เมื่อลงมาจากรถม้าแล้ว เจี่ยงหร่านในร่างของจางเหมี่ยวลี่ก็มองดูบริเวณโดยรอบครู่หนึ่ง ที่แคว้นซ่งของนางก็มีงานเทศกาลเช่นนี้เหมือนกัน อีกทั้งยังจัดได้ยิ่งใหญ่ไม่ต่างจากแคว้นฟงหลิงเลยแม้แต่น้อย ผู้คนล้วนออกมาเที่ยวชมงานกันอย่างคึกคักสนุกนาน
มีครั้งหนึ่งนางไม่ได้มีงานให้ต้องจัดการในค่ายทหาร นางจึงอยากจะชวนฉู่อี้เฉินไปด้วยกัน แต่เขาอ้างว่ามีเรื่องด่วนให้ต้องจัดการ นางจึงไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงออกไปเที่ยวคนเดียว นางเดินเที่ยวเล่นจนรู้สึกว่าเบื่อแล้ว จึงคิดจะกลับ แต่ระหว่างทางกลับได้พบกับฉู่อี้เฉินและฟ่านเหยากำลังเดินเที่ยวชมงานด้วยกัน
ยามนั้นนางไม่ได้คิดสิ่งใดมากมายนัก อีกทั้งฉู่อี้เฉินยังบอกว่าเดิมทีสะสางงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว และไปหานางที่จวน แต่บ่าวที่จวนบอกว่านางมาเดินเที่ยวงานเขาจึงออกมาตามหา ประจวบเหมาะกับที่พบเจอฟ่านเหยาพอดี จึงถามว่าเจอนางหรือไม่ คนทั้งสองจึงมาเดินตามหานาง
จางเหมี่ยวลี่รู้สึกเย้ยหยันตนเองอยู่ในใจ นางช่างโง่เง่าไร้เดียงสายิ่งนัก ไม่ประสาเรื่องชายหญิง หลงเชื่อชายโฉดหญิงชั่วอย่างหมดใจ
นางกับฟ่านเหยาที่ผ่านมานับว่าเป็นสหายที่ดีต่อกัน ฟ่านเหยามักจะแนะนำเรื่องเครื่องประทินโฉมที่ดีให้กับนาง คอยอยู่เป็นเพื่อนคุยกับนาง เพราะนางไม่มีสหายเป็นสตรีเท่าใดนัก เพราะอยู่แต่ในค่ายทหาร อีกทั้งนางยังไม่มีความเป็นผู้หญิง ฝึกทหารจนกลิ่นเหงื่อเต็มกายไปหมด เหล่าคุณหนูที่รักสวยรักงามจึงไม่อยากคบหากับนาง นางจึงมีฟ่านเหยาเป็นสหายที่แสนดีเพียงคนเดียว
สหายที่แสนดีเช่นนั้นหรือ มันก็แค่ละครฉากหนึ่งก็เท่านั้น ทั้งฉู่อี้เฉินและฟ่านเหยาล้วนเห็นนางเป็นเพียงหินรองเท้าที่ใช้เหยียบย่ำขึ้นสู่ตำแหน่งที่พวกเขาปรารถนา
เซียวจิ้งเห็นว่าอยู่ๆ จางเหมี่ยวลี่ก็เงียบไป อีกทั้งยังมีอาการเหม่อลอย เขาจึงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
"จะเดินชมงานหรือไม่ หากไม่เดินก็กลับ"
เสียงของเซียวจิ้งปลุกให้เจี่ยงหร่านหลุดจากความทรงจำในอดีต นางหันมามองเขา ก่อนจะโต้ตอบ
"ท่านจะกลับไปก่อนเลยก็ได้นะ ข้าเดินเที่ยวคนเดียวได้ ไหนๆ ท่านก็ไม่ได้อยากจะมาเดินกับข้าอยู่แล้ว เช่นนั้นท่านก็กลับไปเถอะ"
นางบอกด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย ไม่ได้มีท่าทางโกธรเคืองเลยแม้แต่น้อย เซียวจิ้งที่ได้ยินเช่นนั้นก็แค่นเสียงในลำคอออกมา น้ำเสียงเยาะๆ
"ข้าไม่กล้าหรอก เกิดเจ้าโมโหแล้วไปเผาร้านโคมไฟจนหมด ข้างไม่มีปัญญาตามชดใช้"
เจี่ยงหร่านเม้มริมฝีปากแน่น เจ้าของร่างเดิมสร้างเรื่องปวดหัวให้นางมากมายจริงๆ เพราะอย่างนี้จึงไม่มีใครเชื่อหรือใส่ใจในคำพูดของนางสักคนเดียว เจี่ยงหร่านคร้านจะสนใจท่าทางไร้อารมณ์ของเซียวจิ้ง จึงเดินชมงานต่อโดยไม่สนใจเขา นางเดินมาหยุดอยู่ที่บริวเวณที่มีคนลอยโคมในแม่น้ำมากมาย นางนำโคมไปที่ซื้อมาเมื่อไม่กี่วันก่อนติดมือมาด้วยสองสามอัน ก่อนจะอธิษฐานและปล่อยโคมลงน้ำไปอย่างไม่เร็วไม่ช้า เซียวจิ้งมองดูนางก่อนจะซักไซ้ขึ้นมา
"เจ้าจะลอยทำไมสองอันสามอัน หรือว่าว่างมากจนไม่รู้จะเอาเงินไปทำสิ่งใด"
เจี่ยงหร่านเงยหน้ามามองเซียวจิ้ง
"ข้าขอถามท่านสักคำ ในเมื่อท่านไม่ชอบหน้าข้าแล้วจะดันทุรังมากับข้าด้วยเหตุใดกัน ย้อนแย้งเสียจริง ท่านว่าข้าว่างมาก แต่ข้าว่าท่านต่างหากที่ว่าง ไม่ชอบข้าแท้ๆ แต่กลับยังมาตามอยู่ได้"
"ผู้ใดตามเจ้ากัน"
"ไม่เถียงกับท่านแล้ว เถียงไปก็ไม่ชนะ ข้าจะไปหาของอร่อยกิน"
เอ่ยจบนางก็เดินไปหยุดที่ร้านขายบัวลอย เจ้าของร้านที่เห็นเซียวจิ้งและจางเหมี่ยวลี่จึงแย้มยิ้มบอกว่าบัวลอยถ้วยนี้ หากกินด้วยกันจะเป็นคู่รักกันตลอดกาล ทว่าจางเหมี่ยวลี่เมื่อได้ฟังจบก็รีบจ้วงตักบัวลอยกินจนหมดและยิื่นถ้วยคืนให้เจ้าของร้าน เซียวจิ้นแค่นเสียงคล้ายแดกดัน
ทำอย่างกับเขาอยากจะกินกับนางอย่างนั้นล่ะ!
ภายในงานมีการทายโคมไฟ และการจุดพลุพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าช่างดูงดงามไม่น้อยเลย แต่ทว่าเจี่ยงหร่านมิได้ตื่นเต้นเท่าใดนัก ยามอยู่ที่แคว้นซ่งนางเห็นของเหล่านี้จนเคยชิน จึงไม่ได้นับว่าเป็นของแปลกใหม่อะไรเลย
คนสองคนเดินด้วยกันแต่เหมือนยืนอยู่กันละฟากถนน เซียวจิ้งมีใบหน้าเรียบเฉย เจี่ยงหร่านก็ไม่รู้จะสนทนาอันใดกับเขา ก็รู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย แต่ก่อนนางและเขาไม่เคยเงียบใส่กันเช่นนี้เลย
ระหว่างที่เดินอยู่นั้น ก็พบกับจางเฉวียนที่กำลังเดินมาพร้อมโคมไฟรูปปลาอันใหญ่ เมื่อเห็นเซียวจิ้งและจางเหมี่ยวลี่จึงเข้ามาทักทาย ก่อนจะเดินไปพร้อมกันทั้งสามคน เซียวจิ้งเป็นคนลากจางเฉวียนให้เดินไปด้วยกัน เพราะเขารู้สึกกระอักกระอ่วนยามที่ต้องอยู่กับจางเหมี่ยวลี่ตามลำพัง
หญิงสาวแวะชิมขนมและอาหารทุกร้าน พร้อมกับวิจารณ์ในใจว่ารสชาติดีไม่ต่างจากแคว้นซ่งเลย แต่ออกจะจืดไปหน่อย เพราะที่แคว้นซ่งนิยมกินอาหารรสเผ็ดและจัดจ้าน
ระหว่างที่นางเดินไปเรื่อยๆ ก็มีคนมองมาที่นางด้วยแววตาที่ทั้งสงสัยและอิจฉาริษยา เจี่ยงหร่านพอจะเข้าใจอยู่บ้าง เพราะบุรุษที่เดินข้างนางทั้งหล่อเหลาและรูปงามราวกับเทพเซียน สตรีน้อยใหญ่ต่างแอบมองอย่างเคลิบเคลิ้ม
เมื่อเดินทั่วทั้งงานจนเบื่อแล้ว คนทั้งสามก็เดินกลับมาที่รถม้า เจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่เมื่อเห็นว่าไหนๆ พี่ชายก็มาแล้ว นางกลับพร้อมจางเฉวียนย่อมสะดวกกว่า เซียวจิ้งเองก็ไม่คัดค้าน เพราะเขาเองก็เบื่อเต็มทนแล้วเช่นกัน
ในขณะที่จางเหมี่ยวลี่กำลังจะเดินไปที่รถม้า ก็มีบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
"พี่ใหญ่ ท่านก็มาเที่ยวงานด้วยหรือ ให้ตายเถอะพาสาวงามมาด้วยหรือนี่"
เซียวจิ้งที่ได้ยินเช่นนั้นแววตาก็ฉายแววเย็นเยียบ คนผู้นี้คือเซียวกั๋วน้องชายต่างมารดาของเขานั่นเอง
เซียวกั๋วมาพร้อมกับบ่าวไพร่หลายคน เขาเดินตรงเข้ามาหาเซียวจิ้งก่อนจะหันมาส่งสายตาหวานล้ำให้กับจางเหมี่ยวลี่
เขารู้สึกอิจฉาเซียวจิ้งที่ได้ทั้งตำแหน่งซื่อจื่อและสาวงามไปครอง ไม่เพียงเท่านั้นยังมีอำนาจอยู่ในกองทัพทหารอีกด้วย แต่เขาที่เป็นบุตรชายของเสด็จพ่อเหมือนกันเหตุใดจึงเทียบพี่ชายไม่ได้
เซียวกั๋วจึงมีความคิดว่า หากเขาแย่งของทุกอย่างที่เป็นของเซียวจิ้งมาเป็นของตนเองได้ คงจะสาแก่ใจมิใช่น้อย
ด้านเซียวจิ้งนั้นไม่กล่าวอะไรให้มากความ จางเฉวียนก็มองเซียวกั๋วด้วยแววตาที่เฉยเมย
เจี่ยงหร่านพินิจมองบุรุษตรงหน้าปราดหนึ่ง ฟังจากการเรียกขานเมื่อครู่แล้วคงจะเป็นน้องชายของเซียวจิ้ง แต่กลับไม่มีสง่าราศี แตกต่างจากเซียวจิ้งเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังดูเป็นคนประเภทหมอนปักลาย
ตั้งแต่ที่สิ้นชีพในชีวิตที่แล้วนั้น สายตาในการใช้มองดูคนของนางก็นับว่าดีขึ้นเป็นอย่างมาก น่าเสียดายที่ยามมีชีวิตอยู่ในร่างเดิมนางมองฉู่อี้เฉินไม่ออกเช่นยามนี้
เมื่อเห็นว่าไม่ใช่เรื่องของนาง เจี่ยงหร่านจึงชวนจางเฉวียนกลับจวน แต่ทว่าเซียวกั๋วกลับก้าวเข้ามาหานาง ก่อนจะคว้าข้อมือของนางเอาไว้โดยไม่สนใจสายตาของเซียวจิ้งเลยแม้แต่น้อย จางเฉวียนจ้องมองเซียวกั๋วด้วยแววตาเกรี้ยวกราด ในขณะที่เซียวจิ้งรีบเอ่ยกับน้องชายอย่างไม่พอใจ
"เซียวกั๋ว อย่าล่วงเกินคุณหนูจาง!"
เซียวกั๋วหันไปแสยะยิ้มให้เซียวจิ้ง ทำไม่รู้ไม่ชี้
"อ้าว ข้าได้ยินว่าท่านไม่ชอบนางไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงมาบอกให้ข้าปล่อยนางเล่า ในเมื่อท่านไม่ชอบก็ยกให้ข้าก็ได้"
"เซียวกั๋ว!"
เจี่ยงหร่านปรายตามองมือของเซียวกั๋วที่จับมือของนางไม่ยอมปล่อย แววตาก็ฉายแววรังเกียจขึ้นมาอย่างไม่ปิดบัง ความไม่พอใจเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่ทันที่เซียวจิ้งจะก้าวเข้ามาดึงเซียวกั๋วออก นางก็สะบัดมือของเซียวกั๋วที่จับมือนางออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะบิดข้อมือของเขาสุดแรง แล้วยกเข่ากระทุ้งเข้าไปที่หน้าท้องของเซียวกั๋วจนเขาจุกจนร้องไม่ออกใบหน้าดำคล้ำจนแทบจะกลายเป็นสีเขียว ก่อนจะถูกเจี่ยงหร่านยกเท้าถีบซ้ำจนล้มลงไปนอนโอดครวญอยู่กับพื้น เจี่ยงหร่านยกมือขึ้นปัดๆไปมาตามกระโปรง แล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
"มัวเสียเวลาพูดคุยทำไมกัน ทุบตีสั่งสอนเลยก็สิ้นเรื่อง เสียเวลา!"
เซียวจิ้งกับจางเฉวียนต่างหันมามองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมายในทันที