นับจากวันนั้น เจี่ยงหร่านก็กลายเป็นจางเหมี่ยวลี่ไปโดยปริยาย แรกเริ่มนางไม่ค่อยคุ้นชินเท่าใดนัก คาดว่าคงจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทาง
ด้านเซียวจิ้งนั้น หลังจากที่กลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว เขาก็เดินทางเข้าวังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้เสด็จลุงของตน ฮ่องเต้เซียวหลางดีใจเป็นอย่างมากที่หลานชายกลับมาอย่างปลอดภัย
ฮ่องเต้มีบุตรชายที่เกิดจากฮองเฮาหนึ่งคนและบุตรีหนึ่งคน องค์หญิงใหญ่เซียวหลิงคือบุตรสาวคนโตปีนี้อายุยี่สิบปีแล้ว เพราะเขาสุขภาพไม่สู้ดีทำให้บุตรยาก เมื่อสิบปีก่อนฮองเฮาเพิ่งจะมีพระประสูติกาลองค์รัชทายาท นามว่าเซียวหลง เวลานี้มีอายุได้สิบปีแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ไม่สามารถมีทายาทได้อีก ในวังหลวงมิได้รับนางสนมเพิ่มเลยแม้แต่คนเดียว
มีเสียงเล่าลือหนาหูว่าเขารักใคร่เซียวจิ้งราวกับบุตรแท้ๆของตน นั่นอาจทำให้เซียวจิ้งมีใจคิดก่อกบฏแต่เขากลับไม่คิดเช่นนั้น เขารู้นิสัยของเซียวจิ้งเป็นอย่างดี หลานชายผู้นี้หากไม่มีเรื่องสำคัญ ย่อมไม่คิดจะกลับเมืองหลวงอยู่แล้ว
เพราะอย่างนี้ข่าวลือภายนอกจึงมิอาจส่งผลใดๆ ต่อฮ่องเต้และฮองเฮาได้เลยแม้แต่น้อย
"ถวายพระพรเสด็จลุงพ่ะย่ะค่ะ"
เซียวจิ้งทำความเคารพอย่างนอบน้อม ฮ่องเต้เซียวหลางยิ้มกว้าง ทักทายอย่างเป็นกันเอง
"ไม่ต้องมากพิธี มานั่งดื่มชากับลุงเร็วเข้า แล้วเล่าให้ลุงฟังทีว่า สงครามรอบนี้เป็นเช่นไร"
เซียวจิ้งพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินไปนั่งตรงข้ามผู้เป็นเสด็จลุงด้วยท่าทีผ่อนคลาย
"นับว่าดีพ่ะย่ะค่ะ ต้าฉีแม้จะไม่ยอมศิโรราบแต่การศึกครั้งนี้ ทำให้พวกเขาต้องเสียกำลังทหารไปไม่น้อยเลย คาดว่าคงไม่สามารถก่อคลื่นลมได้ในเร็ววัน ส่วนแคว้นฉู่นั้น ฮ่องเต้แคว้นฉู่ยินยอมสวามิภักดิ์ พร้อมกับจะส่งทูตมาเจรจาเพื่อสันติภาพ ส่วนแคว้นซ่งเป็นแคว้นที่มีกำลังทหารไม่ด้อยไปกว่าแคว้นของเรา เรื่องนี้จะต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดพ่ะย่ะค่ะ แต่หลานคิดว่า ยามนี้ฮ่องเต้แคว้นซ่งเพิ่งขึ้นครองราชย์ อำนาจการการเมืองยังไม่มั่นคง อาจจะยังไม่คิดก่อสงครามในเร็ววัน เราต้องถือโอกาสนี้เปิดรับทหารใหม่เข้ามาเพิ่ม เพื่อฝึกฝนเตรียมพร้อมเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ"
ฮ่องเต้เซียวหลางเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย สนทนาต่อ
"ได้ ลุงจะทำตามที่เจ้าบอก อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ท่านป้าฮองเฮาของเจ้าน่ะ อยากให้มีการเปิดรับสตรีเข้าเป็นทหาร เพราะเซียวหลิงเองมีความสามารถด้านบู๊ ติดตรงที่นางเป็นสตรีจึงไม่สามารถเข้ากองทัพได้ ข้าจึงคิดว่าหากเราเปิดรับสมัครทหารหญิงจะให้เซียวหลิงเข้าร่วมด้วย ข้าคิดว่ายามนี้เราควรเปิดกว้างแล้ว บางทีอาจจะมีหญิงสาวที่เป็นเพชรยอดมงกุฎซ่อนตัวอยู่ในแคว้นของเราก็ได้ เจ้าเห็นเป็นเช่นไร"
เซียวจิ้งยกถ้วยชาขึ้นดื่ม พลางกล่าวช้าๆ
"เรื่องนี้หลานไม่คัดค้าน เดิมทีแคว้นซ่งเป็นแคว้นแรกที่เปิดกว้างเรื่องนี้ เคยมีสตรีนางหนึ่งเป็นถึงรองแม่ทัพกองทัพหวังหย่ง แต่น่าเสียดายที่หลังจากผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางหมดประโยชน์ ฮ่องเต้องค์ใหม่จึงไม่เก็บนางเอาไว้"
"เขาคิดอะไรอยู่จึงสังหารยอดฝีมือของตนเอง"
"เพราะคิดว่านางเป็นภัยร้าย เก็บเอาไว้เกรงว่านางจะก่อคลื่นลมกระมัง"
ฮ่องเต้เซียวหลงพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะเอ่ย
"เรื่องนี้เจ้าคงเห็นด้วย แต่ขุนนางเก่าแก่ที่คร่ำครึยึดถือกฎระเบียบพวกนั้นคงจะคัดค้านข้าหัวชนฝาเป็นแน่"
"เสด็จลุง พระองค์คือเจ้าของแผ่นดิน ขุนนางพวกนั้นจะอยู่เหนือท่านได้อย่างไร อีกทั้งในยามนี้สตรีหลายคนมีฝีมือไม่ต่างจากบุรุษ พวกนางมีมือมีเท้าเช่นเดียวกับพวกเรา เหตุใดไม่ลองให้โอกาสพวกนางดูเล่า หากไม่มีความก้าวหน้าก็เพียงแค่ปลดพวกนางเท่านั้นเอง"
"อืม เรื่องนี้ยังต้องประชุมปรึกษาหารือเสียก่อน คาดว่าไม่เกินหนึ่งเดิือนคงจะมีคำตอบ ว่าแต่เจ้าเถอะ กลับตำหนักอ๋องบ้างสิ บิดาเจ้าคงรออยู่"
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของเซียวจิ้งก็ฉายแววเย็นชาขึ้นมาหลายส่วน ฮ่องเต้เซียวหลางที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมา
"จิ้งเอ๋อร์ อย่างไรเขาก็คือบิดาเจ้า เจ้าจะเฉยชาต่อเขาเช่นนี้ไปตลอดไม่ได้หรอกนะ ตราบใดที่มีลุงอยู่ ตำแหน่งซื่อจื่อไม่มีทางหลุดไปจากมือเจ้า"
"หลานไม่เคยอยากได้ตำแหน่งนี้"
"จิ้งเอ๋อร์"
"ในเมื่อเสด็จลุงเอ่ยปาก หลานก็จะไปพบเขาเสียหน่อย ขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ"
เมื่อเอ่ยจบเซียวจิ้งก็ขอตัวออกจากวังหลวงในทันที เขาเดินไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน ดวงตาของชายหนุ่มเรียบเฉยราวกับไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งใดทั้งสิ้น
ตำหนักชินอ๋อง
ยามนี้ เซียวจิ้งยืนอยู่ที่ด้านหน้าประตูตำหนักชินอ๋อง หากไม่มีเรื่องสำคัญ เขาไม่เคยคิดอยากจะมาเหยียบที่ตำหนักนี้เลยแม้แต่น้อย คนเฝ้าหน้าประตูที่เห็นเขาก็ทักทายด้วยความดีใจ ก่อนจะเปิดประตูให้เขาเข้าไปด้านใน เซียวจิ้งเดินเข้าไปอย่างช้าๆ ผ่านสาวใช้น้อยใหญ่ที่ทำความเคารพและมองเขาด้วยแววตาที่ชื่นชม ก่อนที่ชายหนุ่มจะมาหยุดอยู่ที่เรือนใหญ่
เสียงพูดคุยสนทนาดังขึ้นมาไม่ขาดสาย มีทั้งเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยสนิทสนม เซียวจิ้งรู้ดีว่านั่นคือเสียงของมารดาเลี้ยงและน้องชายต่างมารดาของเขา
ชินอ๋องเซียวฟงที่กำลังเงยหน้าขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเซียวจิ้งยืนอยู่ด้านหน้าประตู ก็ร้องเรียกทันที
"จิ้งเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้วหรือ รีบเข้ามาเร็วเข้า"
หลี่ฟาง พระชายาเอกชินอ๋องหันมามองเซียวจิ้งด้วยแววตาที่เรียบเฉย แม้กระทั่ง เซียวกั๋ว ก็ยังมองพี่ชายด้วยสายตาที่ห่างเหิน
เดิมทีพวกนางสองแม่ลูกภาวนาอยู่ทุกวันขอให้เซียวจิ้งตายตกไปในสนามรบเสียเลย ตำแหน่งซื่อจื่อจะได้ตกเป็นของบุตรชายนาง
แต่นอกจากเซียวจิ้งจะดวงแข็งไม่ตายแล้ว ยังกลับมาอย่างยิ่งใหญ่เหยียบตำหนักอ๋องได้อีก
เซียวจิ้งไม่สนใจสายตาของสองแม่ลูก เขาเดินเข้ามาทำความเคารพบิดา
"คารวะเสด็จพ่อ"
ชินอ๋องเซียวฟงมองบุตรชายด้วยสายตาอ่อนโยน พลางบ่นขึ้นมา
"ข้าบอกเจ้าแล้ว ว่าอย่าเข้าสนามรบ เจ้าดูข้าสิ ในวัยหนุ่มข้าน่ะคือองค์ชายผู้เลื่องชื่อ คัดอักษรวาดภาพล้วนเก่งกาจดีงามทั้งสิ้น ไม่เคยจับดาบจับกระบี่ แต่เจ้ากลับเอาอย่างมารดาของเจ้า ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ"
ไม่กล่าววาจาใดยังพอทนได้ แต่เมื่อได้ยินชินอ๋องเซียวฟงเอ่ยถึงมารดาผู้ล่วงลับ เซียวจิ้งก็แค่นเสียงหึออกมาอย่างเย็นชา
"ทำไมหรือ ท่านแม่ข้าเก่งกาจการรบ ไม่ได้เก่งการด้านวิชาจิ้งจอกล่อลวงใจบุรุษสินะ ท่านจึงไม่ชอบ"
"จิ้งเอ๋อร์ เจ้ากลับมาก็ชวนข้าทะเลาะ เจ้าลูกอกตัญญู หากกลับมาแล้วเอ่ยวาจาเช่นนี้จะเสนอหน้ามาทำไมกัน!"
"หากเสด็จลุงไม่บอก ข้าก็ไม่อยากมาเยียบสถานที่โสโครกเช่นนี้หรอก"
"หึ ทุกวันนี้เจ้าก็เห็นเขาเป็นบิดาแทนข้าอยู่แล้วนี่ ไสหัวไปสิ ไปขอตำแหน่งสูงศักดิ์จากเสด็จลุงของเจ้าเสียเถอะ"
เซียวจิ้งที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่รั้งอยู่ต่อ เขาหันหลังเดินออกมาจากตำหนักชินอ๋องอย่างไม่สนใจ ก่อนจะมุ่งหน้าไปที่เหลาสุราในทันที
เหลาสุราแห่งนี้เป็นสถานที่แห่งเดียวที่ท่านแม่เหลือเอาไว้ให้กับเขา
เป็นสถานที่เดียวที่เขารู้สึกว่ามันเป็นบ้านที่แท้จริงของเขา