เจี่ยงหร่านเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมานางจึงหมุนตัวมามอง ก่อนจะพบว่าเป็นเซียวจิ้งนั้นเอง
ความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมนั้น หลงใหลคลั่งใคล้เซียวจิ้งเป็นอย่างมาก มักจะหาหนทางเข้าใกล้จนแทบจะสิงร่างเขาอยู่แล้ว และไม่ยินยอมให้สตรีใดมาเข้าใกล้เขาอีกด้วย ถึงขนาดเผาโรงน้ำชาก็เคยทำมาแล้ว
นางไม่รู้ว่าจะเอ่ยทักทายเขาเช่นไรดี จะให้นางเข้าไปออดอ้อนเขาเหมือนเจ้าของร่างเดิมเคยทำ นางก็ทำไม่เป็น เมื่อคิดได้เช่นนั้นางจึงเดินเข้าไปหาเขา ก่อนจะยิื่นมือไปตบไหล่ของเขาอย่างสนิทสนมและเอ่ยทักทาย
"ว่าอย่างไรสหาย...เอ่อ ท่านพี่จิ้ง"
เซียวจิ้งปรายตามองมือของจางเหมี่ยวลี่ที่จับอยู่บนไหล่เขาปราดหนึ่ง ก่อนจะเบี่ยงกายหลบ อีกทั้งยังยกมือขึ้นปัดไหล่ที่ถูกนางจับราวกับรังเกียจเป็นอย่างยิ่ง
เจี่ยงหร่านที่เห็นเช่นนั้นก็แอบนึกนินทาในใจ
ให้ตายเถอะ รังเกียจถึงเพียงนี้เชียวหรือ สหายเซียว ไม่เคยเห็นท่านในด้านนี้มาก่อนเลย
เซียวจิ้งจ้องมองจางเหมี่ยวลี่ด้วยแววตาที่เรียบเฉย ก่อนจะถามขึ้น
"เจ้าทำอันใด"
เจี่ยงหร่านในร่างจางเหมี่ยวลี่ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบ
"ท่านพี่จิ้ง ข้าก็มาดื่มสุราอย่างไรเล่า ข้าดื่มหมดกาแล้วยังไม่เมา ท่านต้องจ่ายให้ข้าหนึ่งพันตำลึง"
เซียวจิ้งแค่นเสียงในลำคอออกมา ก่อนจะปรามาสขึ้นมา
"คนเช่นเจ้าน่ะหรือจะดื่มแล้วไม่เมา เจ้าเททิ้งก็ยอมรับมาเถอะ"
แหม สหายเซียว จะดูถูกกันไปแล้วนะเดี๋ยวก็จัดให้สักหมัดเสียดีไหม?
"ข้าไม่ได้เททิ้ง พ่อหนุ่มน้อยคนนั้นยังแอบดูข้าอยู่เลย ไม่เชื่อท่านก็ถามเขาสิ"
เซียวจิ้งหันไปมองเด็กหนุ่มที่นำมาสุรามาให้จางเหมี่ยวลี่ เขาพยักหน้าอย่างจริงจัง เซียวจิ้งจึงหันมาเอ่ยกับจางเหมี่ยวลี่อีกครั้ง
"ข้าไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าดื่มสุราเก่ง แต่ก่อนสุราเพียงจอกเดียวเจ้าก็เมาแล้ว"
เจี่ยงหร่านที่ได้ยินเช่นนั้นก็เม้มริมฝีปาก เซียวจิ้งช่างขี้สงสัยเสียจริงๆ
นางจ้องมองเขาอีกครั้ง แล้วอธิบายดูจริงจัง
"พี่จิ้ง ระหว่างที่ท่านไม่อยู่ข้าลองฝึกดื่มดู อีกทั้งยังใช้ยันต์ขอพร ขอพรให้ตนเองดื่มเก่งกว่าเดิม เพื่อท่านเลยนะเจ้าคะ"
"ชีวิตเจ้านี่มันไม่อาจหลุดพ้นจากเรื่องเหล่านั้นได้เลยจริงๆ สมองทึบ จิตใจบิดเบี้ยวตื้นเขินจนเกินจะเยียวยาแล้ว"
เจี่ยงหร่านลอบสูดปากคราหนึ่ง ให้ตายเถอะ ฝีปากของเขาจัดจ้านเสียยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก เจี่ยงหร่านคร้านจะเถียงกับเขาแล้ว นางเองก็ไม่เก่งเรื่องตีฝีปากกับใครเช่นกัน
"ไหนเล่าเงินรางวัล ท่านจ่ายมาสิ ข้าจะรีบกลับจวน"
เซียวจิ้งยกยิ้มมุมปากพลางเอ่ย
"นำตั๋วเงินมาให้นาง"
เจี่ยงหร่านยิ้มตาหยี ในระหว่างที่รอตั๋วเงินอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงของหญิงสาวนางหนึ่งทักทายขึ้นมา
"ซื่อจื่อ ข้าได้ยินว่าท่านรบชนะกลับมาปลอดภัย จึงอยากมาแสดงความยินดีกับท่าน โอ๊ะ คุณหนูจางก็อยู่ด้วยหรือ ข้า เอ่อ ข้าไม่ได้ทำอันใดเลยนะ แค่กแค่ก!"
เจี่ยงหร่านหันไปมองก่อนจะพบว่าเป็นแม่นางน้อยผู้หนึ่ง ความทรงจำร่างเดิมบอกนางว่าสตรีนางนี้มีนามว่าไป๋ฮุ่ย เป็นบุตรสาวของท่านเจ้ากรมกลาโหม บิดาของนางเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ไม่น้อย อีกทั้งมารดาของนางก็เป็นท่านหมอที่มีฝีมือด้านการรักษาผู้คน แต่น่าเสียดายที่นางมีสุขภาพไม่สู้ดีเท่าใดนัก
ความรู้สึกของเจี่ยงหร่านในยามนี้ก็คือความรู้สึกที่เป็นอริอย่างแรงกล้า อาจจะเป็นความรู้สึกเดิมที่หลงเหลืออยู่ของเจ้าของร่างเดิม นางพยายามข่มกลั้นเอาไว้ และไม่ได้กล่าวสิ่งใด หลังจากที่ได้รับตั๋วเงินแล้วนางก็เอ่ยลาทันที
"ข้าไปละ พวกท่านสนทนากันไปเถอะ"
พูดจบนางก็จับแขนเยว่ซินและเดินจากไปทันที เซียวจิ้งถึงกับขมวดคิ้ว เดิมทีเขาให้ท่านลุงหม่าและคนในเหลาสุราไปเตรียมตัวเอาไว้แล้ว หากว่าจางเหมี่ยวลี่อาละวาดจนถึงขั้นเผาเหลาสุราเขาจะได้รับมือทัน
แต่นางกลับทำเหมือนไม่สนใจและเดินจากไปอย่างไม่แยแส
แม้กระทั่งไป๋ฮุ่ยเองก็ลอบมองจางเหมี่ยวลี่ด้วยความงุนงงเช่นกัน ทุกครั้งสตรีนางนั้นจะต้องกล่าววาจากระทบกระแทกแดกดัน หรือไม่ก็หาเรื่องทะเลาะตบตีนาง แต่วันนี้กลับปล่อยผ่านราวกับไม่ใส่ใจอย่างไรอย่างนั้น
หรือข่าวเล่าลือที่ว่านางตายไปแล้วคุณไสยย้อนเข้าตัวจนเสียสติจะเป็นเรื่องจริง
ในขณะที่เดียวกัน นางก็รู้สึกดีใจไม่น้อย เมื่อจางเหมี่ยวลี่ไปแล้ว นางจะได้สนทนากับเซียวจิ้งได้อย่างสบายใจ แต่เมื่อนางหันกลับมากลับพบว่าเขาจากไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่อาจรู้ได้
เขาไปไหนเสียแล้วเล่า!
ด้านเจี่ยงหร่านที่เข้ามาในรถม้าแล้วก็เรอออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงท้องที่ร้องของเยว่ซิน เยว่ซินเมื่อถูกเจ้านายจ้องมองก็มีสีหน้าซีดเผือด รีบขอโทษทันที
"ขออภัยเจ้าค่ะ คุณหนูอย่าตีบ่าวเลย บ่าวเอ่อ..."
เยว่ซินยังไม่ทันพูดจบ คุณหนูของนางก็ยื่นก้อนเงินให้แล้วกล่าวว่า
"เอาไปซื้ออะไรกินกับคนขับรถม้า จะปล่อยให้ท้องหิวได้อย่างไร แล้วอีกอย่างนะ ข้าไม่ตีเจ้าหรอก"
เยว่ซินมีท่าทีลังเลก่อนจะยื่นมือไปรับก้อนเงินนั้นมา นางให้คนขับรถม้าจอดที่หน้าร้านซาลาเปาแห่งหนึ่ง แล้วเดินลงไปซื้อซาลาเปา เจี่ยงหร่านเปิดผ้าม่านรถม้าออก ก่อนจะจ้องมองป้ายโรงน้ำชาแวบหนึ่ง แอบคิดว่าจะต้องหาโอากาสมาลองชิมเสียหน่อย
เจี่ยงหร่านถอนหายใจยาวออกมา ร่างเดิมทำเอาไว้เจ็บแสบจริงๆ เผาโรงน้ำชาเพราะบุรุษผู้เดียวและยังทุบตีสาวใช้เพียงเพราะพวกนางทำอะไรไม่ถูกใจอีกด้วย
โหดเหี้ยมอำมหิตจริงๆ ให้ตายสิ!
นางจึงลงมาจากรถม้า เพราะเห็นว่าเยว่ซินลงไปนานแล้ว เมื่อลงมาก็พบว่าเยว่ซินกำลังเดินกลับมาที่รถม้าพร้อมกับซาลาเปาในมือ เมื่อเห็นจางเหมี่ยวลี่เยว่ซินก็ยิ้มตาหยี
"คุณหนู บ่าวมาแล้วเจ้าค่ะ บ่าวซื้อซาลาเปามาฝากคุณหนูด้วย แต่ว่าซาลาเปาร้านริมทางแป้งอาจจะแข็งไปหน่อย"
"ไม่เป็นไร ข้ากินได้"
เจี่ยงหร่านเอ่ยจบก็รับซาลาเปาไปกิน ยามที่อยู่ในค่ายทหารนางก็กินอาหารร่วมกับททารคนอื่นเช่นนี้ไม่ได้ถือตัวว่าตนเป็นถึงรองแม่ทัพเลยแม้แต่น้อย
ภาพที่นางกินซาลาเปากับสาวใช้และคนขับรถม้าอีกทั้งยังหัวเราะอย่างอารมณ์ดี อยู่ในสายตาของเซียวจิ้งทั้งหมด เขาจ้องมองนางอยู่ห่างๆ พร้อมกับครุ่นคิดในใจ
คนอย่างจางเหมี่ยวลี่น่ะหรือจะกินของร่วมกับสาวใช้ หากพูดว่านางทุบตีสาวใช้จะน่าเชื่อถือยิ่งกว่า
คล้ายกับว่าตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาจากความตาย จางเหมี่ยวลี่จะมีบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
หรือว่านางแกล้งทำ?
เซียวจิ้งคิดเท่าใดก็คิดไม่ออก ยามนี้เจี่ยงหร่านที่กำลังกินซาลาเปาอยู่รู้สึกเหมือนมีสายตาจ้องมองมาที่ตน นางจึงหันขวับมามองตามสัญชาตญาณ เซียวจิ้งไม่คิดว่าจางเหมี่ยวลี่จะรู้ตัวก็ตกใจเป็นอันมาก ก่อนจะรีบหลบไปในทันที เจี่ยงหร่านขมวดคิ้ว ก่อนจะกลับจวนไปด้วยความสงสัยว่า ผู้ใดกันที่มาลอบแอบมองนาง ด้วยเพราะนางฝึกยุทธ์จึงทำให้รู้สึกตื่นตัวได้รวดเร็วกว่าคนอื่นๆ
แต่ละวันผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก ช่วงนี้ร่างกายของเจี่ยงหร่านเริ่มเข้าที่เข้าทางมากแล้ว นางจึงออกมาฝึกยุทธ์ยามเช้าทุกวัน โชคดีที่ร่างเดิมนี้มีวรยุทธ์อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้ฝึกฝนอย่างต่อเนื่องจึงทำให้พละกำลังถดถอยไปบ้างแต่นั่นไม่ใช่ปัญหา และยังไม่เป็นที่สงสัยของคนในจวนเท่าใดนัก ที่อยู่ดีๆ นางก็ลุกขึ้นมาฝึกยุทธ์แต่เช้าแบบนี้
"เหมี่ยวเอ๋อร์ ฝีมือยิงธนูของเจ้าก้าวหน้าขึ้นมากเลย"
จางเฉวียนเอ่ยชื่่นชมน้องสาว เจี่ยงหร่านในร่างของจางเหมี่ยวลี่คลี่ยิ้มให้พี่ชาย พลางพูดถ่อมตน
"ข้าห่างหายจากการฝึกมานานทำให้กำลังถดถอยไปบ้าง แต่นับจากนี้ข้าจะตั้งใจฝึกฝนทุกวันเจ้าค่ะ"
"ดี เจ้ารู้หรือไม่ ฝ่าบาทมีรับสั่งจะเปิดรับสมัครทหารหญิงเข้าไปในค่ายทหารอีกไม่นานแล้ว ได้ยินว่าการฝึกฝนไม่ต่างจากบุรุษ เพียงแต่แบ่งแยกชายหญิงเท่านั้น แต่ถ้าหากว่าสตรีคนใดมีฝีมือเป็นเลิศ ไม่แน่ว่าอาจจะได้เข้าร่วมกองทัพได้ แต่เรื่องนี้ยังต้องหารืออีกสักพัก แต่คาดว่าคงจะราบรื่นเพราะเสียงเห็นด้วยมีมากกว่า"
เจี่ยงหร่านที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันขวับมามองจางเฉวียน รีบร้อนถามขึ้นทันที
"จริงหรือเจ้าคะ"
"จริงสิ หากเจ้าอยากไปเข้าร่วมก็ย่อมได้ แต่เจ้าใกล้จะเข้าพิธีแต่งงานแล้ว ไม่รู้ว่าอาจิ้งจะยอมให้เจ้าเข้าร่วมหรือไม่"
"ฝ่าบาททรงห้ามให้สตรีที่แต่งงานแล้วเข้าฝึกหรือเจ้าคะ"
"ข้าก็ยังไม่แน่ใจ ต้องรอราชโองการจากฝ่าบาทจึงจะเป็นที่แน่นอน"
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเจี่ยงหร่านฉีกยิ้มกว้าง ในใจของนางเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เปิดรับทหารหญิงเช่นนั้นหรือ!
นางมีหนทางแล้ว นางรู้แล้วว่าจะทำเช่นไรจึงจะสามารถจัดการกับฉู่อี้เฉินและฟ่านเหยาได้
ขอให้มีราชโองการประกาศออกมาโดยเร็วๆ ทีเถิด!