ของหวานบทที่สอง: ผู้กล้าหอกกับขนมใส่ไส้
……..
……………
……………………
ผมกำลังคิดถึงชีวิตช่วงหนึ่ง
พรรคพวกเนี้ยมันจำเป็นไหมนะ? มิตรภาพด้วย หลังจากที่โดนคนในปาร์ตี้ทรยศครั้งแรกแถมโดนขโมยไอเท็มอีก และทิ้งให้ผมนอนหิวตายอยู่ในป่าหลังจากที่ตกลงว่าจะแบ่งของกัน เช้าวันรุ่งขึ้นก็หนีหายไปกันหมดแล้ว ทิ้งผมเดินทางผ่านป่าเขาสี่ห้าวัน
ผมคิดว่าไอ้คำผู้กล้าของดินแดนนี้ก็ดันมีเยอะซักด้วย แม้แต่จอมมารที่โผล่มาในโลกนี้ก็ดันเยอะเช่นกัน เหมือนกับว่าพระเจ้าหลายๆ คนกำลังแข่งอวดเรื่องราวการผจญภัยนิยายของพวกเขากัน
[ความภาคภูมิใจในการเป็นผู้กล้าของผมนั้นไม่มีเลยสักนิด]
นี้คือสิ่งที่ผมคิดอีกครั้งในขณะที่กำลังนอนกุมท้องเตรียมพร้อมที่จะตายเพราะความหิว
อย่างน้อยๆ ก่อนที่จะตาย..ก็ขอได้กินของอร่อยหน่อยเถอะ...
กี๊ซซซซ!
ผมเห็นพวกก็อบลินขนาดเล็กสองสามตัวที่หยุดยืนผมที่นอนกุมท้องอยู่ ก่อนที่มันจะแลบลิ้นออกมาและหยิบอาวุธขนาดเล็กของมันเอาไว้ มืออีกข้างของผมหยิบหอกสีเงินเอาไว้ในขณะที่ปล่อยไอความเย็นออกมา
“คิดว่ากลัวหรือไง"
วันนี้แม่งเป็นวันซวยของผมจริงๆ
ตึก ตึก
ใครบางคนกำลังวิ่งเข้ามาเหรอ?
ฝุ่บ!
ร่างของชายปริศนาที่สวมเสื้อกล้าม และสวมแว่นกรอบสีดำโปร่งใส พร้อมกับความเร็วอันรวดเร็ว พุ่งเข้าไปเตะก็อบลินตัวแรกนั้นทันที แรงของเขาพอที่จะเตะมันลอยขึ้นกลางอากาศได้ ตัวที่สองก็ยิงธนูตามใส่ชายหนุ่มคนนั้นจากด้านหลัง และเขาเหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่างอยู่สักอย่าง
“อันตราย!”
เขาฟังเสียงของผม พร้อมกับยกมือขึ้นมาจับมันเอาไว้ทัน ก่อนที่จะเขวี้ยงมันกลับราวกับมือของเขาได้กลายเป็นธนูหน้าไม้ ด้วยพละกำลังนั้นก็ทำให้ธนูพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของก็อบลินตัวที่สองติดต้นไม้จนเป็นรูทันที
หรือว่า..เขาก็เป็น [ผู้กล้า] เหรอ?
เพื่อนของมันอีกสองตัว ที่จากไปเรียบร้อยก็ทำให้ก็อบลินตัวที่สามรีบวิ่งหนีออกจากที่นี่ทันที ในขณะที่เขาปัดมือไปมาและหันมามองผม
“ขอบคุ-”
“ช่วยหลีกทางหน่อยได้ไหมครับ ผมจะตัดใบต้นกล้วยตรงนั้น” เขาชี้ทางด้านหลังผมในขณะที่ผมทำหน้าเอ๋อไปชั่วขนาดหนึ่ง..แล้วค่อยๆ หันหลังกลับไปมองด้านหลัง
สิ่งที่เขาตามหา...
ต้นกล้วยที่เป็นพืชที่มีประโยชน์แค่ออกผลไม้ก็เท่านั้นในเซนส์โยฮันท์ฟาว์นแต่ไม่ค่อยมีใครเอาไปใช้มันเท่าไหร่นอกจากออกผลไม้อร่อยเท่านั้นเอง แต่คนๆนี้กำลังบอกว่าจะตัดต้นกล้วยเหรอ? แปลกคนเหลือเกิน จะเอาใบพวกนี้ไปทำอะไร
โครก…!
“อย่างน้อยๆ ก็ขอข้าว..นายก็เป็นผู้กล้าใช่ไหม ขอข้าวหน่อยเถอะนะ!”
“ขอปฏิเสธครับ”
ดวงตาแสนเย็นชานั้น มองมาที่ผมในขณะที่เดินข้ามหัวผมราวกับเม็ดหินกรวดเขาหยิบมีดพกทำครัวขึ้นมา กรีดใบของต้นกล้วย
เป็นผู้กล้าด้วยกัน ที่ใจร้ายเกินไปแล้ว!
โครกกก…
หิวข้าว..
เสียงท้องร้องดังขึ้นอีกครั้ง ผมหมดสติไปทันที ในขณะที่ดวงตาใกล้จะปิดลงพร้อมกับแผ่นหลังของชายหนุ่มสวมแว่นที่ถือใบของต้นกล้วยจำนวนมากเดินหันหลังทำท่าจะกลับไปนั้นเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินนั้นเหมือนดูกำลังถามตัวเองอยู่ …
“ถ้าเป็นพี่..คงไม่อยากเห็นคนอดตายสินะ”
…………………………….
ความอ่อนนุ่มของบนเตียง พร้อมกับกลิ่นหอมๆ บางอย่าง ปะทะเข้ามาในจมูกผมโดยที่มีผ้าอุ่นๆ ทาบบนหน้าผาก ก่อนที่จะมีหญิงสาวผมสีน้ำตาลที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ กำลังถืออะไรบางอย่าง กลิ่นของไข่ไก่ฟูๆแผ่นสีเหลือง ที่โปะด้วยเม็ดข้าวสวยที่ทำเอาผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่พอสมควร
“ตื่นแล้วเหรอ? ลุกขึ้นมาทานข้าวก่อนทานยาไหม? ”
ผมหันไปมองชายหนุ่มคนนั้นที่จำได้ว่าเคยปฏิเสธที่จะช่วยกำลังหยิบเสื้อผ้าชุดนอนสีฟ้ามาวางเอาไว้ขณะเดียวกันก็เดินไปหยิบยาบนตู้ไม้สีน้ำตาลโทรมๆ และแก้วน้ำเปล่าใสๆ วางบนหัวเตียงไว้
ที่นี่…?
“บ้านฉันกับน้องชายเองแหละ ไอ้ชมลากนายกลับมาเห็นบอกว่าดูจะตายน่ะ”
อย่างน้อยๆ ผู้ชายตรงหน้าก็ยังใจดี .. ผมผงกหัวขอบคุณพี่สาวคนนั้นในขณะเดียวกันก็รับข้าวที่เธอทำเอาไว้ก่อนมือของผมจะค่อยๆหยิบช้อนกับส้อมตักอาหารตรงหน้าทันทีแต่ว่า...ก็รู้สึกลังเลอยู่บางอย่าง
“ ท่าทางคุณดูจะไปเจอเรื่องไม่ดีมา แต่พี่เขาไม่ใส่ยาพิษหรอกนะครับ ”
“ เฮ้ย มองฉันเป็นคนยังไงกัน !? ”
ผมสะดุ้งเล็กน้อยโดยที่คนเป็นพี่ชกท้องเข้าไปทางคนน้องที่ตั้งตัวไม่ทันก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นมากุมท้องเอาไว้
ใช่..ผมเคยถูกวางยาพิษจากพรรคพวกของผม คนที่ผมเชื่อใจมากที่สุด
มือของผมสั่นกลัว ในขณะเดียวกันที่ทั้งคู่มองมาที่ ผมราวกับกำลังเห็นใจและสงสารไปด้วย ก่อนผมจะฮึ้บน้ำตาอดทนเอาไว้ แม้จะเผลอคิดเรื่องแย่ๆไปแต่ว่าทั้งสองคนดูจะไม่ได้อันตรายอย่างที่คิด หากเขาไม่ลากผมกลับผมคงได้นอนตายในป่าจริงๆ ก่อนจะค่อยๆตักข้าวเข้าปากทันที
ความหอมของไข่ไก่และข้าวสวยร้อนๆ ทำให้ผมรู้สึกน้ำตาไหลออกมา เป็นอาหารที่ใช้วัตถุดิบแค่สองชิ้นแท้ๆ แต่ทำไมถึงให้ความอบอุ่นได้นะ
“อุ๊หว๊ะ..ร้องไห้ด้วยวะ”
“คนที่นี่ก็แปลกนะพี่ …”
ผ่านไปสิบนาที ที่ผมกินข้าวมื้อแรกหลังจากที่หิวโซมอยู่ในป่าหลายวัน ผมก็พนมมือโค้งขอบคุณอาหารนี้อย่างน้อยๆก็อยากขอบคุณชายหนุ่มและหญิงสาวก็นั่งดูแลอาการของผม
“ขอบคุณนะ ช่วยบอกชื่อของพวกเธอได้ไหม? ”
“ชมณัฐครับ”
“กมลพัชร”
พวกเขาเริ่มแนะนำตัวในขณะเดียวกันที่ชมณัฐก็ได้แนะนำขวดสีขาวเอาไว้ให้ ก่อนจะอธิบายยาเม็ดเล็กๆ
“หลังจากที่ทานยาแก้ไข้ก็นอนพักด้วยครับ”
“ขอบคุณอีกครั้งนะ..แต่ว่าขอถามอะไรหน่อยได้ไหม? ”
ผู้กล้าน่ะ จะมีพลังวิเศษที่เหมือนๆ กันนั้นคือ ‘มานา’ที่สามารถสัมผัสพลังในตัวของบุคลได้ แต่ว่าชมณัฐดูเหมือนจะทำสีหน้าไม่ชอบใจกับคำถามของผม ก่อนจะโดนกมลพัชรเอาศอกชนท้องอีกครั้งเพื่อตั้งใจฟัง
“นายเป็น’ผู้กล้า’หรือเปล่าชมณัฐ?”
ผมถามเขาในขณะเดียวกันที่กมลพัชรพยักหน้าให้ โดยที่ร่างของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลถอนหายใจยืนเท้าเอวเล็กน้อย
“ถ้าใช่ แล้วจะทำไม? ”
เขาตอบผมกลับทันทีโดยที่หญิงสาวที่ผมคิดว่ามีความใจดีและอ่อนโยนอยู่นั้นเธอเริ่มทำสีหน้ากังวลใจขึ้นมา
“เอ่อ..ไอ้ผู้กล้าที่ว่าเนี้ย ถ้าน้องชายฉันเป็นมันทำไมเหรอ ? แต่บอกชื่อของคุณหน่อยก็ดีนะ!”
“โทมัส ถ้าเป็นผู้กล้าจะต้องสมัครไปเป็นกิลด์นักผจญภัยขึ้นตรงต่อทะเบียนอาณาจักรนี้นะ น่าแปลกนะที่นายดูไม่สนใจคำว่าผู้กล้าเลยชมณัฐ …? ”
ใครๆ ก็อยากจะเป็น..
ใครๆ ก็อยากจะเป็นอย่างนั้นเหรอ? ทั้งๆ ที่ผู้กล้าก็มีมากมายแท้ๆ ก่อนหน้านั้นผมเกือบจะอดตายในป่าแท้ๆ
“ผมไม่อยากไป และไม่อยากเป็นด้วย”
ชมณัฐทำสีหน้าดูไม่สบอารมณ์ก่อนที่กมลพัชรจะรีบลุกขึ้นมาและรีบดึงมือน้องชายออกจากห้องทันทีโดยที่โผล่หัวออกมานิดนึงด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ฟังสบายใจ
“ไว้ค่อยคุยที่หลังก็ได้ ส่วนคุณน่ะพักและกินยาไปซะโทมัส!”
ก่อนเธอจะหายไปโดยที่ผมหยิบยาขึ้นมาดูแม้จะแอบลังเลนิดๆ ก่อนจะกระดกมันเข้าปากตามด้วยดื่มแก้วพร้อมมองรอบๆ ห้องนอนสี่เหลี่ยมก่อนจะครุ่นคิดเล็กน้อย
น่าแปลก ทำไมผู้กล้าคนนั้นถึงปฏิเสธกันนะ?
เพราะกลัวจะทิ้งพี่สาวไปงั้นเหรอ?
………………………………...
ผมตื่นมาในตอนกลางคืนก่อนที่จะได้กลิ่นขนมบางอย่างโดยที่เดินออกจากห้องนอนช้าๆ และลงมาตรงบรรไดชั้นล่างก่อนจะชะโงกใบหน้ามองตรงประตูห้องครัวที่เผยแผ่นหลังของพี่น้องทั้งสองคนที่กำลังคุยกันอยู่
“ดูยุ่งยากจังวะผู้กล้าน่ะ”
“เพราะแบบนี้ผมถึงไม่อยากเป็นไงล่ะ”
“เฮ้ย แล้วถ้ามันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นล่ะ? แบบจอมมารล้างโลกไรงี้ ผู้กล้าก็ต้องช่วยผู้กล้ากันเองดิวะ ? ”
“พี่ จำครั้งล่าสุดที่มีจอมมา--”
กมลพัชรหันไปมองผมที่ยังยืนมองทั้งคู่ โดยที่ชมณัฐที่กำลังพูดอะไรบางอย่างก็ปิดปากทันที ผมมองมือที่เคยรับอาวุธของก็อบลินเปล่าๆ ที่ตอนนี้เขากำลังตัดใบของพืซต้นกล้วย
“ทำอะไรกันอยู่น่ะ? ”
“ขนมใส่ไส้น่ะ คุณเคยทานไหม? ”
ขนม… อะไรนะ?
เธอพูดโดยที่หันกลับมานวดแป้งข้าวเหนียวต่อ ตามด้วยชมณัฐที่ทำสีหน้าทะมึนใส่ผมที่เหมือนจะสื่อสารผ่านกระแสจิตว่า ‘ตื่นก็มาช่วยตัดใบกล้วยเดี๋ยวนี้ ’ อย่างน้อยๆ ก็ต้องตอบแทนผู้มีพระคุณล่ะนะ
ผมนั่งลงอีกฝั่งพร้อมชมณัฐก็ยื่นมีดให้ผมตัด ก่อนจะสอนการตัดแผ่นใหญ่ใบตองขนาดประมาณ 5X9 เซนติเมตร และแผ่นเล็กขนาดประมาณ 4X6 แม้มันจะสร้างความงงๆ กับผมก็เถอะ ผู้กล้าจะต้องทำของอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ?
[ทำเดี๋ยวนี้]
ผมคิดว่าชมณัฐเป็นผู้ชายน่ากลัวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน …?
เสียงหัวเราะของกมล มองมาที่พวกเราสองคนในขณะเดียวกันเธอก็เริ่มจะผสมแป้งข้าวบางอย่างและเกลือป่น กับน้ำสีขาวแปลกๆพร้อมกับใช้ช้อนคน ให้ละลายเข้าด้วยกัน แถมเทใส่ในกระทะทอง ใบสีเหลืองรูปร่างที่ดูเป็นหม้อขนาดใหญ่ด้วย โดยที่เธอใช้ไฟปานกลางกวนมันไปด้วยจนข้น กลิ่นของมันทำผมรู้สึกหิวขึ้นมาทันทีก่อนเธอจะปิดเตาพร้อมยกมันมาพักเอาไว้
“ใบกล้วยมันสามารถห่อได้ด้วยเหรอ? ”
“เขาเรียกว่าใบตองครับ”
“ห่อได้สิ ถ้าเราตัดขนาดมันเป็นสามเหลี่ยมและเช็คให้มันสะอาดก่อนจะห่อมันน่ะ”
“อาณาจักรนี้เขาไม่ได้สนใจต้นกล้วยกันหรอกนะ ..แค่ออกผลไม้ให้มันก็ดีเท่าไหร่แล้ว” กมลพัชรดูตั้งใจฟังผมที่เสนอความคิดมุมมองของผมไป โดยที่เธอฟังผมไปด้วยและหยิบมะพร้าวสองสามลูกมาแกะด้วยมือบางๆ ของเธอ ก่อนจะใช้เครื่องมืออาวุธครัวแปลกๆแท่งที่มีเหล็กรูๆ มาขูดใส่ลงกระทะอีกใบที่เตรียมไว้
ผมที่กำลังคุยกับเธอก็เหลือบมองตะกร้าของชมณัฐที่ทำกองใบตองที่ตัดเอาไว้เสร็จเรียบร้อยแล้วผมชะงักทันที แค่เวลาแปปเดียวก็ทำแผ่นชิ้นใหญ่ และแผ่นชิ้นเล็กเสร็จแล้วเหรอ?
“พี่ เสร็จแล้วนะ”
“ฝากนวดแป้งข้าวเหนียวต่อที”
พวกเขาดูทำขนมเก่งกันจริงๆ แถมยังตอบรับกันรวดเร็วด้วย ก่อนที่ผมจะรีบพยายามตัดใบตองใส่กองของน้องชายคนนั้นและวางไว้ทันทีโดยที่ชมณัฐเดินไปเปิดตู้เย็นพร้อมกับหยิบเจ้าใบตองที่ถูกแช่กล่องใบใหญ่มาวางเอาไว้
“เดี๋ยว- แล้วใบตองพวกนี้ล่ะ ? ”
“เตรียมเอาไว้ตากพรุ่งนี้เช้าตอนตี 5 ครับช่วยตื่นมาให้ทันด้วยล่ะกัน”
“ทำไมถึงเตรียมตั้งแต่หัวค่ำล่ะ!? ”
“ ขี้เกียจเดินป่าครับ ” ชมณัฐพูดออกมาด้วยสีหน้าขี้เกียจก่อนที่กมลพัชรจะพยักหน้าว่าตามน้องชาย
นี้ผมกำลังโดนใช้แรงงานอยู่หรือเปล่านะ?
จนกระทั่งเวลาผ่านไปได้สักพักหลังจากที่พี่น้องคู่นี้ทำเสร็จแล้ว ขนมที่พวกเขาทำคือ [ขนมใส่ไส้] ที่จะขายของกันหน้าร้านพรุ่งนี้
…………………………..
ตีห้าผมก็ต้องตื่นมาช่วยพี่น้องคู่นี้ทำขนมขายเตรียมเอาไว้ โดยที่ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลนั้นก็สั่งให้ห่อขนมไปด้วยในขณะเดียวกันเขาก็หยิบขนมรูปร่างและสีสันที่น่าแปลกตามาใส่กล่องพลาสติกทีล่ะอันอย่างรวดเร็ว ผมมองรูปร่างของชมณัฐที่สวมใส่ผ้ากันเปื้อนสีดำพร้อมกับเสื้อยืดคอกว้าง และกางเกงยีนส์สีน้ำเงินไปด้วย ในขณะเดียวกันที่เขาเหมือนจะรู้สึกได้ว่าผมมองเขาอยู่
“มีอะไรหรือเปล่าครับ? ”
“ตอนนั้นที่บอกว่าไม่อยากเป็นผู้กล้าน่ะ..ไม่อยากจะทิ้งพี่ไปเหรอ? ”
กึก ..
ดวงตาของชมณัฐดูกำลังกลัวแต่เพียงแค่เสี้ยววิเขาก็ทำสีหน้าเรียบนิ่งใส่ผมทันที
แต่ทันใดนั้น...
พลังสีดำจากด้านหลังพร้อมกับสองมือที่กำแน่นมองมาที่ผมราวกับกำลังข่มขู่ที่จะฆ่าผมที่ถามคำถามนี้กับเขา
“ถ้าคิดที่จะมาชวนไปเป็นพรรคพวกด้วย ขอปฏิเสธครับ”
ผลั๊วะ!
“เฮ้ย ทำไรกันนานจังวะ” กมลพัชรโผล่มาจากด้านหลังทุบหัวน้องชายที่ทำหน้าทำตาน่ากลัวใส่ผมโดยที่เธอใส่เสื้อเชิ้ตสีชมพู และผ้ากันเปื้อนขาวกับกางเกงสามส่วนสีดำและยืนเท้าเอวมองพวกเรากัน
“ชม เองรีบไปวางของหน้าร้านเลย โทมัสคุณก็ด้วย”
ผมพยักหน้ารับฟังคำสั่งของเธอ ทันทีหลังจากที่น้องชายคนนั้นลูบหัวด้วยความเจ็บปวดก่อนที่ผมจะกลายเป็นคนที่โดนทุบหัวเป็นคนรายต่อไปนั้น ก็รีบหยิบกล่องขนมที่ชมณัฐใส่กล่องไปด้วยปล่อยให้สองพี่น้องคู่นี้ได้พูดคุยกันไปก่อนดีกว่า
ผมที่พยายามเดินดูในร้านและอ่านป้ายภาษาตัววงกลมๆ ไปมาอยู่หลายอันด้วยท่าทางสับสนเล็กน้อย ผู้กล้าอย่างผมตอนนี้ต้องมาเป็นคนใช้ ให้พี่น้องสองคนนี้เหรอ? แปลกจังแฮ่ะ ไอ้ตัวคำว่าขนมทับ..ทิมคืออะไรที่มีป้ายเขียนน่ะ ?
“อ่ะ .. ลืมไปว่าคุณคงไม่รู้ตอนวางขนมล่ะมั้ง เอามาให้ฉันดีกว่า” กมลพัชรเดินออกมาจากหลังร้านโดยที่หยิบกล่องขนมพร้อมกับเดินไปวางขนมแต่ล่ะอันตรงโต๊ะที่มีป้ายเขียนเอาไว้
“อย่างน้อยๆ ก็สอนฉันเรื่องภาษาของขนมนี้ไปด้วยล่ะกัน”
ผมไม่ใช่คนที่เรียนรู้ได้ช้า กลับกันถ้าได้เรียนรู้อะไรหลายๆได้อย่างน้อยๆก็คงสามารถใช้ชีวิตใหม่ๆ เช่นกัน กมลพัชร มองมาที่ผมท่าทางดูกำลังคิดเรื่องที่จะสอนผมก่อนที่จะพยักหน้า พร้อมกับชี้ขนมบนป้ายชื่อแต่ล่ะอัน
“ฝอยทอง”
“ทับทิมกรอบมะพร้าวอ่อน”
“ข้าวต้มมัด”
ชื่อขนมสุดพิศดารจากการวางแต่ล่ะป้ายทำเอาผมที่ตั้งใจฟังเริ่มตามไม่ทัน ทั้งๆ ที่ไอ้ขนม ‘ลูกชุบ’นั้นกลับเป็นผลไม้สีสันชิ้นเล็กๆ แต่มันกับเป็นขนมชื่อลูกชุบ ทำไมกัน?
“ถือของระวังหน่อยสิ คุณน่ะ”
กมลพัชรทำสีหน้าดูจะไม่พอใจ ที่ผมกำลังทำหน้างงกับชื่อขนมของพวกเขาโดยที่เธอเดินไปวางตรงมุมต่างๆ ก่อนที่จะเหลือขนมสุดท้าย นั้นคือขนมใส่ไส้ที่ห่อใบตองเอาไว้
“อยากลองชิมดูไหมคุณน่ะ? ”
“เอ๊ะ? ” ผมมองเธอที่เหมือนจะเห็นผมดันสนใจขนมชิ้นนี้อยู่ก่อนฝ่ามือเรียวบางเริ่มหยิบขนมชิ้นเล็กที่เตรียมไว้วางลงบนมือของผม
“ชิมดูเถอะน่า ตอบแทนที่คุณมาช่วยเรา”
เธอกำลังกดดันผมอยู่หรือเปล่า? ก่อนที่ผมจะยอมแพ้เพราะสายตาคู่นั้น และก็ได้ลองชิมขนมนี้โดยการหยิบไม้จิ้มฟันออกมาและคลี่ใบตองสีเขียวแห้งออกมาช้าๆ มองขนมใส่ไส้ที่ด้านในเป็นเนื้อสีขาวสี่เหลี่ยมชิ้นเล็ก และมีก้อนเนื้อสีน้ำตาลเข้มด้านในผมค่อยหยิบขนมชิ้นนั้นเข้าปากทันที
เนื้อด้านในสีน้ำตาลเหมือนมีสิ่งที่อยู่ด้านในจะเป็นฝอยมะพร้าวอ่อนๆ ผมที่ได้เห็นกมลพัชรทำไปเมื่อคืน ก็สัมผัสได้ถึงเนื้อด้านนอกของแป้งข้าวที่ดูเหนียวๆ ความหอมหวานและหวานมันนั้นดูกลมกลืนเข้าด้วยกัน แม้รสชาติความเค็มเล็กๆจะติดอยู่ปลายลิ้นของมันก็ตามดวงตาของผมเปล่งประกายขึ้นมาทันที ขนมใส่ไส้อร่อย!
“ใช้ได้หรือเปล่า? ”
“อร่อยสุดๆ ไปเลย!”
เธอหัวเราะออกมา โดยที่ชมณัฐก็เดินไปเปิดประตูหน้าร้านพร้อมกับแขวนป้ายว่า'open'เอาไว้ ผมเริ่มที่จะได้ยินเสียงคนนอกเริ่มเข้ามาในร้านแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กและชาวบ้านในเมืองที่ท่าทางจะรู้จักสองพี่น้องคู่นี้ ก่อนน้องชายของกมลพัชรจะเป็นคนออกไปต้อนรับ และแนะนำเมนูขนมหวานวันนี้
ถึงจะเป็นขนมชิ้นเล็กๆ แต่มันก็มีกับทำให้ผมมีไฟลุกสู้ขึ้นมานะ
มันคงถึงเวลาจะลองเปลี่ยนแปลงตัวเองนะ
ผมพักอยู่ที่นี้นานไม่ได้หรอกนะ
“ฉันคิดว่าจะไปเย็นนี้ ขอบคุณสำหรับขนมอร่อยนี้ด้วยล่ะ”
“โชคดีล่ะ ขอให้การเดินทางของคุณปลอดภัยนะ”
“แต่ว่าขอถามก่อนไปได้ไหม? ..เรื่องน้องชายของคุณน่ะ”
“ว่ามาสิ” กมลพัชรคลี่ยิ้มออกมาโดยที่ยังคงฟังคำพูดของผมอยู่
“ถ้าน้องชายของคุณเลือกที่จะไป คุณจะปล่อยเขาไปไหม? ”
รอยยิ้มที่เผยออกมาชั่วขณะหนึ่งนั้นหายไปทันทีก่อนที่เธอจะเปลี่ยนสีหน้าเศร้าๆเล็กน้อย เสี้ยววินาทีที่ผมเห็นเหมือนเธอจะดูเตรียมใจอยู่เหมือนกัน
“ก็ปล่อยอยู่แล้ว ที่นี้มีอะไรหลายๆ อย่างที่มันน่าจะทำได้”
“งั้นเหรอ” มันทำให้ผมนึกถึงโลกใบเดิมของผม
“พี่ครับ คุณยายเขาอยากได้ขนมไข่ 1 กล่อง”
“รู้แล้วหน่า”
ชมณัฐเรียกพี่สาวของเขา ในขณะเดียวกันที่เธอชกไหล่ผมเบาๆ ก่อนจะเกาหัวตัวเองและเดินออกมาโดยที่หันกลับมามองผมอีกครั้งด้วยรอยยิ้มที่ดูสดใส
“ถึงยังไม่รู้อนาคตข้างหน้านี้ก็เถอะ”
“แต่ [ครอบครัว] เขาจะไม่มีวันทิ้งกันหรอกนะ”
คำว่าครอบครัวของพวกเขาดูจะเป็นสิ่งที่ยึดเหนียวกัน ผมมองพี่น้องคู่นี้พร้อมกับรอยยิ้มที่เผยออกมาต้อนรับลูกค้า ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆยืนมองพวกเขาจากด้านหลัง
ครอบครัว..มันก็สำคัญจริงๆ แหละนะ
…………………………..
“ให้เขาไปฟรีๆจะดีเหรอครับ? ”
“ใครให้ฟรี? ติดเงินเราต่างหาก เดี๋ยวก็แวะมาแน่นอน”
กมลพัชรโบกมืออยู่ด้านในร้าน ตรงมุมกระจกให้กับชายหนุ่มผิวสีขาวนวลผมสีน้ำเงินประบ่าที่มีรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนสวมชุดเกราะเหล็กสีเงิน พร้อมหอกที่แบกไว้ด้านหลังโดยที่มือข้างซ้ายถือถุงใส่ขนมใส่ไส้ที่ห่อใบตองสองสามชิ้นเอาไว้และก็โบกมือลาพี่สาวของเขากลับเช่นกัน แม้ชมณัฐจะไม่ได้โบกมือลาเขาแต่ก็ยังส่งสายตามองอยู่ถึงในมือยังคงอ่านหนังสือการ์ตูนไปด้วยก็ตาม
“พี่มั่นใจเหรอ? ”
“พนันด้วยขนมกล้วยบวชชีไหมล่ะ นี้เป็นการตลาดนะให้ของอร่อยๆ ไปเดี๋ยวก็กลับมา”
“ได้ ถ้าเขากลับมาซื้อของเราต่อนะ”
จบบทของหวานที่สอง
…………………………..
"ขนมใส่ไส้" หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ขนมสอดไส้" เป็นขนมไทยที่ใช้ในพิธีขันหมากในสมัยโบราณ ขนมใส่ไส้นี้ห่อด้วยใบตองแล้วมีเตี่ยวคาด (เตี่ยวก็คือทางมะพร้าว) ห่อเป็นทรงสูง ขนมใส่ไส้มีกลิ่นหอมและหวานจากตัวไส้
https://sites.google.com/site/thaidessertsbytp14/khnm-sxdsi
…………………………