บทที่4.1

1633 Words
“เฮียยังไม่ได้พูดสักคำว่าแกเนรคุณ” เฮียกีย์พรูลมหายใจยาวเหยียด มือซ้ายยื่นมาวางไว้เหนือศีรษะพลางลูบขึ้นลงคล้ายอยากปลอบใจ แต่อาจเป็นเพราะตลอดมาเราสองคนมีโมเมนต์ดี ๆ ระหว่างกันน้อยมากแทบนับครั้งได้ เรี่ยวแรงที่เฮียใช้ในการลูบเพื่อปลอบประโลมจึงค่อนไปในทางดิบเถื่อนแทนที่จะอ่อนโยน ศีรษะผมโยกคลอนจนแทบหลุดออกจากบ่าเลยทีเดียว “เหรอ” ผมปัดมือหนาออก ก่อนใช้มือตัวเองจัดทรงผมที่ยุ่งฟูซะใหม่ “แล้วเฮียมาทำไรที่นี่อะ ไม่ใช่เพราะอยากลากผมกลับไปรับโทษที่บ้านหรือไง?” “ใช่” ลูกพี่ลูกน้องวัยสามสิบต้น ๆ ยอมรับอย่างไม่มีการอ้อมค้อม “อันที่จริงเฮียไม่ได้อยากมัดมือชกแกหรอกนะไอ้เกมส์” “อ๋อเหรอ นี่ขนาดไม่อยากนะ ลงทุนมาถึงสุราษฎร์ฯ เลย” ผมเบะปากประชดประชัน “พ่อแกอาจจะรู้สึกผิดจริง ๆ ก็ได้ถึงมาขอให้เฮียพาแกกลับ” เฮียพยายามทำให้ผมใจอ่อนด้วยคำพูดที่ต่อให้ไม่ตั้งใจฟังก็รู้ว่าเป็นเรื่องโกหก คนอย่างพ่อไม่มีทางรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำหรอก ให้เฮียพูดกรอกหูอีกสักพันครั้งผมก็ไม่มีทางเชื่อ “จะเหตุผลเหี้ยไรก็ช่าง ผมไม่กลับ” ยืนยันอย่างหนักแน่นพร้อมทั้งมองสบตาอีกฝ่ายอย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัว ความเจ็บปวดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผมยอมเปิดเผยให้คนตรงหน้าเห็นเมื่อครู่ ตอนนี้ถูกสลัดทิ้งไปอย่างง่ายดาย “แล้วแกจะใช้ชีวิตยังไงต่อไป ได้ข่าวว่าเงินถูกขโมย โทรศัพท์ก็หาย ไม่มีอะไรติดตัว” เฮียกีย์ขมวดคิ้วมุ่น ในสายตามัน...แม้ผมจะบรรลุนิติภาวะแล้วก็ยังเป็นเพียงไอ้เด็กเวรคนหนึ่งที่ต้องให้มันคอยหยิบยื่นความช่วยเหลือทุกครั้งยามประสบปัญหา “ตอนนี้ก็อาศัยคนอื่นอยู่ ยังจะมาอวดดี” “ผมไม่ได้ขอ ทั้งหมดนี้ฝ่ายนั้นเค้ายินดีช่วย” พูดมาถึงตรงนี้...สมองก็พลันปรากฏภาพพี่ควีนในครั้งที่กำลังยิ้มแย้มแจ่มใส รวมไปถึงเหตุการณ์เมื่อหลายชั่วโมงก่อน...ตอนเธอจูบผม จังหวะนั้นผมทอดสายตาออกไปนอกกระจกรถ ช่างประจวบเหมาะที่เธอเดินผ่านรถคันนี้ไปพร้อมกับบอดี้การ์ดอีกสองคนพอดี นึกถึงปุ๊บก็ปรากฏตัวให้เห็น ชักจะน่ากลัวเกินไปแล้ว ตื้อดึง พี่ควีนเดินจนพ้นรัศมีสายตาได้ไม่ถึงสองนาที การแจ้งเตือนจากสมาร์ตโฟนที่ยัดไว้ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้นจนต้องหันไปสนใจที่มาของเสียงอย่างห้ามไม่ได้ ครั้นล้วงออกมาเช็กก็พบว่ามีใครบางคนแชตไลน์มาหา ...และใครบางคนที่ว่าคือพี่ควีนนั่นเอง หากสงสัยว่าผมมีไอ้เครื่องนี้ได้ยังไง คำตอบคือพี่ควีนเป็นคนซื้อให้ตอนไปเดินห้างฯ ด้วยกันเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ด้วยเหตุผลที่ว่ามันจำเป็น แน่นอนว่าผมปฏิเสธรัว ๆ จนลิ้นแทบพันกัน เพราะข้าวของเครื่องใช้ที่เธอลงทุนเปย์แบบไม่บันยะบันยังมันก็อลังการมากพออยู่แล้ว แต่มีเหรอที่เธอจะใจอ่อน รู้ตัวอีกทีสมาร์ตโฟนเครื่องใหม่ก็ถูกยัดไว้ในมือพร้อมเบอร์โทร.และไลน์ของพี่ควีนเสร็จสรรพ “หื้ม?” เฮียกีย์ซึ่งเห็นเต็ม ๆ ตาว่าผมมีสมาร์ตโฟนเครื่องใหม่ทั้งที่เพิ่งทำหายจนติดต่อใครไม่ได้ถึงกับส่งเสียงด้วยความฉงน ส่วนผมนั้น...กดเข้าไปในช่องแชตไลน์อย่างไม่รอช้า Queen : น้องเกมส์ หนูอยู่ไหนคะ? เปิดอ่านได้ไม่ทันไรเสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้น “เอาเงินที่ไหนไปซื้อเครื่องใหม่?” “มีคนซื้อให้” ผมบอกความจริงในขณะที่สองตาจดจ้องข้อความไม่สั้นไม่ยาวของพี่ควีน ก่อนจะจรดปลายนิ้วลงบนแป้นขนาดเล็กเพื่อพิมพ์ตอบ GameS : ข้างนอกครับ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวกลับ บอกไปเพียงเท่านั้นก็กดออกจากแอปพลิเคชันไลน์ ยัดมันไว้ในกระเป๋าดังเดิมเพราะตอนนี้มันไม่ใช่เวลามานั่งพิมพ์แชตเป็นจริงเป็นจัง เสร็จแล้วถึงเงยหน้าขึ้นมองญาติ...ที่กำลังหรี่ตาคล้ายต้องการพิจารณาอะไรบางอย่าง “แฟนแกเหรอ” ไม่ถึงสิบวินาทีหลังจากนั้นเฮียกีย์ก็ปริปากถามในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง แสดงว่าเมื่อกี้แอบมองรูปโปร์ไฟล์ของพี่ควีนสินะ ถึงได้รู้ว่าบุคคลที่ผมเพิ่งโต้ตอบไปเป็นผู้หญิง “ไม่ใช่แฟน” ผมปฏิเสธ “ผู้หญิงที่ชื่อควีนใช่ไหม?” แต่แทนที่จะจบประเด็นนี้แล้วกลับไปเคลียร์เรื่องเก่าให้เรียบร้อย เฮียกีย์กลับผลิชื่อเธอออกมา ฉุดให้ผมหันขวับไปมองอย่างไม่เข้าใจ “เฮียรู้จักด้วย?” “เปล่า” เฮียกีย์ส่ายหน้า “ผู้ชายคนนั้นเล่าให้ฟังว่าแกได้รับความช่วยเหลือจากเธอ ให้ที่ซุกหัวนอน อาหาร เสื้อผ้า และทุกอย่าง ทำขนาดนี้ไม่ใช่แฟนแล้วจะเป็นอะไร?” “ผู้ชายคนนั้น ไอ้ดีน?” ผมเดา เพราะดูจากรูปการณ์แล้ว โอกาสที่จะเป็นไอ้ดีนมีสูงมาก ไม่ถึงห้าวินาทีหลังจากนั้นเฮียกีย์ก็พยักหน้าแทนคำตอบ ยืนยันว่าสิ่งที่ผมคิดนั้นถูกต้อง “สรุปแล้วเฮียไม่ได้รู้จักมันมาก่อน แต่เพิ่งเจอกันวันนี้ว่างั้นเหอะ” “ใช่” มันยอมรับ “เฮียสืบจนรู้ว่าแกอยู่ที่นี่ ตอนถึงโรงแรมได้เจอกับดีนเข้าก็เลยคุยกัน เขาให้ความร่วมมือดี” เพราะแบบนี้เองสินะ เฮียถึงตามตัวผมเจออย่างรวดเร็วและง่ายดาย ไอ้ดีนรอโอกาสนี้อยู่แล้ว คงอยากให้ผมอยู่ห่างจากคุณหนูสุดที่รักใจแทบขาด ก็นะ ผมพูดอะไรมากไม่ได้อยู่แล้ว เพราะสถานะตัวเองในตอนนี้ก็เหมือนเกาะคนอื่นกินไปวัน ๆ หากไอ้ดีนจะหมั่นไส้และรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าก็คงไม่แปลก “แล้วไงต่อ เฮียจะพาผมกลับบ้านให้ได้?” แค่พูดคำว่ากลับบ้านก็รู้สึกกล้ำกลืนจนอยากอ้วกออกมาให้รู้แล้วรู้รอด “สรุปแกจะไม่ยอมท่าเดียวสินะ” เฮียรู้ว่าผมหัวแข็งยิ่งกว่าอะไร หากผมยืนกรานมากกว่าหนึ่งหรือสองครั้ง เท่ากับว่าผมไตร่ตรองจนถี่ถ้วนดีแล้ว ครั้นผมไม่ให้คำตอบ อีกฝ่ายจึงระบายลมหายใจราวเหนื่อยหน่าย ก่อนล้วงเอาบางสิ่งออกมาจากเก๊ะหน้ารถ สิ่งนั้นคือบัตรเดบิต...และมันก็กำลังถูกยื่นมาตรงหน้าผม “ในนี้มีเงินพอให้แกใช้ชีวิตได้หลายเดือน จัดสรรให้ดี อย่าฟุ่มเฟือย” “เดี๋ยวนะเฮีย...” ผมชะงัก ยังไม่เคลื่อนไหว ไม่แม้แต่จะยื่นมือไปรับมัน อะไรอะ อยู่ ๆ ก็... “อันที่จริงเฮียมาที่นี่เพราะอยากรู้เหตุผลที่แกทำร้ายพ่อตัวเองแล้วหนีมามากกว่า เฮียแค่อยากได้ยินมันด้วยหูตัวเอง และอยากเห็นด้วยตาว่าแกสบายดี” คำสารภาพนั้นทำให้ผมรู้สึกแปลกประหลาด...ขณะเดียวกันตรงอกซ้ายก็อุ่นซ่านอย่างยากอธิบาย “แกเองก็ไม่ใช่เด็กน้อยวัยเตาะแตะ ที่ทำแบบนี้คงคิดดีแล้ว เฮียไม่มีสิทธิ์บังคับแกหรอก” “...” “เอานี่ติดตัวไว้ ส่วนเอกสารสำคัญเฮียจะจัดการและส่งมาให้พรุ่งนี้ ยังไงแกก็ต้องไปทำบัตรประชาชนใหม่อยู่แล้ว” “เฮีย ไรเนี่ย” ผมอึ้งจนพูดไม่ออก ไม่นานบัตรเดบิตก็ถูกโยนลงบนตัก “เดี๋ยวเฮียหาข้ออ้างให้พ่อแกเอง ไม่ต้องห่วง” “อยู่ดี ๆ ก็รับบทพระเอกเฉย พะอืดพะอมว่ะ” ผมน่ะอยากเอ่ยขอบคุณและกอดมันแน่น ๆ สักครั้ง...แต่สิ่งที่ทำได้กลับมีเพียงการกวนประสาทเหมือนอย่างที่ผ่านมา “เออ” เฮียยื่นมือมาผลักศีรษะผมหนึ่งครั้ง “แล้วก็อย่าลืมซะล่ะว่าเดือนหน้าแกต้องไปเรียนหนังสือ มหาลัยเปิดวันที่เท่าไหร่เช็กให้มันดี ๆ” “รู้แล้วน่า” “มีไรโทร.มา อยากกลับตอนไหนก็บอก เดี๋ยวมารับ” “พูดมากชะมัดยาด...” ผมเสมองหน้าไปอีกทาง หลังจากนั้นไม่นานเราทั้งสองก็ล่ำลากันแบบเรียบง่าย ทางด้านผมยังไม่กลับเข้าโรงแรมทันที จุดหมายคือตู้เอทีเอ็มซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวโรงแรมมากนัก เดินด้วยเท้าไม่นานก็มาถึง ลองเช็กยอดคงเหลือในบัญชีจึงพบว่ามีเงินเพียงพอให้ชีวิตได้หลายเดือนตามที่มันบอก ผมจ้องยอดคงเหลือราว ๆ ครึ่งนาทีก็กดออกมาหมื่นห้า แปลกดีเหมือนกัน คนที่มักจะใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายอย่างผม...ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าเงินที่มีอยู่มันทำอะไรได้มากกว่าเอาไปละลายอย่างไร้ค่า เสร็จแล้วก็มุ่งหน้ากลับโรงแรม ทว่าระหว่างทางขากลับ หางตาเหลือบเห็นร้านขายเครื่องประดับเข้าพอดี ไม่ใช่พวกเครื่องเพชรราคาแพง แต่เป็นงานแฮนเมดจากลูกปัดหลากสี หนึ่งในนั้นเป็นกำไลที่มีจี้รูปมงกุฎ เพราะมันทำให้ผมนึกถึงใครบางคนขึ้นมาจึงมุ่งหน้าเข้าไปในร้านเครื่องประดับอย่างไม่รอช้า กดเงินมาได้ไม่ถึงห้านาที ก็มีเหตุให้เอาไปละลายกับของไร้สาระซะแล้ว ...และของไร้สาระที่ว่า...ก็ไม่ใช่ของผมด้วย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD