บทที่3.3

2535 Words
ไม่ดิ ใช้คำว่าอดีตศัตรูหัวใจน่าจะเหมาะกว่า เพราะตอนนี้ผมไม่ได้โกรธเคืองหรือคับแค้นใจอะไรแล้ว ส่วนเหตุผลที่คนอย่างมันมาปรากฏตัวที่นี่ ผมมั่นใจว่าต้องเกี่ยวข้องกับพ่อโดยตรง ดูทรงแล้ว มันคงพ่อถูกไหว้วานให้มาลากคอผมกลับไปรับโทษที่กรุงเทพฯ แน่ เนื่องจากรู้ว่ากลับไปจะต้องเจอกับอะไร สองขาที่ก้าวอย่างมั่นคงเลยแข็งทื่อขึ้นมากะทันหันไง เฮียกีย์...เฮียแม่งประสาทสัมผัสไวดีเหมือนเดิม ไม่กี่วันก็รู้แล้วว่าผมมุดหัวอยู่ที่ไหน หึ “พี่เห็นเราดูตกใจเลยคิดว่าคงไม่อยากเจอหน้าค่ะ” พี่ควีนตอบในสิ่งที่ผมสงสัย “แต่จะให้วิ่งหนีก็คงไม่ทัน” “เลยดึงผมมาจูบ?” ถามกลับและเผลอหลุบตามองริมฝีปากเธอ องศาที่เรายืนนั้นไม่ถึงกับปลอดภัยหรือรอดพ้นสายตาใครได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่การที่เธอผลักผมพิงกับตัวรถแล้วหันหลังให้ประตูโรงแรม...ซ้ำยังจู่โจมกันอย่างเผ็ดร้อนแบบนี้ เชื่อเถอะว่าเฮียกีย์คงไม่ทันได้พิจารณารูปพรรณสันฐานของผมจนถี่ถ้วน อีกอย่าง แม้บางครั้งผมจะทำตัวหน้าไม่อายไปบ้าง แต่มันย่อมรู้ดีว่าญาติตัวเองคงไม่บ้าระห่ำถึงขนาดยืนนัวเนียกับสาวสวยแบบไม่อายฟ้าอายดินแบบนี้ ถ้าพูดให้ถูก นาทีนี้ไม่มีใครบ้าเท่าพี่ควีนแล้ว ผมกล่าวต่อ “จริง ๆ ถ้าอยากช่วย คุณดึงผมเข้าไปในรถก็ได้ ไม่เห็นต้องจูบเลย ข้ออ้างชัด ๆ” “ค่ะ อันที่จริงก็ทั้งอยากช่วยและอยากจูบค่ะ” “...” ผมถึงกับอึ้ง เกิดมาไม่เคยพบเคยเจอ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ผมที่ถูกพ่อด่าทอว่าต่อปากต่อคำเก่ง และไม่เคยพ่ายแพ้เวลาเถียงใคร ตอนนี้กลับกลายเป็นไอ้งั่งที่ได้แต่ยืนอ้าปากพะงาบ ๆ เพราะความตรงไปตรงมาจนเกินพอดีของผู้หญิงตรงหน้า แล้วดูนะ ยอมรับว่าอยากจูบผมแบบซึ่ง ๆ หน้าแล้ว...ยังส่งยิ้มหวานให้กันเป็นการสำทับอีก สวยอย่างเดียวกลัวโลกไม่จำหรือไง เลยต้องทำตัวพิลึกด้วย บอกตามตรงเลยว่าชักกลัวขึ้นมาจริง ๆ แล้ว... “เข้าข้างในกันเถอะ เขาคนนั้นไปแล้วค่ะ” ไม่นานพี่ควีนก็ย่อตัวลงเก็บถุงช็อปปิ้งที่หล่นกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ทำเอาผมต้องเหลียวหลังไปกลับมองให้แน่ใจอีกครั้ง เมื่อคำตอบที่ได้รับเป็นไปตามที่เธอพูดทุกประการ ผมจึงพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เฮียกีย์มีสมองที่เฉียบคม ฉลาดและเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว หากมันเจอตัวผมเข้า คงไม่วายทำทุกวิถีทางเพื่อพาผมกลับบ้านแน่ ผมตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะไม่กลับไปเหยียบที่นั่นอีก ฉะนั้น...เป็นตายร้ายดียังไงก็ขอยืนหยัดในคำมั่นของตัวเอง เสียผมไปสักคน มันไม่ทำให้พ่อขาดใจตายง่าย ๆ อยู่แล้ว เพราะที่ผ่านมา...ผมก็แทบมองไม่เห็นสิ่งที่เรียกความรักจากการกระทำของท่านเลยสักครั้ง สำหรับพ่อแล้ว ผมเป็นเพียงผลผลิตทางการค้าเท่านั้นแหละ เย็นวันเดียวกัน “ผมขอยืมไฟแช็กหน่อย” “เมื่อวานคุณหนูซื้อให้คุณแล้ว” คำตอบจากหนึ่งในบอดี้การ์ดคนสนิทของพี่ควีนพูดด้วยน้ำเสียงดุดันหนักแน่น สายตาที่มองมาไม่มีความญาติดีแม้แต่น้อย ผู้ชายคนนี้มีชื่อว่าดีน จากที่พี่ควีนเล่า มันเป็นคนแรกที่เข้ามาดูแลเธอในฐานะบอดี้การ์ด ด้วยความที่อายุเยอะกว่าไม่กี่ปีและเติบโตมาด้วยกัน จึงทำให้ในสายตามัน...พี่ควีนเปรียบเสมือนน้องสาวแท้ ๆ ที่ตัวเองหวงแหนยิ่งกว่าสิ่งใด ก็ไม่แปลกใจว่าทำไมผมมักถูกเขม่นด้วยแววตาดุ ๆ ทุกครั้งยามเจอหน้า เช่นเดียวกันกับครั้งนี้ ระหว่างที่พี่ควีนออกไปข้างนอก (เธอไม่ได้บอกว่าออกไปไหนหรือทำอะไร ตัวผมก็ไม่ได้เซ้าซี้เพราะเห็นว่ามีบอดี้การ์ดไปด้วยสองคน) ดีนได้รับคำสั่งให้อยู่ดูแลผมในระหว่างนี้ ทว่าเพราะอยู่กันเพียงสองคน มันจึงไม่ได้ปรานีปราศรัยกับผมนัก เรียกได้ว่าแตกต่างกับตอนอยู่ต่อหน้าคุณหนูอย่างสิ้นเชิง ขนาดขอยืมไฟแช็กนิดเดียวยังมองตาเขียวปั๊ด คิดดู... “ผมทำหายอะครับ” พูดขณะคาบบุหรี่ไว้ในปาก มือขวาแบไปด้านหน้าผู้ชายตัวใหญ่ที่กะจากสายตาแล้วคงสูงไม่ต่ำกว่า 190 ซม. ตอนนี้เราสองคนยืนอยู่ริมระเบียงห้อง มันเอาแขนเท้าราวเหล็กขณะทอดสายตาออกไปยังจุดที่มีวิวสวย ๆ ให้เชยชม ส่วนผมนั้นเอาหลังพิงราวเหล็ก แม้สองตาจะมองอีกฝ่าย แต่ทิศทางของฝ่าเท้าและร่างกายหันเข้าไปภายในห้องพัก “คุณหนูไม่ชอบผู้ชายสูบบุหรี่” ดีนยังไม่เคลื่อนไหว เพียงเหลือบมองผมด้วยสายตาที่ยังคงน่ากลัวไม่เปลี่ยน “เลิกได้เลิก” “ผมสูบตั้งแต่ม.ต้นละ เลิกไม่ได้หรอก” ผมพูดความจริง มือขวายังแบอยู่ “ม.ต้น?” ดีนเลิกคิ้ว “เละเทะตั้งแต่เด็กเลยนะครับ” “ไอ้เกมส์ บอกพ่อมาว่าแกไปเกี่ยวข้องกับแก๊งค้ายาได้ไง” “ก็บอกแล้วไงว่าผมถูกยัดยา ไม่ได้ขาย ไม่ได้เสพ” “โกหก” “...” “แกแค่โกหกเพราะอยากเอาตัวรอด ทำไมพ่อจะไม่รู้” “...” “ทั้งตระกูลมีแกคนเดียวที่ทำตัวเละเทะแบบนี้ รู้ว่าแกได้เชื้อแม่มาเยอะ แต่ก็ไม่ต้องเอาสันดานระยำของมันมาใช้ก็ได้” เละเทะเหรอ หึ... “ไม่เถียงหรอก” ผมยิ้มรับ “แต่ก็แปลกดี ทำตัวเละเทะขนาดนี้ คุณหนูของคุณก็ยังมาชอบ” “...” ดีนชะงัก นัยน์ตาคมกริบที่ผมเพิ่งได้สังเกตชัด ๆ ว่าเป็นสีน้ำตาลเข้มฉายรังสีอำมหิตอย่างไม่มีการปกปิด ถ้าไม่ติดว่าเป็นคนสำคัญของพี่ควีน ดีไม่ดีสมองผมคงกระจุยกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากปืนสั้นที่มันพกติดตัวตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันพูดจาเสียดสีและมองผมด้วยสายตาดูแคลน นับตั้งแต่วันแรกที่ผมปรากฏตัว...นับตั้งแต่วันที่พี่ควีนประกาศกร้าวว่าให้บอดี้การ์ดทุกคนปฏิบัติกับผมเยี่ยงเจ้านายคนหนึ่ง ให้ผมใช้ชีวิตอยู่ในห้องเดียวกันกับเธอ นอนเตียงเดียวกันกับเธอ แตะเนื้อต้องตัวกันได้อย่างไม่มีการเคอะเขินหรือเหนียมอาย ทุกครั้งยามเจอหน้า...ดีนจึงเป็นเพียงคนเดียวของเหล่าบอดี้การ์ดที่แสดงออกถึงการต่อต้านทั้งทางตรงและทางอ้อม แน่นอนว่าเมื่อใดที่มันปริปากคัดค้านการตัดสินใจของคนเป็นนาย ก็มักจะถูกทำโทษ ถึงอย่างนั้นมันก็หาเข็ดหลาบไม่ ผมรู้ ทั้งหมดที่มันทำเพียงเพราะเป็นห่วงและหวงแหนเจ้านาย เพราะหากเทียบกันแล้ว...เธอดูสูงส่งกว่าผมหลายเท่า ในขณะที่ผมนั้นไม่มีอะไรเลยจากนิสัยอวดดีกับความถึกทน หากมันมองว่าผมไม่เหมาะสมกับเธอ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ทว่าแม้จะเข้าใจ ก็ใช่จะยอมให้มันพูดจาเสียดสีอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมพี่ควีนถึงยอมให้ดีนอยู่เฝ้า ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าบอดี้การ์ดคนนี้ของตัวเองไม่ชอบขี้หน้าผม อันที่จริง...จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจ “ผมพูดอะไรผิดหรือเปล่า?” เพราะอีกฝ่ายเงียบไป ผมจึงเลิกคิ้วขึ้นทั้งที่ริมฝีปากยังคาบบุหรี่ พรึ่บ แกร็ก “ถูกของคุณ” ดีนกักเก็บแววตาอำมหิตไว้อย่างเยือกเย็น ล้วงไฟแช็กออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วจุดไฟลงบนส่วนปลายของมวนบุหรี่ที่ผมคาบไว้ “ก่อนคุณหนูจะกลับมาก็สูบให้หนำใจนะครับ” “...” ผมไม่พูดอะไร เพียงหันหน้ากลับมาดังเดิม ดูดเอาสารนิโคตินที่ตัวเองคุ้นเคยเข้าปอดก่อนพ่นมันออกมาพร้อมลมหายใจเฮือกหนึ่ง ก๊อก ๆ ๆ ทว่าไม่ถึงสองนาทีหลังจากนั้น ความเงียบสงัดก็ถูกทำลายด้วยเสียงเคาะประตูจากใครสักคน “ผมไปดูเอง” เป็นดีนเองที่อาสาแล้วก้าวเท้าไปหยุดยืนหน้าประตูบานนั้น จังหวะเปิดออกจนเกิดช่องว่างเพียงหนึ่งคืบ ผมซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณดังกล่าวสังเกตเห็นชายเสื้อสีดำสนิทของผู้มาเยือน ทว่ายังไม่ทันได้คาดเดา... “สวัสดีครับ เขาอยู่ข้างใน” ดีน...ไม่สิ ไอ้ดีนกล่าวทักทายผู้มาใหม่พร้อมทั้งเปิดประตูกว้าง ท้ายที่สุดผู้มาเยือนยามพลบค่ำก็ก้าวเท้าเข้ามายืนเสมอกับขอบประตู เผยเจ้าของร่างสูงกำยำที่ผมคุ้นเคย เฮียกีย์ “ไง” ครั้นเห็นผมยืนพิงราวระเบียงอยู่ตรงนี้ก็กล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงทุ้มละมุนอันเป็นเอกลักษณ์ “จะกลับบ้านกับเฮียดี ๆ ไหม?” ตามหลักแล้ว ผมควรตกใจและหาทางหนีเอาตัวรอดให้เร็วที่สุดก่อนเฮียกีย์จะขยับเข้ามาประชิดตัว แต่ในความเป็นจริงผมกลับแน่นิ่งไม่ไหวติง มีแค่ริมฝีปากเท่านั้นที่เผยอขึ้นจนเกิดช่องว่าง เพียงพอให้กลุ่มควันของบุหรี่เล็ดลอดออกไปตามแรงพ่น ชั่ววินาทีที่ควันบุหรี่ปกคลุมบริเวณนี้ ผมแค่นยิ้ม...พร้อมทั้งทอดสายตามองสองคนนั้นผ่านทัศนวิสัยอันพร่ามัว เข้าใจแล้วว่าทำไมไอ้ดีนถึงยอมอยู่เฝ้าผมในระหว่างที่พี่ควีนออกไปทำธุระข้างนอก และแล้วเหตุผลที่เมกเซ้นส์ที่สุดก็ปรากฏลงตรงหน้า ย้อนกลับไปหลายชั่วโมงก่อน หลังจากหลบหลีกเฮียกีย์ได้สำเร็จ ผมกับพี่ควีนกลับเข้ามาในโรงแรมโดยมีบอดี้การ์ดทั้งหมดยืนต้อนรับอยู่หน้าห้อง ทุกอย่างเหมือนจะดำเนินไปตามปกติในแบบที่ควรเป็น หากผมไม่สังเกตเห็นว่าในระหว่างที่ชายชุดดำทั้งหมดกำลังยืนเอามือไขว้หลังกันอย่างเป็นระเบียบ ไอ้ดีนเป็นเพียงคนเดียวที่แอบถือโทรศัพท์ไว้ในมือ หน้าจอยังไม่ดับดีด้วยซ้ำ ณ ตอนนั้นผมเดาว่ามันอาจแค่กำลังคุยค้างกับใครสักคน แต่เพราะคุณหนูนั้นสำคัญมาเป็นอันดับหนึ่ง จึงจำเป็นต้องปล่อยให้ปลายสายรอเก้ออย่างไม่มีทางเลือก ประเด็นมันอยู่ตรงที่...จังหวะเหลือบมองหน้าจอ ผมแอบเห็นเลขท้ายสามตัวเข้าพอดี แม้เลขสามตัวสุดท้ายจะเหมือนเบอร์ของเฮียกีย์แค่ไหนผมก็ยังไม่ปักใจ เพราะโอกาสที่ใครสักคนจะมีเบอร์เหมือนกันสามตัวติดนับว่ามีเปอร์เซ็นต์สูง กระทั่งพี่ควีนออกไปข้างนอกและให้ไอ้ดีนอยู่เฝ้า (มันอาจเป็นคนอาสาและให้เหตุผลที่ดีพอจนพี่ควีนยินยอม) เชื่อเถอะว่าหากมันไม่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่โอเคกับผม ผมก็คงไม่ตะขิดตะขวง แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าทำไมเหตุการณ์มันถึงประจวบเหมาะจนพิลึกพิลั่น ที่แท้สองคนนั้นแอบดีลกันไว้ก่อนผมจะกลับเข้าโรงแรมนี่เอง น่าเสียดาย ถึงผมจะพอปะติดปะตอเรื่องราวได้บ้าง แต่ก็นับว่าช้าไปหลายก้าว บางทีนี่อาจเป็นข้อแตกต่างระหว่างผมที่ยังเด็กเกินไปกับผู้ใหญ่มากประสบการณ์อย่างสองคนนั้น เอาเป็นว่าเพราะผมแอบคิดถึงผลลัพธ์นี้ช่วงสองนาทีสุดท้ายก่อนเฮียกีย์จะปรากฏตัว...พอเห็นหน้ามัน ผมจึงไม่ได้ตื่นตระหนกเท่าที่ควรไง “หาผมเจอเร็วกว่าที่คิดอีกแฮะ” ผมอัดควันเข้าปอดอีกครั้ง หนำใจแล้วจึงบี้กับจานเขี่ยที่ทางโรงแรมมีไว้ให้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จากนั้นค่อยก้าวเท้าเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าลูกพี่ลูกน้องที่มีอายุมากกว่าผมถึง 13 ปี “เฮียนี่จมูกดีเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย” “ไอ้เกมส์ เฮียจริงจัง” เฮียกีย์ส่งสายตาดุดันมาให้ “พ่อแกกับแม่เฮียกังวลมาก กลัวแกจะเป็นอะไรไป” “ป้าน่ะพอเชื่อ แต่กับพ่อ...นี่เสแสร้งปะ?” ผมแค่นหัวเราะ “ไม่ต้องพูดมาก มากับเฮีย” กล่าวจบก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือผม ครั้นฝ่ายผมยื้อเท้าแสดงออกถึงการต่อต้าน แรงกอบกำซึ่งเดิมแล้วค่อนข้างอ่อนโยนก็แปรเปลี่ยนเป็นรุนแรงจนต้องหลุบตามอง “อย่าดื้อให้มาก อย่างน้อยก็อธิบายให้เฮียฟังหน่อยว่ามันเกิดอะไรขึ้น” “...” “ถือว่าเฮียขอ” บ้าฉิบ เพราะประโยคนี้แท้ ๆ จากที่แข็งกร้าวไม่ยอมเคลื่อนไหวก็กลายเป็นว่ายอมให้มันลากลงไปยังชั้นล่าง ก่อนจะพบว่าสถานที่ที่เฮียกีย์พามานั่งปรับทุกข์คือภายในรถของมันเอง กระจกเป็นแบบติดฟิล์มกรองแสง หากผมดื้อด้านจนมีการใช้กำลังเกิดขึ้น...การันตีได้เลยว่าคงไม่มีใครมองเห็นแน่ หนึ่งนาทีหลังจากหย่อนก้นลงบนเบาะรถเฮียกีย์ถึงปริปาก “สรุปวันนั้นเกิดอะไรขึ้น เล่าให้เฮียฟังได้ไหม?” “ไม่มีไรมากหรอก แค่ทะเลาะกัน” ผมหยิบยื่นคำตอบแบบขอไปที และไม่ลืมบิดขี้เกียจใส่หน้ามันหนึ่งครั้ง อันที่จริง...ในบรรดาญาติทั้งหมด เฮียกีย์ถือว่าเป็นคนที่ผมสนิทด้วยที่สุด แต่ก็มีปัญหาระหองระแหงกันบ่อยที่สุดรองจากพ่อ ทว่าถึงจะทะเลาะกันบ่อย มันก็ไม่เคยทำผมเหมือนอย่างที่พ่อทำ เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงเกลียดมันไม่ลงสักที “ก็...ทะเลาะรุนแรงกว่าปกติ” ผมสำทับหลังพบว่าลูกพี่ลูกน้องหน้าหล่อกำลังหรี่ตาคล้ายไม่เชื่อ “ถึงขั้นต้องทำร้ายพ่อตัวเองเลยหรือไง แกกลายเป็นคนแบบนี้ตั้งเมื่อไหร่ เฮียไม่เคยสอนให้แกก้าวร้าวแบบนี้นะ” เฮียกีย์ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งคนขับขมวดคิ้วขณะจ้องหน้าผม แววตาคู่นั้นยามสะท้อนภาพกันฉายความผิดหวังเต็มไปหมด “งั้นผมจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ได้สินะ” ความขมขื่นที่ซุกซ่อนไว้เป็นอย่างดี...ในที่สุดก็ถูกเปิดเผย “...” “เพราะบาปบุญคุณโทษห่าเหวนี่ ผมเลยไม่มีสิทธิ์ตอบโต้เวลาโดนทำร้ายเหรอวะ? เฮียก็รู้ว่าผมโดนอะไรบ้าง เฮียเคยเห็นกับตาไม่ใช่เหรอว่าลับหลังสายตาคนภายนอก ผมถูกปฏิบัติยังไง” “...” “ขอถามหน่อย” “...” “ผมอดทนมาเป็นร้อยครั้งไม่เคยเห็นค่า พอวันหนึ่งผมไม่ไหวขึ้นมา...ก็กลายเป็นไอ้เด็กเนรคุณเลยเหรอ?”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD