บทที่ 9 ยื่นข้อเสนอ

1931 Words
เซียวจิ้งที่ได้ยินที่จางเหมี่ยวลี่เอ่ยขึ้นมาเขาก็ถึงกับนิ่งค้างเลยทีเดียว อีกทั้งยังคิดว่าตนเองหูฝาดไปเสียด้วยซ้ำ แต่ไหนแต่ไรมา จางเหมี่ยวลี่เอาแต่เร่งเร้าให้เขารีบแต่งงานกับนาง ไม่ก็หาทางทำให้ตนเองตกเป็นภรรยาของเขาให้ได้ แต่วันนี้นางกลับมาบอกเขาว่าให้เลื่อนงานแต่งงานออกไป นี่มันเรื่องอันใดกัน? เจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่รอคอยคำตอบจากเซียวจิ้งอย่างใจจดใจจ่อ นางคาดเดาว่าเขาคงจะต้องเห็นด้วยกับนางเป็นแน่ เพราะอย่างไรเขาก็ไม่ได้ชอบจางเหมี่ยวลี่อยู่แล้ว นางเข้าใจดีว่าหากต้องฝืนแต่งกับคนที่ไม่ได้รักมันทรมานเพียงใด เซียวจิ้งจ้องมองจางเหมี่ยวลี่ราวกับจะมองให้ทะลุเข้าไปในใจนาง ยิ้มคล้ายไม่ยิ้มพลางกล่าวว่า "จางเหมี่ยวลี่ เจ้าคิดว่าข้าว่างมากนักหรือ" เจี่ยงหร่านที่ได้ยินเช่นนั้นก็มุ่นคิ้ว ก่อนจะตอบ "ข้ารู้ว่าท่านพี่จิ้งไม่ว่าง ท่านมีงานมากมายให้ต้องจัดการ ข้าก็รอคำตอบอยู่นี่อย่างไรเล่า ท่านบอกข้ามาสิตกลงแล้วจะเลื่อนงานแต่งไปนานเท่าใด หนึ่งปีหรือไม่ หรือว่าสอง..." "เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ! การแต่งงานระหว่างเจ้าและข้าใช่ว่าจะทำตามความต้องการของเจ้าได้ทุกอย่าง" เจี่ยงหร่านที่ได้ยินเช่่นนั้นก็ชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะมองเซียวจิ้งด้วยความไม่เข้าใจ เซียวจิ้งเมื่อได้เห็นสายตาไม่เข้าใจและมีแต่คำถามเต็มไปหมดอยู่บนใบหน้าของจางเหมี่ยวลี่ เขาจึงตอบกลับด้วยอารมณ์ฉุนนิดๆ "เจ้าคิดจะทำอันใดกันแน่ คิดจะปั่นหัวข้าหรืออย่างไร ข้าขอบอกเจ้าเลยนะว่าไม่สำเร็จ และบอกเจ้าอีกครั้งว่า หากเราแต่งงานกันแล้ว เจ้าอยากทำสิ่งใดก็ทำไป เราต่างคนต่างอยู่ ข้าจะพยายามปฏิบัติต่อเจ้าให้ดี เพราะเห็นแก่บิดาของเจ้า แต่หากเจ้าสร้างปัญหาให้ข้าไม่หยุด ก็อย่าหาว่าข้าไม่รักษาสัญญา" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง เจี่ยงหร่านเม้มริมฝีปากแน่น ในขณะที่เซียวจิ้งกำลังจะเดินจากไป นางก็ลุกลี้ลุกลนรีบยื่นมือไปดึงเสื้อเขาในทันที เซียวจิ้งไม่ทันตั้งตัวจึงเซถอยหลัง เจี่ยงหร่านที่เห็นเช่นนั้นจึงยื่นมือไปจับเอวหนาของเขาเอาไว้ เซียวจิ้งที่ถูกนางสวมกอดจากทางด้านหลังก็ตกใจไม่น้อย ก่อนจะเห็นว่ายามนี้เขาและนางใกล้กันเกินไปแล้ว อีกทั้งสภาพเขาตอนนี้เหมือนกับสาวน้อยที่ถูกสวมกอดและจางเหมี่ยวลี่คือบุรุษที่กำลังลวนลามเขา อีกทั้งยามนี้คนทั้งคู่ก็อยู่ที่หน้าประตูจวนตระกูลจางอีกด้วย เซียวจิ้งรีบแกะมือของจางเหมี่ยวลี่ก่อนจะต่อว่า "จางเหมี่ยวลี่เจ้าจะหน้าไม่อายเกินไปแล้ว!" "ก็ท่านจะล้มข้าแค่่ช่วยรับท่านไว้ ให้ตายเถอะ ถ้ารู้ว่าเป็นเช่นนี้ ข้าปล่อยให้ท่านล้มไปแล้ว คนช่วยเหลือยังมาบ่นมาด่า นิสัยแย่จริงเชียว ถ้ารู้ว่าท่านนิสัยเช่นนี้ให้ตายข้าก็ไม่คบหากับท่านเป็นแน่!" เซียวจิ้งที่ถูกจางเหมี่ยวลี่ต่อว่าก็เอ่ยวาจาใดไม่ออก ทุกครามีแต่เขาที่ด่าทอนาง แต่เมื่อถูกนางด่ากลับบ้างเขากลับเถียงไม่ออก ด้านเจี่ยงหร่านเมื่อเห็นว่านางพูดอ้อมค้อมไปเซียวจิ้งก็คงจะไม่เข้าใจ นางจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา "คืออย่างนี้ ที่ข้าอยากให้ท่านเลื่อนงานแต่งออกไป เพราะว่าข้าจะสมัครเข้าไปเป็นทหารหญิง" เซียวจิ้งหันขวับมามองจางเหมี่ยวลี่ในทันที ก่อนจะแค่นเสียงหึออกมา "จางเหมี่ยวลี่ ค่ายทหารไม่ใช่สถานที่เที่ยวเล่น" "ข้าก็ไม่ได้ไปไปเที่ยวเล่นนี่ ข้าอยากเป็นทหารหญิง" "เจ้าเพ้อไปแล้วหรือ เรื่องนี้ข้าไม่อนุญาต" "ท่านเป็นบิดาข้าหรือจึงไม่อนุญาต" "จางเหมี่ยวลี่!" "ไม่รู้ล่ะ ข้ามาบอกท่านแล้ว ท่านจะอนุญาตหรือไม่ข้าไม่สนใจ ตกลงตามนี้เลื่อนงานแต่งออกไปก่อน ให้ข้าเข้ากองทัพแล้วเราค่อยว่ากันอีกที ท่านก็เดินทางกลับดีดีล่ะ อ้อ กลับจวนไปอย่าลืมกินเยอะๆ ไม่เจอกันเพียงไม่นาน เอวท่านบางจนจะเหมือนสตรีอยู่แล้ว" กล่าวจบจางเหมี่ยวลี่ก็เดินจากไปทันที เซียวจิ้งรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นี่มันเรื่องบ้าใดกัน หรือที่คนเล่าลือว่านางเล่นของจนเสียสติไปแล้ว มันจะเป็นเรื่องจริงกันนะ เซียวจิ้งคร้านจะคิดสิ่งใดต่ออีก เขาจึงเดินทางกลับไปที่เหลาสุราในทันที ค่ำคืนนี้อากาศค่อนข้างดี สายลมอ่อนๆ พััดโบกโบย ดวงจันทร์บนท้องนภากระจ่างใส ดาวกระพริบวิบวาวชวนมองยิ่งนัก เซียวจิ้งยามนี้กำลังนั่งอยู่ที่ิริมหน้าต่าง ในมือของเขามีกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งวางอยู่ เขายื่นมือไปเปิดกล่องออกมา ของในนั้นคือปิ่นปักผมและเส้นผมของเจี่ยงหร่านที่เขาเก็บเอาไว้เป็นอย่างดี ทุกคืนเขาจะนั่งมองของเหล่านี้ ราวกับว่ามันเป็นเสมือนตัวแทนของนางที่ยังวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวเขา เช้าวันต่อมา เกิดการถกเถียงกันอย่างหนักในราชสำนัก ขุนนางแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งไม่เห็นด้วยที่สตรีจะเข้าร่วมค่ายทหาร เพราะแคว้นฟงหลิงมีธรรมเนียมปฏิบัติต่อกันมาอย่างยาวนาน สตรีควรอยู่ในเรือน รอวันแต่งงาน เป็นภรรยาและมารดาที่ดี จะให้ออกมาจับดาบต่อสู้เช่นเดียวกับบุรุษเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมเลย ส่วนอีกฝ่ายเห็นด้วยไม่ได้คัดค้าน เพราะคิดว่ายุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว สตรีไม่จำเป็นจะต้องเป็นเพียงภรรยาและมารดาที่ดีเพียงอย่างเดียว ในอดีตไทเฮาแคว้นฟงหลิงก็เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่อดีตฮ่องเต้มาแล้ว เรื่องนี้ไม่มีสิ่งใดไม่สมควร ฮ่องเต้เซียวหลางที่นั่งอยู่บนบัลลังค์มังกรทอดสายตามองเหล่าขุนนางถกเถียงกัน ก่อนจะใช้นิ้วเคาะที่โต๊ะเป็นจังหวะจนเหล่าขุนนางต่างเงียบเสียงและไม่กล้าเอ่ยอันใดอีก เซียวจิ้งที่ยืนอยู่ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมา เพราะเรื่องนี้เขากับเสด็จลุงคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ฮ่องเต้เซียวหลางถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวดักคอ "ที่พวกเจ้าถกเถียงกันไปมาไม่จบไม่สิ้นข้าเองก็เข้าใจ เพราะต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลเป็นของตนเอง แต่ในอดีตเสด็จแม่ของข้าเคยร่วมรบกับเสด็จพ่อจนได้รับชัยชนะมาแล้ว นั่นสามารถแสดงให้เห็นได้ว่าสตรีไม่ได้ด้อยไปเสียทั้งหมด ที่พวกเจ้าทั้งหลายคัดค้านไม่ใช่เพราะเกรงว่าจะผิดกฎระเบียบ ผิดธรรมเนียมปฏิบัติที่ที่มีมาช้านานอันใดเหล่านั้นหรอก แต่เป็นเพราะพวกเจ้าเกรงว่าสตรีจะขึ้นมามีอำนาจเหนือกว่าพวกเจ้ามากกว่ากระมัง" เหล่าขุนนางฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยต่างเงียบกริบไม่กล้าเอ่ยวาจาใดอีก ฮ่องเต้ถึงกับยกไทเฮาขึ้นมาอ้าง หากพวกเขายังพูดพล่ามไม่เลิกเช่นนี้ ไม่เท่ากับการลบหลู่เกียรติของไทเฮาหรอกหรือ ฮ่องเต้เซียวหลางที่เห็นเช่นนั้นก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะเอ่ย "ประกาศราชโองการออกไป อีกสิบห้าวันข้าจะเปิดรับสมัครทหารหญิง เข้าฝึกในค่ายทหารที่แบ่งแยกสำหรับสตรี หากหญิงสาวคนไหนมีฝีมือ ค่อยคัดเลือกเข้าไปทำงานในกองทัพร่วมกับบุรุษ แบ่งแยกตามตำแหน่งหน้าที่ที่เหมาะสมกับพวกนาง ที่สำคัญการฝึกจะเคร่งครัดเช่นเดียวกับบุรุษไม่มีอันใดต่างกัน" เหล่าขุนนางที่ไม่เห็นด้วยต่างลอบก่นด่าฮ่องเต้ในใจ ส่วนเหล่าขุนนางที่เห็นด้วยก็ดีใจไม่น้อยอยากจะรีบกลับจวนไปหาบุตรสาวที่ร่างกายแข็งแรงกำยำของตน เพื่อส่งพวกนางเข้ามาสมัครเป็นทหารหญิงเสียเดี๋ยวนี้ เผื่อว่าในอนาคตบุตรสาวจะได้มีตำแหน่งสำคัญในราชสำนักให้ได้เชิดหน้าชูตาบ้าง หลังจากไม่มีสิ่งใดแล้ว ขุนนางทั้งหมดต่างแยกย้ายกันกลับไป ฮ่องเต้เซียวหลางหันมามองเซียวจิ้ง ก่อนจะให้หลานชายติดตามเป็นเพื่อนตนระหว่างทางกลับตำหนัก สองลุงหลานเดินไปด้วยกันอย่างไม่รีบไม่ร้อน ฮ่องเต้เซียวหลางหันมามองเซียวจิ้ง ค่อยๆ เริ่มสนทนา "ได้ยินว่าหลายวันก่อนเจ้ากลับจวน แล้วยังทะเลาะกับบิดาของเจ้าอีกด้วย" เซียวจิ้งที่ได้ยินก็ตอบยิ้มๆ "เสด็จลุงช่างรู้ข่าวรวดเร็วยิ่งนัก" ฮ่องเต้เซียวหลางถอนหายใจออกมาเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยเช่นไรดี น้องชายผู้ไม่เอาไหนของเขาผู้นั้น วันๆ เอาแต่ร่ำสุราเคล้านารี ไม่ชอบใจที่บุตรชายเป็นทหาร ในอดีตเคยฝึกซ้อมการต่อสู้กับเขาที่เป็นพี่ชายและพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า อีกทั้งวรยุทธ์ก็ไม่ได้เรื่อง นับแต่นั้นเซียวฟงก็ไม่ค่อยอยากจะพูดคุยกับเขา และไม่ชอบที่เซียวจิ้งเข้ามาเป็นทหาร ส่วนหลานชายของเขาผู้นี้ ก็นิสัยเย็นชาไม่สนใจบิดาเท่าที่ควร ช่างน่าปวดหัวยิ่งนัก เดินมาได้ไม่นานก็ถึงหน้าตำหนักมังกรสวรรคฺ์ ฮ่องเต้เซียวหลางจึงเอ่ยขึ้นมา "หลายวันก่อนเซียวหลิงและเซียวหลงต่างเอ่ยว่าคิดถึงเจ้า หากมีเวลาก็มาสนทนาเป็นเพื่อนกับพวกเขาหน่อย อย่างไรก็เป็นพี่น้องกัน" "พ่ะย่ะค่ะ" เมื่อไม่มีสิ่งใดให้พูดคุยกันแล้ว เซียวจิ้งจึงขอตัวกลับไปที่เหลาสุราของตน ระหว่างทางที่นั่งอยู่ในรถม้าเขาคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เมื่อสองปีก่อน เขายังอยู่ที่ชายแดน มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่ามารดาเลี้ยงและน้องชายอยากให้เขาตายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ถึงขนาดรอไม่ไหวส่งนักฆ่ามาสังหารเขาแต่กลับไม่สำเร็จ เดิมทีเขาไม่อยากคิดสิ่งใดให้มากความ แต่เมื่อพบกับเหตุการณ์เช่นนั้นมันทำให้เขาเริ่มคิดขึ้นมาว่า การตายของท่านแม่อาจจะเกี่ยวกับมารดาเลี้ยงของเขา แต่เพราะเรื่องราวผ่านมานานหลายปีแล้ว อีกทั้งพยานหลักฐานย่อมอาจถูกทำลายไปจนหมดและยามนั้นเขาก็ยังไม่มีอำนาจและกำลังคนไม่พอ จึงไม่รู้ว่าควรจะเริ่มตรวจสอบจากตรงไหนก่อนดี ครั้งนี้ได้กลับมาเมืองหลวงแล้วและคนของเขาก็มีอยู่ไม่น้อย เขาคงจะต้องหาทางสืบเรื่องราวของหลี่ฟางให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียแล้ว เซียวจิ้งยื่นมือขึ้นไปเปิดผ้าม่านรถม้าออก ก่อนที่สายตาของเขาจะเห็นใครคนหนึ่งที่กำลังสั่งให้สาวใช้ช่วยขนโคมไฟขึ้นรถม้า นั่นมันจางเหมี่ยวลี่ใช่หรือไม่? นางจะซื้อโคมไฟมากมายไปทำอะไรกัน?
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD