี๋ยวนี้” พี่สาวที่กำลังเรียกน้องชายอยู่นั้นเขาก็กลับดึงกระชากมือของผมออกไปโดยที่กมลพัชรที่กำลังทำหน้าอารมณ์ดีอยู่แม้เลือดจะไหลอยู่ถึงกับชะงัก แม้เขาจะเมินผมโดยที่หยิบถุงของฝากจากชาวบ้านและตะกร้าของพี่สาวด้วยมือข้างเดียวมองมาที่ผมราวกับไม่ชอบใจที่ผมมายุ่งกับเธอ “ ชม–เขามาช่วยฉันต่างหาก! ” “ไม่เชื่อ ท่าทางแบบนั้นเหมือนโจรที่จะลักพาตัวมากกว่า” หัวคิ้วของผมขมวดเล็กน้อยโดยที่ไม่พอใจกับสิ่งที่น้องชายพ่นคำสมประมาทออกมาแต่คนที่ผมห่วงตอนนี้คือคนข้างหลังมากกว่า “ถ้าคุณเป็นน้องคุณควรจะห่วงพี่สาวตัวเองมากกว่านี้” “ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่วันหลังไม่ต้องมายุ่งกับพี่ผม” ภาพลักษณ์ที่ผมฟังเรื่องราวของกมลพัชรที่บอกว่าชมณัฐเป็นเด็กดีนั้น ผมขอเปลี่ยนความคิดในตอนนี้ทันทีที่ได้เจอ คนตรงหน้านั้นช่างดื้อดึง และควรจะต้องสอนบทเรียนมารยาทจริงๆ ก่อนมือข้างหนึ่งที่จับผ้าเช็คหน้าของผมนั้นจะยกมือขึ้นมาปิดจมูกเอาไว้ พร้อมกับน้องชายของเธอที่ดึงตัวเธอกลับบ้านไปก่อนเธอจะตะโกนออกมาแม้ตรงจมูกของเธอจะแดงก็ตาม แต่กมลพัชรก็คลี่ยิ้มกว้างสดใสออกมา “อัลเบิร์ต ไว้เจอกันใหม่นะ … ! ” “ไว้เจอกันใหม่ กมล” เมื่อร่างของสองพี่น้องหายไปแล้วพร้อมกับผมที่เดินกลับปราสาท เหล่าอัศวินที่เฝ้าเวรคืนนี้ก็ได้ออกมาต้อนรับ ผมดีดนิ้วคลายเวทย์ที่เปลี่ยนสีผมและสีตาให้กลับมาเป็นแบบเดิมก่อนที่จะนั่งลงพร้อมลูบคางเล็กน้อยก่อนพ่อบ้านนั้นจะเห็นว่าผมคิดถึงอะไรบางอย่างเลยจึงถามออกมา “องค์ชายอัลเทเรียส มีอะไรหรือเปล่าครับ? ” “ ... ” “...อยากกินข้าวเหนียวมะม่วงจังนะ” “อะไรนะครับ? ” ……………………… “ นั้นใครครับ ? ” “ไม่รู้ แค่คนในหมู่บ้านแถวนี้ล่ะมั้ง” “หน้าตาไม่ไว้วางใจ พี่เลิกยุ่งกับคนไปทั่วที” คนที่นั่งอยู่หลังร้านพร้อมกับหายาให้พี่สาวมองมือของอีกฝ่ายที่เหมือนจะโดนทายาบนมือมาก่อนแล้วชมณัฐขมวดคิ้วสงสัยโดยทันทีและกมลพัชรที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็หยิบยาสองเม็ดขึ้นมาโยนเข้าปากตามด้วยยกขวดน้ำเปล่าขึ้นมาดื่ม ก่อนจะเงยหน้าโดยที่หยิบถุงน้ำแข็งมาประคบจมูกเอาไว้ “เออ ..แต่เหมือนคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่นะแบบว่าเหมือนเจอที่ไหนนะ” “…แต่ลืมแล้วแฮ่ะ ” ชมณัฐมองพี่สาวที่เหมือนจะนึกออกอะไรบางอย่างแต่พอเธอพูดว่าเหมือนลืมนั้น ก็ทำได้แค่ถอนหายใจออกมาเบาๆ “ผมเกือบลืมไปเลยว่ามีพี่ซื่อบื้อแถมขี้ลืมอีก ….” จบบทของหวานที่สี่ ………………………… ​ ข้าวเหนียวมะม่วง เป็นขนมหวานไทยยอดนิยม และจะได้รับความนิยมมากเป็นพิเศษในฤดูร้อน ทำจากข้าวเหนียว เช่น ข้าวเหนียวเขี้ยวงู มูนกับหัวกะทิ เกลือป่น และน้ำตาลทรายขาว แล้วกินกับเนื้อมะม่วงสุก ที่นิยมคือ มะม่วงอกร่อง และมะม่วงน้ำดอกไม้ อาจราดกะทิ และโรยถั่วบางชนิด แล้วแต่ชอบใจ https://th.wikipedia.org/wiki/ข้าวเหนียวมะม่วง ​
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD