หลังจากเทศกาลโคมไฟผ่านพ้นไป เซียวจิ้งได้แต่คิดในใจว่าเขาจะต้องมองจางเหมี่ยวลี่ใหม่แล้ว
ตั้งแต่นางฟื้นจากความตายก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน เขาไม่เชื่อเรื่องที่ว่าจะมีผีหรือวิญญาณมาสิงร่างนาง และไม่เชื่อว่าคนเราจะเปลี่ยนไปได้เพียงชั่วข้ามคืน
นี่คือปริศนาที่ทำให้เขาสงสัย เพราะนางคือหญิงสาวที่ต้องแต่งเข้ามาเป็นภรรยาของเขา หากวันดีคืนดีนิสัยเดิมของนางกลับมา เขาคงปวดหัวไม่น้อยเพราะฉะนั้น เขาจึงอยากจับตาดูนาง ดูว่าทุกสิ่งที่เป็นไปในยามนี้เป็นเพราะนางเสแสร้งแกล้งทำหรือไม่
เมื่องานสมรสพระราชทานยังไม่ได้กำหนดวัน เสด็จลุงเห็นใจที่เขาต้องแต่งงานทั้งที่ไม่เต็มใจ จึงถือเอาฤกษ์สะดวก แม่ทัพใหญ่จางเองก็ไม่อยากจะเร่งรัดเขา จึงรอเพียงวันใดที่เขาพร้อมแล้วค่อยแต่งก็ย่อมได้
เมื่อคิดถึงเรื่องที่นางขอเลื่อนการแต่งงาน ในใจของเซียวจิ้งคิดว่า ถือเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย ระหว่างที่เลื่อนงานออกไปนั้นเขาจะได้จับตาดูความเป็นไปของนางได้ยาวนานขึ้น
วันเวลาล่วงเลยมา จนถึงวันที่ใกล้จะเปิดรับสมัครทหารหญิง เจี่ยงหร่านในจางเหมี่ยวลี่นำเรื่องนี้ไปบอกกับบิดาของตน แม่ทัพใหญ่จางนั้นนอกจากจะไม่คัดค้านแล้วยังสนับสนุน เพียงแต่ว่านางใกล้แต่งงานแล้วเขาจึงคิดว่าอย่างไรเรื่องนี้ควรปรึกษาหารือกับเซียวจิ้งเสียก่อน
ส่วนจางฮูหยินนั้น แม้ไม่เห็นด้วยแต่กลับไม่กล้าเอ่ยปากทักท้วง และในความคิดของจางเฉวียนคิดว่าน้องสาวคงอยากเข้าค่ายทหารเพียงเพราะอยากให้เซียวจิ้งประทับใจ หากนางฝึกไม่ผ่านย่อมถูกคัดออกมาเอง
ยิ่งใกล้วันเปิดรับสมัคร เจี่ยงหร่านก็ยิ่งอยู่ไม่เป็นสุข เป้าหมายของนางยังไม่อาจทำได้สำเร็จ นางเองจึงยังไม่อยากผูกชีิวิตตนเองเอาไว้กับบุรุษใดทั้งสิ้น
เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงมารอพบเซียวจิ้งที่เหลาสุราจิ๋นฮวา เดิมทีคิดจะไปหาเขาที่ตำหนักชินอ๋องก็คิดว่าคงจะไม่เหมาะสมเท่าใดนัก
หลังจากที่ได้มาอยู่ในร่างนี้ นางก็ได้พบว่าแท้จริงแล้วเขาคือบุตรชายของชินอ๋อง มีฐานะเป็นซื่อจื่อผู้สูงศักดิ์ และยังเป็นหลานชายคนโปรดของฮ่องเต้ ตอนแรกนางคิดว่าเขาเป็นเพียงบุตรชายจากตระกูลแม่ทัพแล้วมีความดีความชอบเพียงเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าจะเป็นถึงเชื้อพระวงศ์
ท่านลุงหม่าที่เห็นว่าจางเหมี่ยวลี่มาที่เหลาสุราอีกแล้ว เขาก็ถึงกับปาดเหงื่อ ภาวนาว่าวันนี้อย่าให้สตรีนางใดโผล่หน้ามาเลย ไม่อย่างนั้นเกรงว่าเหลาสุราอาจจะเหลือเพียงแค่ชื่อเท่านั้น
เจี่ยงหร่านคงไม่คาดคิดว่า นางจะกลายเป็นตัวอันตรายในสายตาของทุกคนขนาดนี้
นั่งรออยู่นานแล้วก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเซียวจิ้ง เจี่ยงหร่านจึงเดินไปถามท่านลุงหม่าทันที
"ท่านลุง ไม่ทราบว่าเมื่อใดท่านพี่จิ้งจะมาหรือเจ้าคะ ข้ามีเรื่องอยากจะพูดคุยกับเขา"
ท่านลุงหม่าสะดุ้งโหยง ทุกครั้งที่พบกับแม่นางน้อยท่านนี้ นางมักจะเรียกเขาว่าตาแก่น่ารำคาญหรือไม่ก็ตาแก่หัวล้าน แต่วันนี้กลับเรียกเขาว่าท่านลุง พูดจาดีผิดวิสัย ในใจคิดจะเผาเหลาสุราหรือไม่นะ!
ด้านเจี่ยงหร่านนั้นมิได้คิดก่อเรื่องนอกจากการอยากพบเซียวจิ้ง ท่านลุงหม่าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วตอบไปว่า
"คือว่า ตอนนี้ซื่อจื่อกำลังพักอยู่ที่ด้านบนชั้นสาม ข้าจะรีบให้คนไปเชิญมาขอรับ"
"บอกเขาว่าข้ารอที่ห้องรับรองชั้นสอง อ้อ ขอสุราแรงมาหนึ่งกา ข้าเปรี้ยวปากยิ่งนัก"
พูดจบนางก็เดินขึ้นไปรอที่ห้องเดิม ท่านลุงหม่าแม้ในใจจะสงสัยแต่ก็สั่งให้คนนำสุราไปให้นาง เมื่อสุรามาถึงแล้ว เจี่ยงหร่านก็เทใส่จอกและยกขึ้นดื่มพบว่า รสชาติสุราของที่นี่ดีและถูกปากนางไม่น้อย
ด้านข้างกาสุรามีถั่วอยู่ในจาน นางยื่นมือไปหยิบถั่วขึ้นมากินก่อนจะอ้าปากกัดเปลือกและถ่มถุยเปลือกไปที่พื้น เป็นจังหวะเดียวกับที่เซียวจิ้งเดินเข้ามาพอดี
ภาพสตรีใบหน้างดงาม มือหนึ่งถือจอกสุรา มือหนึ่งถือถั่ว อีกทั้งยังถ่มถุยเปลือกลงไปที่พื้น มันทำให้เซียวจิ้งถึงกับพูดไม่ออก
เจี่ยงหร่านที่เห็นว่าเซียวจิ้งมาถึงแล้ว นางก็ดีใจเป็นอย่างมาก รีบเดินเข้าไปหาหมายจะดึงตัวเขาให้นั่งลง แต่ว่าเซียวจิ้งกลับเบี่ยงกายหลบเลี่ยงและนั่งลงที่โต๊ะริมหน้าต่างแทน อีกทั้งยังปรายตามองเปลือกถั่วที่นางถ่มถุยทิ้งไว้ ด้วยแววตาที่รังเกียจอย่างไม่ปิดบัง
"จางเหมี่ยวลี่ ไม่เจอกันเพียงไม่นาน นอกจากสมองเจ้าจะมีปัญหาแล้ว ยังสกปรกอีกด้วย สตรีที่ใดกันถุยเปลือกถั่วเช่นนี้"
เจี่ยงหร่านจิ๊ปากคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"ท่านนี่ขี้บ่นเสียจริง ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าท่านจะพูดมากเช่นนี้"
"มาหาข้ามีเรื่องอันใด"
เขาเข้าบทสนทนาทันที เพราะไม่อยากจะอยู่กับแม่นางน้อยที่สกปรกเช่นนี้นานๆ
เจี่ยงหร่านยกจอกสุราขึ้นดื่ม กล่าวขึ้นมา
"เรื่องเดิม ข้าจะสมัครเข้าค่ายทหาร ท่านคิดได้หรือยังว่าจะเลื่อนงานแต่งได้นานเท่าใด"
เซียวจิ้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็จ้องมองจางเหมี่ยวลี่ แล้วซักไซ้
"เจ้ายังไม่ล้มเลิกความคิดอีกหรือ"
"ไม่มีทาง ข้าตั้งใจดีแล้ว"
"ข้าไม่เห็นด้วย"
เจี่ยงหร่านถอนหายใจดังๆ ออกมา คิดเอาไว้แล้วว่าเขาจะต้องพูดเช่นนี้ แต่นางจะไม่ละความพยายามหรอก
"นี่ท่านพี่จิ้ง ท่านคิดดูให้ดีนะ เกิดว่าระหว่างที่ข้าเข้าค่ายทหารแล้วท่านเจอสตรีที่งดงามก็สามารถยกเลิกงานแต่งได้”
"สมรสพระราชาทานไม่อาจยกเลิกได้!"
"หากว่าคนสองคนไม่ได้มีใจชอบพอกัน ฮ่องเต้คงไม่บังคับกระมัง อีกอย่างท่านก็เป็นหลานชายคนโปรด ฮ่องเต้ย่อมตามใจท่าน"
"เหลวไหลสิ้นดี เจ้าหยุดกล่าววาจาเหลวไหลได้แล้ว กลับไปซะ"
เจี่ยงหร่านจ้องมองเซียวจิ้งแวบหนึ่ง ก่อนจะบ่นพึมพำ
"โน่นก็ไม่ดีนี่ก็ไม่ได้ น่าเบื่อเสียจริง"
เซียวจิ้งที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะ ออกมา
"เหตุใดจึงอยากเข้าค่ายทหาร หรือว่าคิดจะทำให้ข้าชอบเจ้าจึงลงแรงเช่นนี้ ข้าบอกเอาไว้ตรงนี้เลยว่าไม่มีประโยชน์"
"เลิกหลงตนเองสักทีเถอะท่านพี่จิ้ง ข้าเบื่อจะฟังท่านพูดเรื่องพวกนี้แล้ว ข้าแค่รู้สึกอยากจะทำตัวให้มีประโยชน์บ้าง ไม่มีเหตุผลอื่นใดทั้งนั้น หากท่านไม่สนับสนุนก็ไม่เป็นไร ข้าจะหาทางเอง!"
กล่าวจบนางก็ทำท่าจะลุกหนี ทว่าเซียวจิ้งกลับพูดขึ้นมาเสียก่อน
"หนึ่งปี"
"หือ"
"หนึ่งปีเท่านั้น หากไม่ได้เรื่องได้ราวและสร้างปัญหาในค่ายทหาร ข้าจะเป็นคนไล่เจ้าออกไปเอง สมรสพระราชทานเลื่อนเวลาออกไปได้แต่ไม่อาจยกเลิก เจ้ากับข้าชะตาฟ้าลิขิตเอาไว้แล้วว่าไม่อาจหนีการแต่งงานได้ เพราะอย่างนั้นเจ้าจงช่วยทำให้ข้าปวดหัวน้อยลงหน่อยเถิด"
เมื่อได้ยินดังนั้น เจี่ยงหร่านก็ยิ้มจนนัยน์ตาโค้งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว หนึ่งปีนับว่าเพียงพอแล้ว เพียงพอแล้วจริงๆ
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงตอบกลับทันควัน
"ท่านทำถูกแล้ว สหาย… เอ่อท่านพี่จิ้ง ท่านทำถูกแล้ว มาดื่มสุราด้วยกันสักจอกดีหรือไม่ ฉลองให้กับการค้าครั้งนี้ของเรา"
"ไร้สาระ"
"สักจอกเถอะน่า!"
เจี่ยงหร่านเดินเข้าไปหาเซียวจิ้งพร้อมถือกาสุราและจอกสุราเอาไว้ในมือ แต่นางกลับสะดุดลื่นเปลือกถั่วที่ตัวเองถ่มไว้ที่พื้น กาในมือจึงส่ายอย่างรุนแรง ฝากาสุราเปิดออก สุราในมือสาดกระเด็นไปโดนใบหน้าของเซียวจิ้งเข้าเต็มๆ
เซียวจิ้งยกมือขึ้นเช็ดใบหน้าตน กลิ่นสุราคละคลุ้งไปทั่วทั้งเรือนร่างเขา ที่สำคัญเขาเพิ่งอาบน้ำมาด้วย
เจี่ยงหร่านที่ได้เห็นเช่นนั้น ก็ตกใจรีบขอโทษทันที
"ขออภัยด้วยข้าไม่ได้ตั้งใจ มารดามันเถอะ กาสุราบัดซบ เวรเอ๊ย! เวรจริงๆ กาสุราสารเลว ข้าจะทำโทษมันเอง"
เอ่ยจบนางก็โยนกาสุราขึ้นก่อนจะยกเท้าเตะมันกระเด็นออกไปที่นอกหน้าต่างราวกับกาสุรานั้นเป็นลูกหนังก็ไม่ปาน
เซียวจิ้ง "...."
ให้ตายเถอะ โชคดีที่นางเตะเป็นกาสุราไม่ใช่หน้าเขา!