ด้านเจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่ ยามนี้นางกำลังให้สาวใช้ช่วยกันยกโคมไฟเข้าไปไว้ในรถม้า อีกไม่นานก็ใกล้จะถึงเทศกาลโคมไฟแล้ว ผู้คนจึงนิยมซื้อโคมไฟไปประดับประดาตกแต่งจวนของตน
อีกทั้งที่แคว้นฟงหลิงนอกจากจะมีการประดับประดาโคมแล้ว ยังมีการลอยโคมในแม่น้ำเพื่อรำลึกถึงผู้ที่ล่วงลับจากไปแล้วอีกด้วย เจี่ยงหร่านจึงตั้งใจว่าจะไปลอยโคมให้คนตระกูลเจี่ยงหวังให้แสงสว่างจากโคมไฟส่องนำทางให้พวกเขาเดินทางไปปรโลกได้อย่างราบรื่นสงบสุข
"คุณหนูเจ้าคะ เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ โคมไฟทั้งหมดสาวใช้นำขึ้นรถม้าหมดแล้ว"
"ดีมาก จริงสิ พวกเจ้าคงเหนื่อยแล้ว เยว่ซินเจ้าไปซื้อบะหมี่มากินคนละชามข้าจ่ายเอง"
"เจ้าค่ะ"
เยว่ซินรับคำและยิ้มอย่างอารมณ์ดี ระยะหลังมานี้นางเริ่มคุ้นชินกับนิสัยใหม่ของคุณหนู ซ้ำยังภาวนาให้จางเหมี่ยวลี่เป็นเช่นนี้ตลอดไป เพราะนางทั้งได้กินอิ่มและไม่ถูกทุบตี
เซียวจิ้งมองดูจางเหมี่ยวลี่ที่นั่งกินบะหมี่กับเหล่าสาวใช้และคนขับรถม้า เขาก็แอบแปลกใจจริงๆ แต่ไหนแต่ไรมา นอกจากจะไม่ชอบกินของข้างทางเช่นนี้แล้ว จางเหมี่ยวลี่ยังไม่อนุญาตให้บ่าวรับใช้เสนอหน้ามาเข้าใกล้โต๊ะอาหารของนาง มีครั้งหนึ่งเขาไปที่จวนตระกูลจางและเห็นว่านางตบตีสาวใช้เพียงเพราะสาวใช้ปรนนิบัตินางกินอาหารช้า
นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่นางทำดีต่อบ่าวไพร่เช่นนี้
การเปลี่ยนแปลงของจางเหมี่ยวลี่ทำให้เซียวจิ้งสงสัยไม่น้อยเลย
ด้านเจี่ยงหร่านที่รู้สึกว่ามีคนมองตนอยู่ จึงเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะพบกับเซียวจิ้งที่กำลังนั่งอยู่ในรถม้าและจ้องมองนางด้วยความฉงนสงสัย เมื่อเห็นเช่นนั้นนางจึงยกมือขึ้นทักทายเซียวจิ้งทันที เซียวจิ้งหลบไม่ทันเขาจึงปั้นหน้าไม่ถูกไปชั่วขณะ
"ท่านพี่จิ้ง ไม่คิดว่าท่านจะผ่านทางมาพอดี รอก่อนสักครู่นะ"
เอ่ยจบนางก็ดินไปสั่งบะหมี่มาอีกชาม ก่อนจะเดินมาที่รถม้าของเขาและยื่นชามบะหมี่ให้เขา เซียวจิ้งปรายตามองบะหมี่ชามนั้นในหัวพลันผุดภาพหนึ่งขึ้นมา
ภาพที่นางสวดคาถาพึมพำบางอย่างและกัดนิ้วตนเองหยดเลือดจากปลายนิ้วลงไปในอาหารที่นำมาให้เขา เซียวจิ้งถึงกับพูดไม่ออก
เจี่ยงหร่านที่เห็นว่าเซียวจิ้งไม่รับชามบะหมี่ไปเสียทีจึงคะยั้นคะยอขึ้นมา
"กินหน่อยเถอะน่า ข้าไม่ได้ทำของอันใดใส่ลงไปหรอก"
เซียวจิ้งเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยังคงนิ่งเฉยไม่รับชามบะหมี่ไป เจี่ยงหร่านจึงฉุนเฉียวขึ้นมาบ้างแล้ว
"กินๆไปเถอะนะ กลัวอันใดกัน จะกินไม่กิน ไม่กล้ากินข้ากินให้ดูก่อนก็ได้"
เอ่ยจบนางก็ยกชามบะหมี่ขึ้นกิน พร้อมกับยกชามกระดกน้ำซุปที่เหลือลงคอรวดเดียวหมด
เซียวจิ้ง "....."
"ไอ๊หยา ขออภัย ข้าเผลอกินหมดชามเลย เช่นนั้นข้าจะไปซื้อให้ท่านใหม่ดีหรือไม่”
"ไม่ต้อง ข้าจะกลับแล้ว หลีกไปอย่าเกะกะขวางทางข้า"
กล่าวจบเขาก็สั่งให้คนขับรถม้าจากไปทันที เจี่ยงหร่านทีเห็นเช่นนั้นก็โคลงศีรษะ นิสัยกินของยากของเซียวจิ้งนี่แก้ไม่หายเลยจริงๆ
ด้านเซียวจิ้งนั้นเมื่อกลับมาถึงเหลาสุราแล้ว เขาก็พลันนึกถึงจางเหมี่ยวลี่ขึ้นมา
ท่าทางการพูดของนางเหมือนกับคนๆ หนึ่งที่เขาไม่เคยลืมเลือนไปจากหัวใจ
เจี่ยงหร่าน…
ครั้งหนึ่งเขาและนางติดอยู่ในป่าด้วยกันเพราะหิมะตกหนัก อากาศรอบด้านค่อนข้างหนาวเย็น อาหารก็ไม่มี เดิมทีเขานัดนางมาพบแต่ไม่คาดคิดว่าหิมะจะตกหนักจนปิดทางลงเขา ยามนั้นมีงูตัวหนึ่งเลื้อยผ่านมา เจี่ยงหร่านจึงจับมันมาตุ๋นน้ำแกงกินเพื่อประทังความหิวและให้ร่างกายอบอุ่น นางกินได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ต่างจากเขาที่แม้จะอยู่ในสนามรบแต่กลับไม่ได้ขาดแคลนอาหารการกิน เขากินไม่ลงนางจึงกินให้เขาดูก่อน แต่เพราะนางลืมตัวจึงกินจนหมด นางยิ้มแหยๆ ให้เขาและบอกว่าจะไปจับงูมาตุ๋นน้ำแกงให้เขาใหม่ ดื่มน้ำแกงงูดีต่อสุขภาพเพราะถือเป็นยาอายุวัฒนะ เขาทนไม่ไหวจึงอาเจียนออกมา นางคิดว่าเขาหิวจนอยากอาเจียน จึงคะยั้นคะยอเขาว่าให้กินน้ำแกงงูเถอะนางจะไปจับมาตุ๋นให้อีกครั้ง
เซียวจิ้งคลี่ยิ้มบางๆ ออกมา ยามที่คิดถึงเจี่ยงหร่านเขามักจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ
น่าเสียดายที่นางอายุสั้นเกินไป
เซียวจิ้งสลัดความคิดจากเรื่องของเจี่ยงหร่าน ก่อนจะหวนคิดถึงจางเหมี่ยวลี่อีกครา เรื่องที่นางอยากเข้าค่ายทหารดูแล้วมิได้พูดเล่น เขาไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ หลายวันมานี้เขาเดาใจของนางไม่ออกเลย
สองวันต่อมาเมืองหลวงแคว้นฟงหลิงก็จัดงานเทศกาลโคมไฟขึ้น ผู้คนต่างไปเที่ยวชมงานที่จัดขึ้นในเมืองหลวง เดิมทีเจี่ยงหร่านก็คิดจะชวนเยว่ซินไปด้วยกัน แต่ในระหว่างที่นางกำลังเตรียมตัว ก็มีสาวใช้มาแจ้งว่าเซียวจิ้งมารออยู่ที่เรือนใหญ่แล้ว
เจี่ยงหร่านที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจว่าเขาจะมารอนางทำไม ด้านเยว่ซินที่เห็นว่าเจ้านายของตนมีท่าทางสงสัย จึงเตือนขึ้นมาว่า
"คุณหนูลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ เมื่อถึงเทศกาลโคมไฟเมื่อใด ซื่อจื่อจะมารับคุณหนูไปเที่ยวเสมอ"
"จริงหรือ"
"เจ้าค่ะ ท่านและซื่อจื่อเป็นคู่หมั้นกัน การไปเที่ยวงานด้วยกันเป็นเรื่องธรรมดาเจ้าค่ะ รีบไปเถอะเจ้าค่ะ ซื่อจื่อคงรอนานแล้ว"
เจี่ยงหร่านยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใดก็ถูกเยว่ซินดึงมาที่เรือนใหญ่เสียแล้ว เมื่อมาถึงก็พบกับเซียวจิ้งที่กำลังสนทนากับบิดาและมารดาของจางเหมี่ยวลี่ ส่วนพี่ชายของนางไม่รู้ว่ายามนี้อยู่ที่ใด คงจะออกไปเที่ยวงานโคมไฟแล้วกระมัง
แม่ทัพใหญ่จางที่เห็นว่าบุตรสาวของตนมาแล้วก็ยิ้มก่อนจะเอ่ย
"เหมี่ยวเอ๋อร์มาแล้ว ซื่อจื่อมารอเจ้านานแล้ว เที่ยวให้สนุกล่ะ ซื่อจื่อ ข้าฝากดูแลเหมี่ยวเอ๋อร์ด้วย"
"ขอรับ"
เซียวจิ้งรับคำ ก่อนจะเดินเข้ามาหาจางเหมี่ยวลี่ ถึงแม้ไม่อยากไปกับนาง แต่เพราะมีครั้งหนึ่งเขาไม่พานางไปเที่ยว นางถึงกับตามไปอาละวาดเขาในงาน ยามนั้นเขากำลังเดินเที่ยวเล่นคนเดียวและมีแม่นางน้อยมาทักทายด้วย เมื่อจางเหมี่ยวลี่มาเห็นว่าเขาพูดคุยกับสตรีนางอื่น นางจึงจัดการทำลายโคมไฟทุกดวงในร้านขายโคมและตบตีสตรีที่พูดคุยเขา จนต้องพานางกลับจวน นางต่อว่าหากเขาไม่พานางไปด้วยอีกนางจะทำเช่นนี้ทุกปี
เซียวจิ้งไม่ชอบเรื่องวุ่นวายจึงรับปากนางอย่างส่งๆ อีกทั้งเป็นเพราะเขาเห็นแก่หน้าแม่ทัพใหญ่จางและความสัมพันธ์ที่เสด็จลุงและแม่ทัพใหญ่จางเป็นสหายสนิทกันตั้งแต่วัยเยาว์ เขาจึงไม่อยากทำให้มันเป็นปัญหาใหญ่
นับแต่นั้น เขาจึงมารับจางเหมี่ยวลี่ไปเที่ยวงานโคมด้วยกันอยู่เสมอ
คนทั้งสองเดินมาถึงรถม้า เจี่ยงหร่านหอบหิ้วเอาโคมมาด้วย น้ำหนักมันน้อยนางเลยถือติดมือมาสามอัน ก่อนจะขึ้นไปนั่งบนรถม้าด้วยกัน ระหว่างทางเซียวจิ้งไม่พูดไม่จาสักคำ เจี่ยงหร่านเองก็ไม่รู้ว่าจะชวนเขาพูดคุยเรื่องใด หากยังอยู่ในร่างเดิมตอนที่เป็นเจียงหร่านยามนี้นางกับเขาคงนั่งกอดคอสนทนาพลางดื่มสุราด้วยกันไปแล้ว
เมื่อรถม้าหยุดลง เซียวจิ้งก็ลงมาจากรถม้าก่อน แล้วจึงรอให้นางเดินมาก่อนจะยื่นมือมาให้นางจับ เจี่ยงหร่านที่เห็นเช่นนั้นจึงยกมือขึ้นโบกไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ
"ไม่ต้องหรอก ข้าลงได้สบายมาก"
เอ่ยจบนางก็ยกชายกระโปรงขึ้น ก่อนจะกระโดดลงมาจากรถม้าแล้วหยิบโคมไฟมาด้วย
เซียวจิ้ง"......."