บทที่ 8 เงื่อนงำการตายและการลอบสังหาร

2958 Words
เมื่อฝึกจนเหงื่ออกไปทั่วทั้งร่างกายแล้ว เจี่ยงหร่านก็กลับมาอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ที่เรือน ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ นางก็ให้เยว่ซินตุ๋นน้ำแกงสมุนไพรบำรุงกำลังมาให้นางดื่มแทนน้ำแกงรกเด็กที่น่ากลัวถ้วยนั้น เมื่อได้ดื่มน้ำแกงสมุนไพรร่างกายของนางก็ฟื้นฟูขึ้นมาไม่น้อย ทว่าสิ่งที่น่าแปลกใจก็คือมีอยู่วันหนึ่งนางมีระดู เดิมทีหญิงสาวมีระดูก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ แต่นางกลับปวดท้องอย่างหนักหน่วง และระดูที่ไหลออกมาล้วนเป็นเลือดสีดำเข้มจนน่ากลัว แรกเริ่มนางไม่คิดอะไรมาก แต่กระทั่งเดือนต่อมานางก็ยังมีอาการเช่นนี้อยู่อีก เจี่ยงหร่านจึงรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติ อาการเหมือนกับคนที่โดนพิษและยังขับพิษออกไม่หมดอย่างไรอย่างนั้น แต่เป็นพิษชนิดใดนางเองก็มิอาจรู้ได้ และไม่รู้ว่ามันจะส่งผลใดต่อชีวิตของนางในกาลต่อไปอย่างไรบ้าง เจี่ยงหร่านครุ่นคิดเท่าใดก็คิดไม่ออก จนกระทั่งนางรู้สึกว่าการตายของเจ้าของร่างเดิมอาจจะมีเงื่อนงำก็เป็นได้ หรือว่าร่างเดิมไม่ได้ตายเพราะล้มป่วย แต่ถูกวางยาพิษเช่นนั้นหรือ แล้วผู้ใดกันที่วางยาพิษนาง? แล้วคนที่ลงมือเป็นผู้ใด และจุดประสงค์ที่สังหารจางเหมี่ยวลี่คือสิ่งใด? น่าปวดหัวยิ่งนัก หากไม่รีบหาทางถอนพิษที่เหลือออกไปจากร่างกาย มันจะส่งผลต่อสุขภาพของนางเป็นแน่ หากได้เข้าค่ายทหารแล้วมีอาการเช่นนี้ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องถูกคัดออก ในค่ายทหารย่อมไม่เลี้ยงคนไร้ประโยชน์และคนป่วยเอาไว้เป็นแน่ เวลานี้มีทางเดียวคือต้องบำรุงร่างกายให้ดีก่อน เมื่อคิดได้ดังนั้นเจี่ยงหร่านก็สั่งให้เยว่ซินไปหาซื้อสมุนไพรตามที่นางบอกมาต้ม มันเป็นสมุนไพรสูตรที่นางใช้ดื่มบำรุงร่างกายอยู่เสมอ และห้ามเยว่ซินบอกคนในจวน นางไม่อยากทำให้ทุกคนตื่นตระหนก เพราะยามนี้อาการก็ยังไม่ได้เลวร้ายเท่าใดนัก หลายวันต่อจากนั้นจางฮูหยินก็คิดจะไปไหว้พระเพื่อขอพรที่วัดบนเขา ตั้งใจจะพาจางเฉวียนและจางเหมี่ยวลี่ไปด้วย ถึงอย่างไรบุตรชายบุตรสาวก็เพิ่งก้าวจะข้ามผ่านความตายมาได้ ควรจะไหว้พระขอพรให้จิตใจสงบสุขจึงจะถูกต้อง เช้าตรู่วันต่อมา จางเหมี่ยวลี่ขึ้นรถม้าไปพร้อมกับมารดาและพี่ชาย ส่วนบิดานางนั้นมีเรื่องให้ต้องจัดการที่ค่ายทหารจึงไม่ได้เดินทางไปด้วยกัน ระยะทางจากจวนตระกูลจางไปที่วัดบนเขานั้นต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางที่นานอยู่ไม่น้อยเลย ระหว่างทางจางฮูหยินสนทนากับบุตรสาวและบุตรชายอยู่หลายประโยค ทว่าเจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่กลับไม่รู้ว่าควรจะสนทนาอันใดกับจางฮูหยินดี นางจึงนั่งฟังเงียบๆ เสียส่วนใหญ่ จางฮูหยินแม้จะสงสัยกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของบุตรสาว แต่นางก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา ขอเพียงบุตรสาวของนางยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้จะกลายเป็นคนบ้านางก็ยินยอมแล้ว เดินทางมาราวครึ่งค่อนวัน เวลาสายๆก็มาถึงวัดบนเขา เจี่ยงหร่านมองไปรอบๆ ก็พบว่าบริเวณวัดบนเขาแห่งนี้ค่อนข้างเงียบสงบและร่มรื่นไม่น้อยเลย อีกทั้งยังมีผู้คนเดินทางมากราบไหว้ไม่ขาดสาย เจี่ยงหร่านเดินเข้าไปกราบไหว้พระโพธิสัตว์ที่อยู่ด้านใน เมื่อก่อนตอนที่ยังเป็นเจี่ยงหร่านนางไม่เคยเชื่อเรื่องเหล่านี้ จนกระทั่งวันที่นางตายและวิญญาณเข้ามาอยู่ในร่างของจางเหมี่ยวลี่นางจึงจำต้องเชื่อขึ้นมา หญิงสาวจุดธูปก่อนจะอธิษฐานขอพร ข้อแรกนางขอให้คนตระกูลเจี่ยง จงเดินทางไปปรโลกอย่างสงบสุข และขอให้วิญญาณของจางเหมี่ยวลี่ ไปสู่สุคติ และขออภัยที่นางยึดครองร่างนี้ของผู้อื่นเอาไว้ ข้อสองนางขอให้ทุกสิ่งที่นางปรารถนาราบรื่นสมดั่งใจหวัง ขอให้ทุกย่างก้าวของนางเป็นไปด้วยความมีสติและประคองตนอยู่บนความถูกต้องไม่หลงเดินทางผิดเช่นในอดีตอีก และข้อสาม ขอให้นางสามารถจัดการสังหารคนชั่วได้สำเร็จ เมื่ออธิษฐานเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางก็ปักธูปลง กระถางธูป สายลมอ่อนๆ พัดเข้ามาปะทะใบหน้าจนเจี่ยงหร่านขนลุกเล็กน้อย แล้วเงยหน้ามองรูปปั้นพระโพธิสัตว์ครู่หนึ่ง พระโพธิสัตว์จ้องมองลงมาที่นางด้วยแววตาที่เปี่ยมล้นความเมตตา ราวกับรับรู้ถึงคำขอของนางแล้ว เมื่อขอพรเรียบร้อยแล้ว นางก็บริจาคค่าน้ำมันตะเกียงและธูปเทียน เมื่อเดินออกมาด้านนอกก็พบกับจางฮูหยินและจางเฉวียนที่ยืนรอนางอยู่ คนที่อยู่บริเวณรอบๆ ล้วนมองนางด้วยสายตาที่แปลกประหลาด อีกทั้งยังกระซิบกระซาบกัน เพราะนางฝึกวรยุทธ์ย่อมได้ยินเสียงนินทาเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน คนเหล่านั้นบอกว่าคนใจมืดบอดเช่นนางวันนี้นึกครึ้มใจอะไรจึงมาเข้าวัดเข้าวากัน มิใช่ว่่าจะมาเผาวัดหรอกนะ? หรือว่ามนต์ดำย้อนเข้าตัวนาง ดูสิหน้าตาไม่มีสง่าราศีเอาเสียเลย น่าสงสารซื่อจื่อยิ่งนักที่ต้องแต่งนางเป็นภรรยาเวรกรรมแท้ๆ เจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่คร้านจะสนใจสตรีเหล่านั้นที่ลอบนินทานาง หญิงสาวเดินไปหามารดาและพี่ชาย จางฮูหยินมองบุตรสาวด้วยความรักใคร่ก่อนจะเอ่ย "แม่ดีใจนักที่เจ้ายอมมาไหว้พระไหว้เจ้า ทุกครั้ง เอ่อ ช่างมันเถอะ" จางฮูหยินทำเหมือนจะพูดบางอย่าง ทว่ากลับพูดไม่ออก จางเฉวียนที่ได้เห็นเช่นนั้นจึงกล่าวชักชวนขึ้นมา "ท่านแม่ มิสู้ไปกินอาหารเจกันดีหรือไม่ขอรับ อาหารเจที่วัดนี้รสชาติดีมาก" "นั่นสิ เหมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าไปกับแม่เร็วเข้า เฉวียนเอ๋อร์เจ้ามาประคองแม่ที" จางฮูหยินตอบรับอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องรับรอง ซึ่งทางวัดจัดเตรียมเอาไว้ให้กับผู้ที่เดินทางมากราบไหว้และบริจาคค่าน้ำมันธูปเทียน เจี่ยงหร่านเป็นคนกินง่ายเมื่ออาหารมาถึงนางก็กินอย่างไม่รีบไม่ร้อน พบว่ารสชาติอาหารเจอร่อยใช้ได้ จางเฉวียนที่เห็นเช่นนั้น ก็มองดูน้องสาวด้วยแววตาเอื้อเอ็นดู มิใช่ว่าเขาไม่สงสัยในท่าทีที่เปลี่ยนไปของน้องสาว แต่เขาเองไม่อยากจะคิดอันใดให้มากความ อย่างไรเสียเขาก็ชอบน้องสาวที่มีนิสัยน่ารักเช่นนี้มากกว่า หลังจากกินอาหารเจเรียบร้อยแล้ว คนทั้งสามก็สนทนากันเรื่องต่างๆ แต่เจี่ยงหร่านไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของสตรีมากนัก ทั้งเรื่องเครื่องสำอางประทินโฉม ผ้าผ่อนแพรพรรณเสื้อผ้าที่แสนงดงามนางล้วนไม่ชำนาญ แต่หากเป็นเรื่องรบราฆ่าฟัน อาวุธชนิดใดเหมาะจะใช้เป็นอาวุธประจำกายนางยังจะรู้มากกว่าเสียอีก เวลาล่วงเลยมาจนถึงช่วงบ่ายคล้าย จางฮูหยินก็เห็นว่าถึงเวลาที่จะกลับจวนได้แล้ว แต่ยังไม่ทันที่คนทั้งสามจะได้เดินทางกลับ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของบรรดาหญิงสาวและเหล่าบุรุษที่ร้องตะโกนขึ้นมา ตามมาด้วยเสียงฆ่าฟัน เจี่ยงหร่านนิ่วหน้า ก่อนจะหันไปสบตากับจางเฉวียน "เสียงเหมือนมีคนกำลังฆ่ากัน" เมื่อจางเหมี่ยวลี่เอ่ยขึ้นมา จางเฉวียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา เขาจึงหันมาสั่งความกับจางเหมี่ยวลี่ทันที "เจ้าดูท่านแม่ให้ดี ข้าจะออกไปดู" "ไม่ได้ ท่านเพิ่งจะหายดี อีกทั้งบาดแผลก็เพิ่งจะเข้าที่ ข้าไปดูเองดีกว่า" “ไม่ได้! เจ้าเป็นสตรี เหมี่ยวเอ๋อร์!" เขาพูดยังไม่ทันจบจางเหมี่ยวลี่ก็พุ่งทะยานออกไปนอกห้องเสียแล้ว เมื่อมาถึงนางก็พบกับคนชุดดำหลายสิบคนที่กำลังไล่ล่าสังหารคน อีกทั้งยังจุดไฟเผาอารามวัดอย่างไร้ความเคารพ เจี่ยงหร่านขมวดคิ้วแน่น นางรู้สึกว่าเหมือมีบางอย่างผิดปกติ เดิมที่แคว้นฟงหลิงคงจะต้องมีการคุ้มกันที่แน่นหนา แล้วเหตุใดจึงมีนักฆ่าเหล่านี้ลักลอบเข้ามาได้ อีกทั้งท่าทางของพวกมันก็เหมือนกับกำลังตามล่าสังหารใครบางคนอีกด้วย แต่เพราะหาไม่พบจึงไล่สังหารทุกคนที่พบเจอ ในขณะที่นางกำลังครุ่นคิด ก็มีคนชุดดำผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาหานาง พร้อมกับยกดาบขึ้นหมายจะสังหาร เจี่ยงหร่านที่เห็นแล้ว ก็มองนักฆ่าด้วยใบหน้าเรียบเฉยมิได้แสดงท่าทางตกใจกลัวเลยแม้แต่น้อย นางเบี่ยงกายหลบคมดาบได้ทันท่วงที ก่อนจะยกมือขึ้นและฟาดเข้าไปที่แผ่นหลังของคนชุดดำผู้นั้นอย่างเต็มแรง แล้วจัดการแย่งดาบในมือของมันมาก่อนจะสังหารคนอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวของนางรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เอกลักษณ์พิเศษของกองกำลังหวังหย่งก็คือการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ดาบยาวในมือกวัดแกว่งราวกับพู่กันวาดภาพ เพียงไม่นานเหล่านักฆ่าชุดดำก็เริ่มทยอยล้มตายลงไปทีละคน จางเฉวียนที่เป็นห่วงน้องสาวจึงวิ่งออกมาดูโดยให้เยว่ซินอยู่เป็นเพื่อนมารดาก่อน เมื่อได้ออกมาเห็นภาพตรงหน้าเขาก็ตะลึงงันไปทันที เมื่อใดกันที่จางเหมี่ยวลี่มีฝีมือเช่นนี้! คนชุดดำย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง เจี่ยงหร่านที่ประมือกับนักฆ่าไปหลายกระบวนท่ากลับสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ วิถีทางการต่อสู้เหมือนกับทหารของแคว้นซ่งที่ฉู่อี้เฉินฝึกฝนเอาไว้ไม่มีผิด เป็นไปไม่ได้ ฉู่อี้เฉินจะใจกล้าลอบส่งทหารลับเข้ามาในแคว้นฟงหลิงเลยอย่างนั้นหรือ! เขาเล็ดลอดสายตาที่เข้มงวดกวดขันของทหารแคว้นฟงหลิงมาได้อย่างไรกัน เหล่านักฆ่าที่เห็นว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจี่ยงหร่านก็คิดจะหนี แต่ในขณะที่พวกเขากำลังคิดจะหลบหนีก็พบว่ามีลูกธนูพุ่งเข้ามาแทงที่ขาจนล้มลงไม่อาจหนีไปได้ เมื่อเจี่ยงหร่านหันไปมองก็พบว่าเป็นเซียวจิ้งนั่นเอง "คุ้มกันคนที่ไม่เกี่ยวข้องลงเขาให้หมด!" บรรดาทหารต่างรับคำ ก่อนจะพาเหล่าชาวบ้านและคนที่มาไหว้พระเดินทางลงเขาไป มีบางส่วนที่ล้มตายเพราะหนีไม่ทัน ส่วนอารามในวัดก็เสียหายไปไม่น้อย แต่โชคดีที่ไต้ซือในวัดปลอดภัยดีและช่วยดับไฟได้ทัน เหล่านักฆ่าถูกรวบตัวกลับไป เซียวจิ้งเดินเข้ามาหาจางเหมี่ยวลี่พลางเอ่ย "ไม่คิดว่าเจ้าจะมีฝีมือถึงเพียงนี้" เขาเองก็สงสัยไม่น้อยเช่นกัน เมื่อครู่เขาได้รับรายงานจากสายลับว่ามีคนส่งนักฆ่าไปที่วัดบนเขา เป็นไปได้ว่าเป้าหมายคือจางเฉวียน เพราะจางเฉวียนเป็นบุตรชายแม่ทัพใหญ่ หากสังหารจางเสวียนสำเร็จนอกจากจะทำให้ตระกูลจางสิ้นทายาทสืบสกุลแล้ว ยังสามารถทำให้ขวัญกำลังใจของแม่ทัพใหญ่จางหมดสิ้นลงไปด้วย เขาจึงรีบเร่งรุดมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือจางเสวียน แต่สิ่งที่เหนือการคาดหมายก็คือ จางเหมี่ยวลี่กลับสังหารนักฆ่าตายไปหลายคน ตอนที่เขามาถึงเห็นนางกำลังต่อสู้อย่างไม่หวาดหวั่น ดวงตานิ่งสงบราวกับเคยผ่านการฆ่าฟันมานับครั้งไม่ถ้วน การเคลื่อนไหวก็รวดเร็วราวกับถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ท่าทางการต่อสู้ของนางมันทำให้เขาคิดถึงใครบางคนขึ้นมาอย่างฉับพลัน เจี่ยงหร่าน! เซียวจิ้งเคยประมือกับเจี่ยงหร่านในสงครามอยู่หลายครั้งเขาจึงจำท่วงท่าการต่อสู้ของนางได้ จะเป็นไปได้อย่างไร ไม่มีทาง! เขารีบสลัดความคิดที่เป็นไปไม่ได้นี้ออกไปเสีย เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เจี่ยงหร่านตายไปแแล้ว แต่จางเหมี่ยวลี่ไปเรียนการต่อสู้เหล่านี้มาจากที่ใด นางอยู่แต่จวน ไม่ได้ไปไหน และมีวรยุทธ์เพียงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าหลังจากที่นางตายแล้วฟื้นจะมีบางอย่างที่เปลี่ยนไปจนน่าประหลาดใจ เจี่ยงหร่านหันมามองเซียวจิ้ง นางไม่คิดว่าเขาจะมา จึงวางสีหน้าไม่ถูก รีบโยนดาบในมือทิ้งลงไปที่พื้นรีบร้อนแก้ตัวทันที "ท่านพี่จิ้งชมเกินไปแล้ว เพราะระยะหลังมานี้ข้าฝึกฝนทุกวัน มีพี่ใหญ่ช่วยชี้แนะจึงพอสามารถปกป้องตนเองได้" ถ่อมตัวเสียด้วย? เซียวจิ้งจ้องมองจางเหมี่ยวลี่ไม่คลาดสายตาราวกับไม่เชื่อคำที่นางเอ่ย ด้านจางฮูหยินนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาหาบุตรสาวทันที "เหมี่ยวเอ๋อร์ แม่ตกใจแทบตาย เจ้าบาดเจ็บหรือไม่" "ไม่เจ้าค่ะ" "เจ้าอย่าทำเช่นวันนี้อีกนะ แม่กลัวเจ้าจะตายจากไปอีกครั้ง" จางฮูหยินพูดไปดวงตาก็แดงก่ำขึ้นมา จนทำให้เจี่ยงหร่านรู้สึกผิดขึ้นมาไม่น้อย ด้านจางเฉวียนเองก็ตำหนิด้วยความเป็นห่วง "ข้ารู้ว่าเจ้ามีวรยุทธ์ แต่ไม่คิดว่าจะมีฝีมือถึงเพียงนี้ แต่ก็นับว่าโชคดีที่พวกนั้นฝีมือไม่เท่าไหร่ หากเป็นนักรบเดนตายเจ้าคงไม่สามารถรับมือได้" เจี่ยงหร่านได้ฟังแล้วก็เพียงคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะนึกในใจ กับท่านข้าก็รับมือได้สบายมาก พี่ชาย! จางเฉวียนหันไปมองเซียวจิ้ง แล้วซักไซ้ไล่เรียง "อาจิ้งเจ้ามาได้เช่นไร" เซียวจิ้งละสายตาจากจางเหมี่ยวลี่ก่อนจะหันมาทำความเคารพจางฮูหยินพลางเอ่ยกับจางเฉวียน "สายลับของข้ารายงานมาว่า ฉู่อี้เฉินลอบส่งนักฆ่าปะปนเข้ามากับผู้อพยพจากไฟสงคราม คาดว่าจะเข้ามาสังหารเจ้าโดยเฉพาะ" จางเฉวียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ใจหายวาบ เขารู้ดีว่าเพราะเหตุใด ด้วยเพราะเขาเป็นบุตรชายของแม่ทัพใหญ่ พวกมันจึงคิดจะทำลายขวัญกำลังใจของเหล่าทหาร หากท่านพ่อล้มลง แคว้นฟงหลิงย่อมตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต เพราะเหล่าทหารทั้งหมดล้วนขึ้นตรงกับบิดาของเขาทั้งสิ้น "รีบกลับจวนก่อนเถอะ ข้าจะกลับไปพร้อมเจ้าด้วย" "ขอบใจเจ้ามากนะอาจิ้ง" "อืม" พูดจบก็ยังคงหันมามองจางเหมี่ยวลี่ราวกับจะจับผิด เจี่ยงหร่านที่อยู่ในร่างจางเหมี่ยวลี่ถึงกับร้องโอดครวญในใจ เหตุใดไม่ให้นางไปอยู่ในร่างแม่ทัพใหญ่ หรือคนที่เขาชอบก็ได้ นางจะได้ไม่ต้องอดทนที่เขาส่งสายจับผิดเช่นนี้มองนางอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เมื่อลงมาจากเขาแล้ว ก็มาถึงจวนตระกูลจางในช่วงเวลาเย็นย่ำ หลังจากส่งทุกคนเข้าจวนอย่างปลอดภัยแล้ว เซียวจิ้งจึงขอตัวกลับ เจี่ยงหร่านที่เห็นเช่นนั้นจึงเดินตามเซียวจิ้งมาที่นอกประตูจวน เซียวจิ้งหันมามองนางก่อนจะพูดจาหาเรื่องชวนทะเลาะ "เจ้าตามข้ามาทำไม เป็นสตรีไม่ควรเดินตามบุรุษเช่นนี้ หากใครมาเห็นเจ้าจะทำเช่นไร ยางอายมีบ้างหรือไม่ จางเหมี่ยวลี่" เจี่ยงหร่านถอนหายใจออกมา พร้อมกับทำหน้าเบื่อหน่ายเล็กน้อย อะไรกัน ปากเขานี่มัน! "ท่านพี่จิ้ง คือว่าข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องท่านเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ" เซียวจิ้งที่ได้ยินเช่นนั้นก็มองจางเหมี่ยวลี่ด้วยแววตาเย็นชา เหอะ นางคงจะขอให้เขารับรัก หรือไม่ก็คงจะขอให้เขารีบแต่งงานกับนางเร็วๆ เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาใช่หรือไม่? เมื่อคิดได้เขาจึงตัดบทขึ้นมาทันที "เจ้าจะขอเรื่องใด ขอให้ข้ารักเจ้าคนเดียว หรือว่าอยากจะขอให้ข้าแต่งงานกับเจ้าเร็วๆ หรือว่าอยากยกเลิกงานแต่งดีเล่า" เจี่ยงหร่านที่ได้เช่นนั้น ก็ลอบนับถือเซียวจิ้งในใจ เขาเดาถูกเลยยอดเยี่ยมจริงๆ เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางก็ยิ้มตาหยี ก่อนจะตอบ "ท่านพี่จิ้งช่างเดาใจข้าถูกต้องเลยเจ้าค่ะ คืออย่างนี้ ข้าอยากจะขอให้ท่านเลื่อนงานแต่งไปก่อน เลื่อนไปสักสามเดือน ไม่สิ หกเดือน ไม่ๆๆ เอาหนึ่งปีไปเลย เอ๊ะ เมื่อครู่ท่านบอกว่ายกเลิก มันยกเลิกได้จริงหรือไม่เจ้าคะ" "หืม?"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD