บทที่3.2

2127 Words
ยิ่งไปกว่านั้น...จังหวะวางช้อนลงบนจานกระเบื้องก็ไม่มีเสียงกระทบกันระหว่างวัตถุทั้งสองชิ้น แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเธอคงถูกสั่งสอนอย่างเข้มงวดในเรื่องของมารยาทบนโต๊ะอาหาร ทางด้านผมที่เป็นคนกินเร็ว เคี้ยวไม่กี่ครั้งก็กลืน เห็นแบบนั้นจึงเผลอเพิ่มจำนวนครั้งในการเคี้ยวบ้าง ตลกตัวเองเหมือนกันที่อยู่ดี ๆ ก็นึกอยากเลียนแบบพฤติกรรมนั้น เวลาล่วงเลยผ่านไปกระทั่งพี่ควีนเรียกให้พนักงานมาเช็กบิล ผมคิดว่าทุกอย่างคงผ่านไปอย่างราบรื่น แต่แล้วก็มีเหตุให้ความราบรื่นนั้นสะดุดลง ถ้าถามว่าทำไม “ทั้งหมดสองพันสามร้อยสี่สิบบาทครับ” เพราะจังหวะที่พนักงานชายคนหนึ่งยื่นบิลให้พี่ควีน และยืนรอเธอล้วงเอาเงินออกมาจ่ายด้วยท่าทีที่นับว่าสำรวมใช้ได้ สองตาซึ่งควรเอาไปโฟกัสตรงจุดอื่นก็หลุบต่ำ...จงใจมองเสื้อเปิดไหล่ของเธอ เสื้อที่ก่อนหน้านี้ผมเคยออกปากเตือนว่ามันโป๊เกินกว่าจะใส่ออกไปข้างนอก ด้วยความที่เธอนั่งอยู่ ส่วนมันยืน องศาการมองจึงค่อนข้างถนัดถนี่ทีเดียว ต่อให้ไม่ได้ก้มมองอย่างเปิดเผย แต่...ผมเห็น “เฮ้ย” เพราะงั้นมีเหรอที่ผมจะปล่อยผ่านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เสียงผมไม่ได้ดังถึงขั้นแหกปากตะโกน แต่ก็ไม่ได้นุ่มนวลมากนัก แน่นอนว่าด้วยโทนเสียงที่จัดว่าห้วนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงทำให้พนักงานชายคนนั้นสะดุ้ง รีบหันกลับมาทางผม เช่นเดียวกันกับพี่ควีนที่เพิ่งล้วงแบงก์พันออกมาสามใบ “เมื่อกี้มองอะไร?” “ค...ครับ?” พนักงานชายทำหน้าใสซื่อ “มีอะไรเหรอคะ” พี่ควีนมองผมสลับพนักงานชายคนนั้นอย่างงุนงง “เมื่อกี้มันมองคุณ” ผมเลยตอบให้ “หมายถึง...มองในสิ่งที่ไม่ควรมอง” “ผ...ผมไม่ได้มองนะครับ...” ได้ฟังแบบนั้นพนักงานก็รีบปฏิเสธเป็นพัลวัน คงไม่คิดว่าผมจะสังเกตเห็นสินะ “เข้าใจผิดแล้วครับผม” ตอแหลดีไอ้สัด “เหรอ?” ผมเลิกคิ้วพลางขบกราม สองวินาทีต่อมาจึงลากสายตากลับไปมองพี่ควีน “ไปรอที่รถก่อนได้เลย ได้เงินทอนแล้วผมจะตามไป” “...” “นะครับพี่ควีน” “ไปพร้อมกันดีกว่าค่ะ” เพราะพี่ควีนเองก็เป็นคนช่างสังเกตเหมือนกัน ดังนั้นหลังพบสิ่งผิดปกติในแววตาของผมเพียงเล็กน้อยก็คงรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่เรื่องดี จึงจัดการยื่นเงินสดจำนวนสามพันบาทให้พนักงานชายคนดังกล่าว ยิ่งไปกว่านั้น... “ไม่ต้องทอนนะคะ” ยังให้ทิปไอ้เวรที่แอบลวนลามเธอผ่านสายตาอีก! หมับ ปล่อยให้ผมกระฟัดกระเฟียดกับตัวเองได้ไม่นานพี่ควีนก็หยัดตัวขึ้น ก้าวเข้ามาคว้ามือผมพร้อมทั้งจูงออกนอกร้านโดยไม่มีการเหลียวหลังกลับไปมอง ต่างจากผมอย่างสิ้นเชิง ระหว่างปล่อยให้เธอจับจูงอย่างว่าง่าย ผมเอี้ยวหน้ากลับไปมองยังจุดเกิดเหตุ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะมองหน้าไอ้พนักงานหน้าหม้อนั่นอย่างเอาเรื่อง ฝากไว้ก่อนเหอะมึง “มันมองอกคุณนะ ปล่อยไปง่าย ๆ ไม่พอ ยังให้ทิปแม่งอีก” หลังทิ้งสายตาคาดโทษไว้ที่ตัวต้นเหตุเรียบร้อยแล้วผมก็หันกลับมามองเจ้าของแผ่นหลังบอบบาง ผมรู้ว่านี่ไม่เกี่ยวกับตัวเองแม้แต่นิด ไม่มีสิทธิ์ไปโกรธแค้นเคืองขุ่น ในเมื่อเธอเลือกแล้วว่าจะปล่อยผ่าน ผมซึ่งไม่มีส่วนได้ส่วนเสียจะมาหัวฟัดหัวเหวี่ยงให้มันได้อะไร แต่เฮ้ย...จ้องหน้าอกกันแบบนั้นนับว่าเป็นการคุกคามอีกแบบหนึ่งนะ ควรเอาเรื่องให้ถึงที่สุดดิ ถ้าไม่อยากขึ้นโรงขึ้นศาล อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะสั่งสอนให้หลาบจำสักหน่อย “ถ้าพี่เอาเรื่องขึ้นมาจริง ๆ เกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่มีที่ยืนในสังคมน่ะสิ” “แล้วมันไม่ดียังไง?” ผมขมวดคิ้ว ส่วนพี่ควีนซึ่งเพิ่งปล่อยผมให้เป็นอิสระกำลังเดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งคนขับ ตัวผมเองที่ยังค้างคาและเคลือบแคลงในความคิดเธอจึงตามเข้าไปนั่งข้าง ๆ “ปล่อยไว้เดี๋ยวมันก็ไปทำกับคนอื่นอีก น่าจะให้ผม...” “ให้น้องเกมส์ต่อยสั่งสอนสักทีสองทีเหรอคะ?” พี่ควีนหันกลับมามองผมอย่างนุ่มนวล แม้น้ำเสียงยังคงความละมุนละม่อมชวนหลอมละลายเฉกเช่นทุกครั้ง...แต่แววตาแทบจะไร้ความอ่อนโยนอย่างสิ้นเชิง ผมชะงักทันที... “ที่เราเจ็บตัวแบบนี้ ที่แผลเต็มตัวแบบนี้ มันไม่ใช่เพราะไปมีเรื่องต่อยตีหรอกเหรอ?” “...” “เรื่องนี้เป็นปัญหาของพี่ค่ะ เดี๋ยวจัดการเอง น้องเกมส์น่ะอยู่เฉย ๆ ก็พอนะคะ” ไม่รู้หรอกว่าพี่ควีนมีวิธีจัดการเรื่องนี้ยังไง เพราะจริง ๆ แล้ว สิ่งที่ผมต้องการคือ...อยากให้เธอให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของตัวเองมากกว่านี้ หรือเคยชินกับการมีบอดี้การ์ดล้อมหน้าล้อมหลัง เลยอยากชิลแค่ไหนก็ได้? งั้นใช่ไหม? “นี่” ผมยอมปริปาก น้ำเสียงห้วนขึ้นเรื่อย ๆ “เกือบสองวันก่อน ที่ผมเกือบตายมันก็เป็นปัญหาของผมเหมือนกัน ทั้งที่คุณจะมองเฉย ๆ โดยไม่ทำอะไรก็ได้ แต่คุณก็ยังช่วยผมไม่ใช่ไง?” “...” พี่ควีนเงียบไป “ถ้าอยากให้ผมตอบแทนน้ำใจด้วยการอยู่กับคุณเป็นเวลาสองอาทิตย์...คุณก็ต้องทนให้ได้” ผมเอื้อมมือไปคว้าถุงช็อปปิ้งหลังรถ เลือกหยิบเสื้อแขนยาวมีฮู้ดตัวหนึ่งมาแล้วโยนลงบนตักเธอ “คุณบอกเองว่ารู้จักผมมาก่อน บอกเองว่าชอบผม เพราะงั้นคงรู้ดีแก่ใจ...” “...” “ว่าผมขี้หวงและโมโหง่ายมากแค่ไหน” “กับพี่...ที่เกมส์จำไม่ได้ว่าเป็นใครก็หวงเหรอคะ?” “ผมว่าผมก็พูดชัดละนะ” ผมตัดบทพร้อมทั้งหลุบมองเสื้อฮู้ดบนตักพี่ควีน ส่งสัญญาณทางสายตาให้เธอหยิบมันขึ้นมาสวมเพื่อปกปิดเศษผ้าที่แทบไร้ประโยชน์พวกนั้น แต่รู้ไหม... “เกรี้ยวกราดจังเลยนะตัวแค่นี้” พี่ควีนกลับยื่นมือมายีเส้นผมที่ปรกหน้าปรกตาของผมจนยุ่งฟู แสดงสีหน้าคล้ายเอ็นดูเสียเต็มประดากับคำพูดและการกระทำก่อนหน้านี้ของผม “ผมสูง 187 นะครับ” อยู่ดี ๆ ก็หงุดหงิดที่ได้ยินคำว่า ‘ตัวแค่นี้’ ...ผลสุดท้ายจึงบอกส่วนสูงที่ไปวัดมาล่าสุดเมื่อสามเดือนก่อนให้เธอรับรู้ “หนัก 81 ไหล่กว้าง 53” และไม่รู้อะไรดลใจให้บอกน้ำหนักและความกว้างของไหล่เป็นการสำทับ “...” ได้ฟังแบบนั้นพี่ควีนจึงนิ่งไป คงแปลกใจว่าทำไมผมถึงบอกสัดส่วนร่างกายให้เธอรู้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบนี้ “ผมอายุยังน้อย หลายปีต่อจากนี้มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นด้วย เพราะงั้นคำว่าตัวแค่นี้มันใช้กับผมไม่ได้หรอกนะคุณ” “อะไรกัน” หลังจากนิ่งค้างไปราว ๆ ครึ่งนาที ในที่สุดพี่ควีนก็หลุดหัวเราะ “โอเคค่ะ ๆ พี่ไม่เถียงหรอกที่หนูตัวโต” จบคำกล่าวนั้นเจ้าของใบหน้าสะสวยก็หยิบเสื้อฮู้ดบนตักขึ้นมาสวมอย่างว่าง่าย ความหงุดหงิดที่สุมอยู่กลางอกจึงค่อย ๆ ทุเลาลง อาจสงสัยว่า...กับคนแปลกหน้าที่ผมไม่รู้จัก กับผู้หญิงที่จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร เคยรู้จักกันในลักษณะไหน มีเหตุจำเป็นอะไรถึงต้องแสดงออกว่าหวงแหนจนเกินพอดีแบบนี้? มันไม่มีอะไรซับซ้อนอยู่แล้ว เนื่องจากเธอเป็นผู้มีพระคุณคนหนึ่ง แถมยังดูแลเอาใจใส่กันเป็นอย่างดี ผมแค่...ทำแบบเดียวกันเพื่อเป็นการตอบแทนเธอ มันก็เท่านั้น ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมฝ่ายผมถึงเทคแอคชั่นมากกว่า เพราะเธอเป็น 'ผู้หญิง' ...นี่คือคำตอบ กับสังคมเฮงซวยที่มีเรื่องอาชญากรรมและการคุกคามทางเพศเป็นว่าเล่นโดยที่กฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์พอให้พึ่งพาแบบนี้ ยิ่งมาเห็นเธอไม่ระมัดระวังในการแต่งตัวเข้าไปอีก...จะแปลกอะไรหากผมจะหงุดหงิดจนเผลอก้าวก่าย ชีวิตเธอ ร่างกายเธอ ผมรู้ว่ามันเป็นสิทธิ์ของเธอที่อยากแต่งตัวตามใจตัวเอง แต่ก็นะ...ประเด็นนี้แม่งพูดยาก เพราะได้ของครบตามที่ต้องการแล้ว และไม่มีสถานที่ให้ต้องแวะจอด เราสองคนจึงเดินทางกลับโรงแรมกัน ทว่าเมื่อมาถึงที่หมาย...จังหวะก้าวเท้าลงจากรถเตรียมมุ่งหน้าเข้าไปด้านใน ก็มีเหตุให้การเคลื่อนไหวนั้นหยุดชะงักลงราวกับมีใครมากดปิดสวิตช์ “เป็นอะไรไปคะ?” พี่ควีนหันมาเห็นท่าทีแปลกประหลาดของผมเข้าพอดีจึงถามอย่างฉงน จุดจอดรถของโรมแรมแห่งนี้ตั้งอยู่ด้านหน้าของตัวอาคาร ดังนั้นเมื่อทอดสายตาเข้าไปด้านในตรงส่วนของชั้นแรกซึ่งเป็นล็อบบี้ที่ถูกกั้นด้วยกระจกใส จึงทำให้เห็นพนักงานและแขกที่เข้ามาเช็กอินได้โดยง่าย เช่นเดียวกันกับที่ผม...มองเห็นใครบางคนจากตรงนั้น “น้องเกมส์?” เสียงหวานละลายหูดังขึ้นอีกครั้ง เป็นช่วงเวลาไล่เลียกันที่มันคนนั้นกำลังจะหันมาทางนี้... ทว่ายังไม่ทันได้สบตากับมันผ่านกระจกใส... พลั่ก...ก็เป็นพี่ควีนเองที่ใช้เรี่ยวแรงขุมหนึ่งกระชากผมกลับไป ก่อนดันจนแผ่นหลังถลาติดกับตัวรถ เสี้ยววินาทีต่อจากนั้นก็ใช้เรียวแขนคล้องรอบคอผมแล้วบังคับให้โน้มหน้าลงต่ำ... "คุณ..." กว่าจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ริมฝีปากเราสองคนก็สัมผัสกันอย่างแนบแน่นซะแล้ว เมื่อได้คำตอบว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกจู่โจมชนิดที่ไม่มีเวลาได้ตั้งตัว...ผมที่มึนงงจนจับต้นชนปลายไม่ถูกก็ผงะไป จากที่สองไม้สองมือหอบหิ้วถุงเสื้อผ้าพะรุงพะรัง ก็กลายเป็นอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง ตุ้บ...สุดท้ายถุงมากมายก็หลุดจากมือและร่วงลงพื้น ตลอดชีวิตวัยรุ่น ผมเคยผ่านการจูบแบบปากแตะปากมาบ้างแล้ว แต่แนบแน่นจนสัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าวจากริมฝีปากของอีกฝ่ายแบบนี้...ยังไม่เคย ทว่าถึงไม่เคย ผมก็มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้อ่อนหัด หากแต่พี่ควีนที่เป็นฝ่ายเริ่มและกำลังคุมเกมอยู่นั้นกลับทำเหมือนผมเป็นลูกไก่ในกำมือ เธอใช้ปลายเล็บอะคริลิกสอดเข้ามาใต้กลุ่มผม ออกแรงขยุ้มไปพร้อม ๆ กับริมฝีปากนุ่มนิ่มที่กำลังขบเม้มกลีบปากล่างผมอย่างย่ามใจ ผมไม่สามารถบอกได้เช่นกันว่าสัมผัสที่เจ้าตัวมอบให้นั้นเอาแต่ใจและรุนแรงแค่ไหน...รู้แค่ว่าบาดแผลบริเวณมุมปากที่ใกล้หายดีแล้วมันกลับมาปริแตกอีกครั้งเพราะรสจูบของเธอ ปกติปากผมไม่เคยว่างเว้นจากบาดแผลและคราบเลือด แต่สาเหตุมักมาจากการทะเลาะวิวาทเป็นส่วนใหญ่ ในกรณีที่โดนจูบจนเลือดกบปากนี่... ครั้นรับรู้ได้ถึงรสชาติของเลือดผ่านปลายลิ้น ผู้หญิงเดาทางยากก็รีบผละออกโดยเว้นระยะห่างระหว่างกันเพียงหนึ่งคืบ ส่งผลให้ลมหายใจของเราสองคนยังคงรินรดกันและกัน “คุณทำบ้าอะไรวะ...” ไม่กี่วินาทีให้หลังหลังจากตั้งสติได้ผมจึงถาม ทว่าพี่ควีนกลับไม่ตอบสนอง เธอเพียงตะแคงศีรษะเล็กน้อย มองผ่านไหล่ผมไปด้านหลังคล้ายตรวจเช็กอะไรบางอย่างเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะเคลื่อนสายตากลับมาและเงยหน้าขึ้นมอง “คนนั้นญาติเราใช่ไหม?” “...?” ผมเตรียมหันกลับไปมองว่าคนที่เธอกล่าวถึงนั้นใช่คนเดียวกันกับที่ผมคิดไหม แต่ยังไม่ทันไรฝ่ามือบอบบางก็คว้าหมับเข้าที่ปลายคาง บังคับให้หันกลับมาดังเดิม “ผู้ชายคนนั้น พี่จำได้ว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของเรา” “...” รู้ดีไปหมดทุกเรื่องเลยนะ แต่เออ...ก็ถูกของเธอ คนคนนั้นที่ทำให้ผมชะงักจนก้าวเท้าไม่ออกเป็นเป็นลูกชายของป้า หรือก็คือหลานรักที่พ่อผมแสนจะภาคภูมิใจ ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นศัตรูหัวใจของผมด้วย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD