บทที่ 13 เข้าร่วมค่ายทหาร

1409 Words
หลายวันต่อมาก็มีราชโองการจากราชสำนักออกประกาศเปิดรับสมัครสตรี ที่มีความสามารถจากทั่วทั้งแคว้นฟงหลิง เข้ามาเป็นทหารหญิงในค่ายทหาร ซึ่งถือเป็นครั้งแรก การเปิดรับสตรีเข้าค่ายทหารมี กฎระเบียบระบุเอาไว้ว่า หญิงสาวที่จะเข้าร่วมต้องยังไม่แต่งงาน มีอายุไม่เกินยี่สิบปี เมื่อพวกนางผ่านการคัดเลือกรอบแรกแล้ว จะต้องเข้าไปฝึกในค่ายทหารหญิงที่จัดเตรียมให้สตรีโดยเฉพาะ เมื่อฝึกฝนจนผ่านทุกด่านได้แล้ว ก็จะได้รับพระราชทานตำแหน่งในราชสำนักหรือเข้าร่วมกองทัพแห่งแคว้นออกรบกับบุรุษได้ ต่างมีเสียงวิพากวิจารณ์กันไปต่างๆ นาๆ ว่าเป็นผู้หญิงจะไหวหรือ อีกทั้งการฝึกก็เหมือนกับบุรษทุกอย่าง ที่สำคัญแม่ทัพใหญ่จางและรองแม่ทัพเซียว ก็มาคุมการฝึกซ้อมด้วยตนเอง การฝึกทหารหญิงค่อนข้างเข้มงวดไม่ต่างจากบุรุษเลยด้วยซ้ำ เจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ นางแต่งกายอย่างทะมัดทะแมง จัดการรวบผมขึ้นเป็นทรงหางม้า ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสถานที่รับสมัครทหารหญิงในทันที เมื่อมาถึงก็พบกับหญิงสาวมากมายที่มาสมัคร พวกนางล้วนไม่ได้มีหน้าตางดงาม แต่ร่างกายกลับกำยำบึกบึนกว่าสตรีน้อยใหญ่ในเมืองหลวง อีกทั้งยังดูมีพละกำลังมากมายอีกด้วย เหล่าหญิงสาวที่มาร่วมสมัครต่างมองดูจางเหมี่ยวลี่เป็นตาเดียว ด้วยเพราะนางงดงามสะดุดตา ผิวพรรณก็ขาวเนียนละเอียด รูปร่างบางระหง หากเข้าค่ายทหารไม่เกินสามวันคงร้องไห้โฮกลับบ้านไปเป็นแน่ แต่จางเหมี่ยวลี่ไม่ได้สนใจ ร่างเดิมของนางตอนเป็นเจียงหร่านก็ผอมเพรียวเช่นกัน แต่กลับมีพละกำลังมากมาย อีกทั้งร่างนี้ก็ฝึกยุทธ์มาตั้งแต่วัยเยาว์มีพื้นฐานที่ดีีเช่นนี้แล้ว ย่อมอดทนต่อแรงกดดันได้อยู่แล้ว ไม่เป็นไร เพียงแค่เริ่มต้นใหม่เท่านั้นเอง การคัดเลือกรอบแรกนั้นมิได้มีอะไรมาก แต่จะเป็นขั้นตอนที่สองและสามที่ค่อนข้างละเอียด ขั้นตอนที่สองคือการตรวจร่างกาย หากร่างกายมีจุดบกพร่องก็จะไม่สามารถผ่านการคัดเลือกได้ จะมีหมอหลวงหญิงมาตรวจอย่างละเอียด เรื่องนี้นางค่อนข้างรับมือได้สบายอยู่แล้ว คนที่ผ่านการคัดเลือกข้อสองนั้นมีไม่น้อยเลย อีกทั้งมียังมีแม่นางน้อยผู้หนึ่งอายุราวสิบหกปี หน้าตานับว่าพอใช้ได้ ร่างกายก็เพรียวบางไม่ต่างจากนาง สาวน้อยถือทวนเอาไว้ในมือ ใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตรกับทุกคน เจี่ยงหร่านที่เห็นดังนั้นก็ลอบอุทานในใจว่าอาวุธในมือนางนับว่าเป็นอาวุธที่ดีจริงๆ สตรีที่จับดาบถือทวนมักจะองอาจสง่างามเสมอ เมื่อผ่านด่านสองแล้ว ทหารหญิงที่ผ่านการคัดเลือกก็จะได้เข้าพัก ในห้องพักรวมกันห้องละห้าคน นับว่าเป็นโชคดีที่เจี่ยงหร่านได้พักกับแม่นางน้อยที่ถือทวนมาด้วยผู้นั้น นางมีนามว่าโจวลี่ มาจากหมู่บ้านชนบทนอกเมือง เพราะบิดามารดาฐานะยากจน นางที่เป็นบุตรสาวคนเดียวจึงตั้งใจมาที่ค่ายทหารเพื่อจะได้มีเบี้ยหวัดไปเลี้ยงดูบิดามารดา ส่วนหญิงสาวอีกคนหนึ่งรูปร่างแข็งแรงกำยำไม่น้อย มีนามว่าอากัว เป็นบุตรสาวนายกองผู้หนึ่งที่มิได้มีตำแหน่งใหญ่โตอันใดในกองทัพ เหตุด้วยนางมีรูปร่างสูงใหญ่เหมือนบุรุษ จึงไม่มีบุรุษใดอยากแต่งงานด้วย บิดาของนางจึงส่งนางมาเป็นทหารเพื่อจะได้มีเงินเลี้ยงชีพตนเอง ส่วนคนอื่นๆ นั้นมิได้สนทนาใดๆ กับเจี่ยงหร่านมากนัก ออกจะไม่สนใจนางเสียด้วยซ้ำ และยังเอ่ยวาจาเหน็บแนมว่านางงดงามปานนี้ คงไม่ใช่ว่าฝึกได้สองวันก็หนีกลับบ้านไปแล้ว เจี่ยงหร่านไม่ใส่ใจแม้แต่นิดเดียว เมื่อนางจัดที่นอนและทุกอย่างเรียบร้อยก็เปลี่ยนชุดที่ค่ายทหารมอบให้และออกมารวมตัวกับทุกคนที่ลานฝึก ก่อนหน้าที่จะมาสมัครทหาร กว่านางจะสลัดจางฮูหยินได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มารดาเอาแต่ร่ำร้องว่าไม่อยากให้นางต้องไปลำบาก กว่านางจะออกมาได้ก็เหนื่อยไม่ใช่น้อย ยามนี้ผู้ที่คุมการฝึกมีทหารที่เป็นหัวหน้าอยู่สามคน และคนที่นั่งดูอยู่บนหอสังเกตการณ์มีสองคน คนหนึ่งคือแม่ทัพใหญ่จางบิดาของนางและอีกคนก็คือเซียวจิ้งนั่นเอง แม่ทัพใหญ่จางมองนางด้วยสายตาที่อ่อนโยนและห่วงใยในคราวเดียวกัน แต่เซียวจิ้งกลับมองนางราวกับต้องการจะจับผิดอยู่ตลอดเวลา "นับเป็นพระกรุณาของฝ่าบาทที่เปิดรับทหารหญิง พวกเจ้าทุกคนรู้ใช่หรือไม่ว่า การเข้าค่ายทหารแล้วย่อมไม่สะดวกสบาย การฝึกจะไม่ต่างจากบุรุษเลยแม้แต่น้อย หากพวกเจ้าอดทนฝึกฝนจนผ่านไปถึงด่านสุดท้ายได้แล้ว ก็จะได้เข้าไปเป็นทหารหญิงของราชสำนัก จะมีเกียรติและอำนาจไม่น้อยเลย" บรรดาสตรีทั้งหลายที่ได้ยินเช่นนั้น ก็ยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ ต่างจากเจี่ยงหร่านที่ไม่ได้มีท่าทีดีใจอันใด พูดจาสวยหรู มีเกียรติมีอำนาจเช่นนั้นหรือ นั่นเป็นเรื่องหลังจากที่สามารถรอดชีวิตกลับมาจากสงครามได้ต่างหาก ทหารคืออันใด ทหารก็คือคนที่อยู่ในสนามรบ ผ่านสมรภูมิคมหอกคมดาบ ใช้ชีวิตอยู่กลางดินกินกลางทราย บางคนเป็นทหารมาครึ่งชีวิตยังไม่มีตำแหน่งเลยด้วยซ้ำ การอยู่ในสนามรบเท่ากับเอาขาก้าวเข้าไปในปรโลกก้าวหนึ่งเสมอ นี่คือเหตุผลที่เจี่ยงหร่านขอเวลาเซียวจิ้งให้นานหน่อย หากว่าวันที่นางต้องแก้แค้นฉู่อี้เฉินและฟ่านเหยา และสุดท้ายไม่สามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้ เขาจะได้มีเวลามองหาหญิงสาวคนใหม่มาแต่งงานด้วย คนที่ดีเช่นเซียวจิ้ง ควรจะได้พบเจอคนที่ดีกว่านี้ ด้วยเพราะนางรู้ว่าการใช้ร่างของคนอื่นแก้แค้นเรื่องของตนเองนั้นมิใช่เรื่องดี แต่นางก็ไม่มีทางเลือก นี่เป็นหนทางสุดท้ายแล้วที่นางจะทำได้ นางต้องทำให้ตนเองผ่านการฝึกฝนและก้าวไปอยู่ในจุดที่สามารถออกรบได้ แล้วนางจึงจะสามารถสังหารคนชั่วพวกนั้นได้ ที่สำคัญการได้เข้ามาอยู่ในค่ายทหารก็เพื่อจะสามารถรับรู้ข่าวคราวของสงครามในต่างแคว้นได้ เผื่อว่านางอาจจะสอดแนมเรื่องต่างๆ ของฉู่อี้เฉิน แม้จะเป็นเรื่องน้อยนิดแต่ก็นับว่าสำคัญสำหรับนาง เจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่ถอนหายใจออกมายาวเหยียดและไม่เอ่ยสิ่งใดอีก ก่อนจะแยกย้ายกันกลับที่พัก เพราะวันพรุ่งนี้จะต้องเริ่มการฝึกแล้ว คืนนั้นนางนอนหลับไม่ค่อยสนิทนัก กว่าจะหลับได้ก็เกือบค่อนคืนไปแล้ว เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาก็รู้สึกเพลียเล็กน้อย การฝึกในวันแรกคือการวิ่งรอบค่ายทหารที่มีพื้นที่ใหญ่มากหลายสิบรอบเพื่อปรับสภาพร่างกาย ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า เจี่ยงหร่านเหนื่อยล้าเป็นอันมาก เพราะร่างนี้มิได้เคยฝึกอย่างเคี่ยวกรำเช่นร่างเดิมของนาง หลังจากวิ่งครบรอบเจี่ยงหร่านก็ถึงกับทิ้งกายนั่งพิงกำแพงค่ายทหารอย่างอ่อนแรงก่อนจะยกน้ำขึ้นดื่ม ให้ตายเถอะ! ทั้งง่วงทั้งเหนื่อย แต่อย่างไรก็ต้องสู้ เซียวจิ้งที่ยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์มองดูจางเหมี่ยวลี่ด้วยแววตาที่เรียบเฉย เขากำลังสงสัยว่านางคิดจะเล่นสนุกอันใดและที่สำคัญ เขากำลังนั่งนับวันรอวันที่จางเหมี่ยวลี่บอกว่า อยากกลับจวนตระกูลจางใจจะขาดแล้ว!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD