เหลาสุราแห่งนี้เป็นเหลาสุราที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแคว้นฟงหลิง เป็นกิจการเดียวที่ตระกูลท่านตามี นับตั้งแต่ท่านตาท่านยายและท่านแม่ตายจากไป กิจการนี้เคยตกไปอยู่ในมือของหลี่ฟางมารดาเลี้ยงของเขา นางอ้างว่าเขาอายุยังน้อยยังไม่รู้เรื่องยื่นมือมาจัดการบัญชี เมื่อเขาเติบโตขึ้นต้องใช้ความพยายามอยู่ไม่น้อย เพื่อให้กิจการนี้กลับมาอยู่ในมือของตนอีกครั้ง
แม้หลี่ฟางจะเคยดูแลกิจการอยู่ช่วงหนึ่ง แต่กลับไม่อาจทำให้มีกำไรงอกงามขึ้นมาได้ เพราะสูตรลับทั้งหมดท่านแม่ให้เขาเก็บซ่อนเอาไว้อย่างดี เมื่อเขากลับมาดูแลอีกครั้ง จึงมอบสูตรลับให้คนที่ไว้ใจได้ ก่อนที่เหลาสุราจะกลับมาทำเงินเป็นกอบเป็นกำอีกครั้ง นับแต่นั้นทุกครั้งยามที่กลับมาเมืองหลวง เขามักจะมาอยู่ที่นี่ไม่ยอมกลับตำหนักชินอ๋องอีกเลย
เมื่อเดินเข้ามาด้านในแล้ว ชายหนุ่มก็ขึ้นไปที่ชั้นบนสุดของเหลาสุรา ที่นี่คือที่พักของเขา ทุกอย่างถูกจัดแต่งอย่างหรูหรา มิได้ด้อยไปกว่าตอนที่เขาพำพักในตำหนักชินอ๋องเลย ท่านลุงหม่าบ่าวรับใช้คนสนิทของท่านแม่ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว ก็ติดตามเขามาอยู่ที่นี่ด้วย เมื่อเห็นว่าเขากลับมาแล้ว ท่านลุงหม่าก็ดีอกดีใจอย่างเห็นได้ชัด
"ซื่อจื่อท่านกลับมาแล้ว บ่าวเตรียมน้ำร้อนไว้ให้ท่านแล้ว อีกสักครู่จะให้คนนำอาหารขึ้นมาส่งนะขอรับ"
เซียวจิ้งพยักหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง เขาถอดเสื้อผ้าออก ก่อนจะเดินเข้าไปแช่ตัวในอ่างน้ำ ไอน้ำลอยวนจนราวกับม่านหมอกหนา เขาหลับตาลงพลางครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมามากมาย หนึ่งในนั้นคือเรื่องของเจี่ยงหร่าน
นับตั้งแต่รู้ว่านางสิ้นชีพจิตใจของเขาหมองเศร้าไม่น้อยเลย ไม่อาจลบภาพนางไปได้จากจิตใจได้ อีกทั้งยังโกรธแค้นฉู่อี้เฉินที่ไม่รักษานางเอาไว้ให้ดี
ทั้งที่เป็นคนได้ครอบครองทุกพื้นที่ในใจของนาง แต่กลับบีบคั้นนางจนหมดทางรอด
ส่วนอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องของจางเหมี่ยวลี่
เดิมทีสตรีนางนั้นสิ้นใจตายไปแล้ว แต่กลับฟื้นขึ้นมาได้ราวปาฎิหารย์ อีกทั้งแววตาที่มองเขาก็ดูผิดปกติต่างไปจากเดิมเป็นอย่างยิ่ง
เซียวจิ้งยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว รู้สึกว่าระยะนี้เรื่องราวรอบตัวคล้ายจะผิดแปลกไปไม่น้อยเลย
ยามนี้เป็นช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิ อากาศจึงค่อนข้างดีไม่เลว เจี่ยงหร่านตื่นขึ้นมาแต่เช้า ก่อนจะออกมาเดินยืดเส้นยืดสายที่ลานกว้างด้านหน้าเรือนอย่างอารมณ์ดี ช่วงหลายวันที่มาอยู่ในร่างนี้เจี่ยงหร่านต้องปรับตัวไม่น้อย แต่ถึงแม้จะต้องปรับตัว แต่นางรู้ดีว่าคนเราอย่างไรก็ไม่อาจละทิ้งนิสัยเดิมที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดไปได้
ตั้งแต่มาเกิดใหม่ในร่างนี้ เจี่ยงหร่านได้เรียนรู้ทุกอย่าง เรื่องมากมายที่นางไม่เคยพบเจอมาก่อนเหมือนตอนที่อยู่แคว้นซ่ง
ที่นี่ยังคงมิได้เปิดกว้างให้สตรีทำตามใจชอบได้มากเท่ากับแคว้นซ่ง การแต่งกายก็มักแต่งด้วยสีสันสดใส แต่งหน้าทาปากหน้าราวกับจะไปเล่นงิ้ว นางในร่างเก่านั้นชอบสวมเสื้อผ้าสีมืดทึบ เพราะชีวิตอยู่ในค่ายทหารมาตั้งแต่วัยเยาว์ ทำให้ไม่ได้มีโอกาสสวมใส่เสื้อผ้างดงามเหมือนหญิงสาวอื่นๆ นอกจากสวมชุดทหารแล้ว ก็ไม่เคยได้สวมชุดงดงามหรือแต้มชาดผัดแป้งเลยสักครา
เมื่อมานึกย้อนดูแล้ว นางโง่เหลือเกิน นางมีสภาพไม่น่ามองถึงเพียงนั้น ผิวพรรณไม่ได้ขาวสะอาด ใบหน้าไม่แต่งเติม ร่างกายมีรอยแผลจากการฝึก ฉู่อี้เฉินจะมาหลงรักนางได้อย่างไรกัน ต่างจากฟ่านเหยาที่แต่งกายสวยงามอ่อนหวานดึงดูดหัวใจบุรุษ นั่นต่างหากที่เรียกว่าหญิงงามอย่างแท้จริง
เจี่ยงหร่านรู้ดีว่าการที่นางมาอยู่ในร่างนี้นับว่าสะดวกสบายไม่น้อย จางเหมี่ยวลี่คือบุตรสาวแม่ทัพใหญ่แคว้นฟงหลิง การจะทำอันใดย่อมสะดวกมากกว่า แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นอิสตรี นางเองก็ยังไม่กล้าพอที่เอาร่างของจางเหมี่ยวลี่ไปเสี่ยงอันตรายเช่นการวางแผนคิดจะสังหารฉู่อี้เฉินและฟ่านเหยา
พูดตามตรงก็คือ ในยามนี้นางยังมืดแปดด้าน คงทำได้เพียงดูสถานการณ์ไปพลางๆ ก่อน ถือว่าเรียนรู้เรื่องราวในแคว้นฟงหลิงไปด้วย
นางถอนหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะเหลือบตามองโต๊ะเครื่องแป้ง หญิงสาวผู้นี้มีเครื่องประทินโฉมมากมายจนแทบจะเปิดร้านได้อยู่แล้ว บางอย่างยังใช้ไม่หมดนางก็ซื้อมาใหม่ เจี่ยงหร่านหยิบชาดทาปากขึ้นมาพิจารณาดู พบว่ามันมีกลิ่นบุปผาที่หอมจัด แต่สำหรับนางแล้วกลิ่นเช่นนี้ฉุนจมูกเกินไป
นางมองไปรอบๆ บรรยากาศในจวนตระกูลจางนับว่ายอดเยี่ยมมาก ทุกอย่างดูงดงามกว่าจวนตระกูลเจี่ยงของนางเสียอีก
เจี่ยงหร่านเดินไปได้ครู่หนึ่งเกือบจะล้มฟาดพื้น ชุดที่สวมใส่มันรุ่มร่ามเหลือเกิน ไม่เหมือนชุดฝึกทหาร แต่นางก็พยายามอย่างมากที่จะทำตัวให้คุ้นชิน มิให้เป็นที่สงสัยและจับตามองของคนในจวน
ที่สำคัญท่านแม่ทัพใหญ่จางและจางฮูหยินก็ดีต่อบุตรสาวเป็นยิ่งนัก ต่อให้นางดูแปลกประหลาดพิสดารเพียงใด ทั้งบิดามารดาก็ยังบอกว่านางดีที่สุด
ไม่แปลกใจเลยว่า เพราะเหตุใดเจ้าของร่างเดิมจึงนิสัยเสียและร้ายกาจเช่นนี้ เพราะถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามอกตามใจนั่นเอง
"เหมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าออกมาเดินรับลมหรือ"
เสียงของบุรุษผู้หนึ่งทักทายขึ้นมาทำให้เจี่ยงหร่านต้องหันไปมอง ก่อนจะพบว่าเป็นจางเฉวียนพี่ชายของจางเหมี่ยวลี่นั่นเอง
จางเฉวียนองอาจรูปงาม ได้ยินว่าเขาได้รับบาดเจ็บจากการไปออกรบครั้งก่อน เพราะว่าร่างกายแข็งแรงดีพักเพียงไม่กี่วันอาการเริ่มดีขึ้นแล้ว พี่ชายผู้นี้นับว่าเอ็นดูน้องสาวอยู่ไม่น้อย และเป็นคนเดียวในจวนที่กล้าเอ่ยวาจาตักเตือน ยามที่เจ้าของร่างเดิมทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
เจี่ยงหร่านฉีกยิ้มกว้างให้จางเฉวียน นางเดินเข้าไปหาเขาด้วยท่าทีประหม่าเล็กน้อย นางไม่คุ้นชินกับคนตระกูลจาง จึงไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นสนทนากับพี่ชายผู้นี้เช่นไรดี
"ท่านพี่หายดีแล้วหรือเจ้าคะ"
หญิงสาวไถ่ถามด้วยน้ำเสียงที่กระด้างอยู่บ้าง เพราะอยู่ในค่ายทหารมาตั้งแต่เด็ก บิดาสอนนางทุกอย่าง ทำให้นางสนิทกับบิดามาก เรื่องความอ่อนหวานเยี่ยงสตรี หรือสนทนาพาทีเยี่ยงหญิงสาวในห้องหอนางล้วนแล้วไม่ชินเท่าใดนัก
จางเฉวียนเคยชินเสียแล้วกับท่าทีไม่สนใจสิ่งใดของจางเหมี่ยวลี่ เพราะถูกเขาดุด่าสั่งสอนอยู่เสมอนางจึงไม่ค่อยจะสนิทสนมกับพี่ชายเช่นเขาเท่าใดนัก
แต่ได้ยินท่านพ่อท่านแม่บอกว่า ตั้งแต่จางเหมี่ยวลี่ฟื้นขึ้นมาก็ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เหมือนกับไม่ใช่คนเดิม เขาเองก็สงสัยเช่นกัน ถึงอย่างไรน้องสาวก็ฟื้นคืนมาแล้ว หากเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นก็ถือว่าเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดคุยกับนาง
"ดีขึ้นมากแล้ว เจ้าเล่า ได้ยินสาวใช้บอกว่าเจ้าตื่นเช้ากว่าเมื่อก่อนมาก อีกทั้งยังลุกขึ้นมาฝึกวรยุทธ์ เมื่อ่ใดกันที่เจ้ากลับมาสนใจการฝึกฝนร่างกายอีกครั้ง"
เจี่ยงหร่านที่ได้ยินเช่นนั้น ก็ลอบตกใจไม่น้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา
"เพราะว่าข้าผ่านความตายมาแล้วหนหนึ่ง จึงทำให้คิดได้เจ้าค่ะ ว่าควรทำสิ่งที่สมควรทำมากกว่า"
"ดีมาก เห็นเจ้าเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีเช่นนี้ ข้าเองก็ดีใจ เจ้าอย่าได้เอาเวลาไปสนในศาสตร์ที่น่ารังเกียจเช่นนั้นอีกเลยนะ เวลานี้ผู้คนล้วนหวาดกลัวเจ้ากันหมดแล้ว"
เจี่ยงหร่านยิ้มพร้อมกับพยักหน้ารัวๆ ก่อนกล่าวลาแล้วเดินกลับมาที่เรือนของตน เมื่อมาถึงก็พบว่าสาวใช้ได้เตรียมอาหารรอเอาไว้แล้ว สาวใช้ที่คอยรับใช้ใกล้ชิดนางมีนามว่าเยว่ซิน หลายวันมานี้นางสังเกตเห็นว่าเยว่ซินค่อนข้างหวาดกลัวนาง ไม่ใช่แค่เยว่ซินแม้แต่สาวใช้คนอื่นๆ ก็เกรงกลัวกันทั้งสิ้น
เจ้าของร่างเดิมทุบตีบ่าวไพร่ไม่เว้นวัน ผู้ใดบ้างจะไม่ยำเกรง
แต่ก่อนเจี่ยงหร่านก็มีสาวใช้ แต่นางจะแบ่งทุกอย่างให้สาวใช้ นางได้กินสิ่งใดสาวใช้ย่อมได้กิินด้วยเสมอ
เจี่ยงหร่านนั่งลงที่เก้าอี้แล้วจ้องมองอาหารตรงหน้าด้วยแววตาอึ้งงันครู่หนึ่ง อาหารยังคงเป็นเช่นทุกวัน มีแต่ผัก ไม่มีเนื้อเลยแม้แต่น้อย เจี่ยงหร่านเริ่มทนไม่ไหวแล้ว นางรู้ว่าหญิงสาวผู้นี้รักสวยรักงามแต่ทำเช่นนี้มันเกินไปหน่อยกระมัง
นางรอดชีวิตรอดมาได้เช่นใดกัน ด้วยการกินอาหารเพียงเท่านี้?
เมื่อคิดได้ดังนั้น เจี่ยงหร่านจึงหันไปหาเยว่ซินในทันที แต่นางยังไม่ได้เอ่ยปาก เพียงแค่มองเยว่ซินก็สะดุ้งเสียแล้ว
"คุณหนู บ่าว บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ บ่าวควรจะลดข้าวลงให้เหลือครึ่งชาม"
ลดข้าวครึ่งชาม!
บ้าไปแล้วหรือนี่ เอาข้าวให้คนกินหรือเซ่นผีกันแน่?
เจี่ยงหร่านเห็นว่าเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ได้การแล้ว นางคงต้องหิวตายเป็นแน่ แต่ไหนแต่ไรนางกินข้าวมื้อละสองสามถ้วยเสียด้วยซ้ำ
"เลิกกลัวแล้วฟังข้าก่อนเถอะ"
อาจเพราะนางใช้น้ำเสียงที่ดุดันเหมือนสั่งทหารไปหน่อย เยว่ซินจึงยิ่งหวาดผวาเข้าไปใหญ่ เจี่ยงหร่านสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกล่าว
"เยว่ซิน เจ้าฟังนะ เจ้าไม่ต้องกลัว ต่อไปข้าจะไม่ตีเจ้าแล้ว เราจะอยู่กันอย่างสงบสุข แต่ก่อนข้าอาจทำไม่ดีกับพวกเจ้า แต่ต่อไปนี้ข้าจะทำดีต่อพวกเจ้าดีหรือไม่"
เยว่ซินเงยหน้ามามองจางเหมี่ยวลี่ด้วยแววตาที่ขลาดกลัวพร้อมกับแอบครุ่นคิดในใจ
สวรรค์ คุณหนูของพวกนางแช่น้ำว่านสมุนไพรน้ำไหลเข้าสมองจนสติเลอะเลือนไปแล้วหรือนี่!
จะใจดีได้สักกี่วันกันเชียว
แม้ในใจจะลอบนินทาเจ้านาย แต่เยว่ซินก็ยังพยักหน้าเบาๆ เจี่ยงหร่านที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยื่นมือไปประคองเยว่ซินขึ้นมา พลางพูดว่า
"เมื่อเข้าใจแล้ว จงฟังข้า ไปทำอาหารที่มีเนื้อมาเยอะๆ เอาข้าวมาเพิ่มอีกสามถ้วย เข้าใจหรือไม่"
"ห๊ะ!"
"ไม่ต้องตกใจ รีบไปเร็วเข้าข้าหิวแล้ว"
เยว่ซินพยักหน้าอย่างสับสนงงงวย นางรีบไปสั่งให้บ่าวไพร่ในจวนทำอาหาตามที่เจ้านายบอก บ่าวรับใช้ในโรงครัวต่างตั้งวงนินทากันอย่างลับๆ
ต้องเป็นวิญญาณอดอยากที่มาสิงคุณหนูอย่างแน่นอน ร้อยวันพันปีนางไม่กินของเช่นนี้
ให้ตายเถอะ มีผีกี่ตนที่สิงคุณหนูกันแน่?
ด้านเจี่ยงหร่านที่กำลังถูกคนซุบซิบนินทาว่าถูกผีอดอยากมาสิงก็กำลังเดินดูบริเวณโดยรอบภายในเรือนเหลียนฮวา เพราะหลายวันก่อนนางยังเพลียไม่น้อย อีกทั้งยังอาเจียนเอาของเสียออกไปมากจนต้องนอนซมอยู่บนเตียงหลายวัน จึงยังไม่ได้เดินดูข้าวของใช้ในเรือนของตน
เรือนด้านนอกนั้นไม่มีอะไรมาก ทุกอย่างล้วนตกแต่งอย่างงดงาม ภาพวาดทิวทัศน์นั้นดูแล้วเหมือนจะเป็นฝีมือของเจ้าของร่างเดิมเพราะมีตัวอักษรคำว่าเหมี่ยวกำกับเอาไว้ด้านล่างภาพวาดนั้น นับว่ามีฝีมือไม่น้อยเลย
ช่างเป็นสาวงามที่เพียบพร้อมจริงๆ นางก็เคยเป็นเช่นนี้ เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ แต่กลับมิได้มีใบหน้าที่งดงามเท่าร่างนี้
เจี่ยงหร่านเดินไปเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่ห้องนอน สายตาของนางพลันเหลือบไปเห็นหีบใบหนึ่งอยู่ที่ใต้เตียงนอน หญิงสาวจึงนั่งลงและยื่นมือไปเลื่อนหีบใบนั้นออกมาเปิดดู มันไม่ได้ใส่กุญแจทำให้เปิดออกดูได้โดยง่าย เมื่อเปิดออกมา นางก็ถึงกับตื่นตะลึง
นี่มันอันใดกัน!
เหตุใดจึงมีแต่ยันต์สาปแช่งเต็มไปหมด อีกทั้งยังมีตำราการสาปแช่งอีกด้วย
เจี่ยงหร่านรื้อค้นของเหล่านั้นขึ้นมาดู พบว่ามีทั้งตำราสาปแช่ง ตำราความงาม ตำราขอพร ยังมีวิธีแช่น้ำกลางแสงจันทร์เพื่อให้ผิวพรรณขาวผ่อง ในแผ่นยันต์มีชื่อของสตรีหลายคน ที่นางไม่รู้จักเขียนอยู่บนแผ่นยันต์นั้นเต็มไปหมด
เจี่ยงหร่านในร่างของจางเหมี่ยวลี่ขมวดคิ้วแน่น ฉับพลันภาพเก่าๆก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
เจ้าของร่างเดิมทำพิธีสาปแช่งสตรีทุกคนที่งดงามกว่านาง เก่งกว่านาง เพียงเพราะความริษยา
เจี่ยงหร่านโคลงศีรษะแทบไม่อยากจะเชื่อ หน้าตางดงามถึงเพียงนี้ เพียบพร้อมถึงเพียงนี้ แต่กับเล่นของพวกนี้ได้อย่างไรกัน บ้าไปแล้ว!
นางยังคงรื้อค้นต่อไป จนกระทั่งไปพบกับตำราเล่มหนึ่ง นางจึงเปิดออกอ่านเมื่อเปิดดูเจี่ยงหร่านถึงกับตัวแข็งทื่อจนทำสิ่งใดไม่ถูก
ข้าจะต้องทำให้พี่เซียวจิ้งยกขาเรียวสวยของข้าพาดบ่าเขาให้ได้
ไม่นานก็ต้องแต่งงานกันแล้ว อีกเมื่อใดกันที่ข้าจะได้เป็นภรรยาของเขา ข้าสัญญาว่าจะทำหน้าที่ภรรยาให้ดี
อาหารพวกนี้ข้าสวดขอพรไปแล้ว เมื่อพี่เซียวจิ้งกินเข้าไปก็จะต้องหลงข้าจนโงหัวไม่ขึ้นแน่
ให้ตายเถอะ ข้าอยากจะอมแท่งมังกรของเขาใจจะขาดอยู่แล้ว ทำอย่างไรดี!
นอกจากคำบรรยายแล้วยังมีภาพของบุรุษและสตรีที่กำลังร่วมรักกัน เจี่ยงหร่านมองออกว่าคนในภาพคือเซียวจิ้งและจางเหมี่ยวลี่เพราะมีชื่อของคนทั้งสองกำกับเอาไว้
ให้ตายเถอะ! นี่คลั่งไคล้เสียจนเก็บเอามาวาดเป็นฉากๆ ได้เลยหรือนี่!
ก่อนหน้านี้ นางรู้แล้วว่าร่างนี้คือว่าที่ภรรยาของเซียวจิ้งสหายแดนไกลผู้นั้นของนาง เจี่ยงหร่านถอนหายใจออกมาเล็กน้อยพลางใคร่ครวญอยู่ในใจ
สหายเซียว ที่แท้ท่านก็มีความลำบากใจไม่ต่างจากข้าเหมือนกันสินะ!