Game Describe.
หนึ่งวันกว่า ๆ กับการใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การดูแลเสมือนแม่คนที่สองของพี่ควีน ยอมรับว่าถึงแม้จิตใต้สำนึกจะสั่งให้ระมัดระวังเพราะยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอมากนัก ทว่า...บางอย่างในตัวผู้หญิงคนนั้นกลับทำให้ความอึดอัดที่ควรจะมีมากกว่านี้ลดน้อยถอยลงจนตัวผมยังแปลกใจ
ผมรู้สึกว่าพี่ควีนมีคาแร็กเตอร์คล้ายใครบางคนค่อนข้างมาก แต่ก็แค่คล้ายนะ
“มองอะไรคะ?” เสียงหวานนุ่มหูที่ฟังแล้วเหมือนอีกฝ่ายพร้อมจะออดอ้อนกันตลอดเวลาดังขึ้น...ส่งผลให้ภวังค์ความคิดถูกทำลายอย่างฉับพลัน แต่ถึงอย่างนั้นตัวผมก็ยังไม่ได้ละสายตาไปจากเธอ เมื่อกี้มองยังไง ตอนนี้มองอย่างนั้น “พี่ไม่มีสมาธิขับรถนะ”
จนพี่ควีนซึ่งกำลังขับรถเพื่อมุ่งหน้าไปยังแหล่งการค้าเพื่อซื้อเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นให้ผมต้องปริปากอีกครั้ง
“ผมแค่พยายามนึกให้ออกว่าคุณเป็นใครไง” เพราะไม่ใช่ประเภทอ้อมค้อมจึงตอบไปตรง ๆ แน่นอนว่าระหว่างนั้นเสี้ยวหน้าซีกซ้ายของเธอยังคงสะท้อนอยู่ในแววตาผม
เป็นแบบนี้มาราว ๆ ห้านาทีเห็นจะได้
นึกถึงคำพูดของพี่ควีนเมื่อวานซ้ำไปซ้ำมาจนถึงตอนนี้รวม ๆ แล้วน่าจะเกินยี่สิบรอบ...ยังไม่อยากเชื่อเลยว่าไอ้กากที่มักทำตัวเหลวแหลก แถมยังไม่มีอะไรดีอย่างผมจะถูกใครสักคนให้ความสำคัญในฐานะผู้ชายคนหนึ่งอย่างเปิดเผยแบบนี้
พี่ควีน สวยระดับนั้น...หัวบันไดคงไม่เคยแห้ง
แล้วอะไรดลใจให้เธอมาชอบคนอย่างผม?
ผมที่เพิ่งเรียนจบม.6มาหมาด ๆ ด้วยเกรดที่สุดแสนจะขี้ริ้วขี้เหร่ เป็นเพียงเด็กผู้ชายที่ไร้จุดหมายในชีวิต มีปัญหาครอบครัว ใจร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ หัวรุนแรงถึงขั้นลงไม้ลงมือกับบุพการี...
ซ้ำร้าย เงินก้อนสุดท้าย โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าใบโปรด บัตรประชาชนและเอกสารสำคัญบางส่วนที่หยิบติดเป้มา...ก็ไม่มี
เรียกได้ว่าสิ้นเนื้อประดาตัวของจริง
ก็อย่างว่า ฟังจากคำสารภาพเมื่อวานของพี่ควีน เธอไม่ได้เพิ่งเริ่มชอบผม แต่ชอบมานานแล้ว เพราะงั้นสำหรับเธอ...ไม่ว่าตอนนี้ผมจะมีสภาพใกล้เคียงยาจกแค่ไหนก็ยังคงมองด้วยสายตาอบอุ่นอ่อนโยนอยู่ดี
อันที่จริง ตัวผมในอดีตไม่ได้ต่างจากตอนนี้มากหรอก
ไอ้เกมส์คนนี้ไม่เคยดีพอให้ใครรักมาตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว
ก็ถึงได้สงสัยไง...ว่าอะไรในตัวผมมันไปโดนใจเธอ
“แต่พี่ไม่มีสมาธิจริง ๆ ค่ะ” พี่ควีนยืนกรานว่าการจ้องมองของผมเป็นปัญหาใหญ่ในการขับขี่ของเธอ
ฉะนั้น
“ครับ ๆ ไม่มองละ งั้นผมของีบก่อนนะ ถึงแล้วปลุกด้วย”
“ได้ค่ะ”
รับปากเสร็จผมจึงย้ายสายตากลับมามองวิวด้านซ้ายมือ ไม่ถึงหนึ่งนาทีเปลือกตาก็ปิดลง...
ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่านไปนานแค่ไหน กระทั่งได้ยินเสียงกระซิบอ่อนโยนดังขึ้นข้างหูว่า “ไม่เป็นไรนะ พี่อยู่นี่แล้วค่ะ...”
สิ่งนั้นทำให้ผมรู้สึกตัว
ครั้นเปิดเปลือกตาขึ้นก็พบว่าพี่ควีนที่ควรขับรถได้โน้มมากอดผม...มือข้างหนึ่งวางไว้เหนือศีรษะ ออกแรงกดเบา ๆ จนความอุ่นซ่านของฝ่ามือแผ่ลามมาถึงชั้นผิวหนัง
ผมชะงักและตั้งสติภายใต้อ้อมกอดอันแนบแน่น ก่อนได้ยินถ้อยคำต่อมาในห้าวินาทีให้หลัง “ถ้าที่นั่นมันโหดร้าย อยู่กับพี่ก็ได้ อยากเรียนสูงแค่ไหนเดี๋ยวพี่ส่งเสียเอง อยากทำอะไร...เดี๋ยวพี่ซัพพอร์ตเองนะ”
เดี๋ยว ๆ ๆ
อย่าบอกนะว่าผมเผลอละเมออะไรให้เธอได้ยินระหว่างที่หลับไป?
น่าจะใช่มั้ง ไม่งั้นเรื่องมันคงไม่ลงเอยในสภาพนี้หรอก
หลังความงัวเงียถูกสลัดทิ้งไปจนหมด ผมตั้งใจว่าจะผลักเธอออก...แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมร่างกายถึงแน่นิ่ง ปล่อยให้เรียวแขนบอบบางที่ทรงพลังอย่างน่าประหลาดนั้นตระกองกอดราวกับว่าลึกลงไปในจิตใจแล้ว...ผมเองก็ต้องการหรือโหยหาความเข้าอกเข้าใจจากใครสักคนอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่มีการผลักไสเกิดขึ้น แต่ริมฝีปากก็ไม่สามารถปิดเงียบได้ “เฮ้ คุณ...”
ท้ายที่สุดจึงต้องส่งเสียงเพื่อให้พี่ควีนรู้ว่าผมน่ะตื่นแล้ว
และทุกถ้อยคำจากปากเธอ ผมก็ได้ยินอย่างไม่มีตกหล่น
“อ๊ะ ขอโทษนะคะ พี่ทำน้องเกมส์ตื่นเลย” พี่ควีนกล่าวด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย และไม่ได้มีท่าทางเลิ่กลั่กเคอะเขินแต่อย่างใด เพียงค่อย ๆ ผละกอดออกอย่างเป็นธรรมชาติแล้วกลับไปนั่งประจำตำแหน่งบริเวณฝั่งคนขับดังเดิม
ถึงจะไม่ได้ถูกกอดแล้ว แต่ไออุ่นบางเบาจากตัวเธอยังคงตกค้าง
จนถึงตอนนี้...ผมยังรู้สึกได้
“ผมละเมออะไรครับ? ทำไมคุณถึงได้เข้ามากอดผม แถมยังพูดแบบนั้นอีก”
'ถ้าที่นั่นมันโหดร้าย อยู่กับพี่ก็ได้ อยากเรียนสูงแค่ไหนเดี๋ยวพี่ส่งเสียเอง อยากทำอะไร...เดี๋ยวพี่ซัพพอร์ตเองนะ'
ไอ้เรื่องอยากส่งเสียค่าเล่าเรียนเนี่ย ดูไปดูมามันเหมือนว่าผมเป็นเด็กในอุปการะของเธอยังไงยังงั้น
“เราพูดถึงพ่อน่ะ” คำตอบนั้นไม่ได้ห่างไกลจากสิ่งที่ผมคาดไว้ “ภายนอกพี่ดูไม่ออกเลยว่าเกมส์กำลังเครียดหรือเสียใจ แต่ลึก ๆ แล้วเจ็บปวดใช่ไหม?”
“...”
“ถ้าเราไม่รังเกียจ ไม่รู้สึกอึดอัดล่ะก็...มีอะไรสามารถระบายกับพี่ได้นะคะ” ไม่พูดปากเปล่า พี่ควีนยังเอื้อมมือซ้ายมาวางไว้บนศีรษะผม ความมืดมิดในจิตใจถูกแสงสว่างจากรอยยิ้มของเธอสาดเข้ามาชั่ววูบหนึ่งก่อนจะดับไป
ดับลง...เพราะผมเป็นคนปัดมันออกด้วยมือของตัวเอง
อย่างน้อย ๆ ผมก็ทำมันด้วยความนิ่มนวลจนอีกฝ่ายไม่รู้สึกว่ากำลังถูกหักหาญน้ำใจ
จนถึงตอนนี้ แม้ผมจะจำไม่ได้ว่าเธอเป็นใคร และถึงแม้ว่านี่จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ที่เราได้คลุกคลีกันนับตั้งแต่วันที่ผมลอยมาเกยฝั่ง แต่...เรื่องของความรู้สึกมันไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวอยู่แล้ว หากผมที่กำลังอ่อนแอและไร้ที่พึ่งพิงคนนี้เกิดหวั่นไหวจนผูกพันขึ้นมาคงไม่ดีแน่
เพราะทุกครั้งที่ผมรู้สึกแบบนี้กับใครสักคน...ผมมักต้องสูญเสียมันไปอย่างไม่มีทางเลือกทุกที
เคยพูดเล่น ๆ ว่าอยากมีแฟน แต่เอาเข้าจริง...ประสบการณ์ที่ได้รับมาก็ทำให้หวั่น ๆ อยู่เหมือนกัน
ฉะนั้นมึงอย่าได้คิดสานสัมพันธ์กับใครเลยไอ้เกมส์
ถึงแม้ว่าคนคนนั้นจะสวยฉิบหายวายวอด พร้อมเปย์กันอย่างไร้เงื่อนไข อบอุ่นและอ่อนโยนจนไม่น่าเชื่อก็ตาม
“ขอบคุณที่ห่วงใยครับ”
กล่าวเพียงเท่านั้นผมก็เบือนหน้าไปอีกทาง พบว่าตอนนี้รถจอดนิ่งอยู่ในลานจอดรถชั้นใต้ดินของสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งจากที่ดู...มันเหมือนว่าเธอมาถึงที่หมายสักพักแล้วแต่ไม่ยอมปลุกผม
ผมเคลื่อนสายตากลับไปทางพี่ควีนอีกครั้ง
มองเธอที่กำลังจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อย พลางคิดว่าหากผมไม่ละเมอจนเธอเข้ามากอดปลอบ หากสัมผัสและคำพูดของเธอไม่ทำให้ผมตื่นขึ้นมา...เธอจะยอมปลุกกันไหม?
หรือแค่รอ เพียงเพราะไม่อยากรบกวนการพักผ่อนของผม?
หนึ่งชั่วโมงครึ่งต่อมา...หลังถูกลากไปซื้อโน่นซื้อนี่โดยแทบไม่มีโอกาสได้ร้องท้วงปฏิเสธ พี่ควีนก็ขับรถพาผมมานั่งที่ภัตตาคารอาหารทะเล
เธอถามผมว่าอยากกินอะไรเป็นพิเศษให้จิ้มเมนูได้ตามสบายไม่ต้องเกรงใจ แต่เนื่องจากไม่ใช่เงินผม...จึงให้เธอจัดการในส่วนนี้ด้วยตัวเอง ไม่นานอาหารมากมายที่สั่งไว้ก็ถูกนำมาเสิร์ฟเต็มโต๊ะ
เยอะโคตร
กวาดสายตาดูแล้วไม่น่าต่ำกว่าหกอย่าง
“คุณสั่งเยอะ กินหมดเหรอ” ผมเลยถามด้วยความสงสัย
“พี่สั่งให้เราไง” อีกฝ่ายแทบไม่ต้องใช้เวลาในการไตร่ตรองคำตอบ “กินเยอะ ๆ นะ”
"..."
กล่าวพร้อมตักชิ้นเนื้อปลากะพงราดซอสมาใส่ไว้ในจานผมชิ้นเบ้อเริ่ม
"เดี๋ยวพี่แกะกุ้งให้ด้วยนะ" ไม่เพียงเท่านั้น...กุ้งตัวใหญ่ที่อยู่ในหม้อต้มยำยังถูกตักไปวางไว้ในภาชนะอย่างดี ก่อนจัดการแกะเปลือกออกอย่างพิถีพิถันโดยไม่สนเลยว่าจะถูกมองยังไงที่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ต้องมานั่งแกะกุ้งให้ผู้ชายกิน
“ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ไหม? เดี๋ยวเล็บก็หักพอดี” ผมแย่งกุ้งตัวนั้นมาแล้วแกะอย่างทุลักทุเลเพราะฝ่ามือมีแต่บาดแผล แกะเสร็จแล้วจึงนำกลับไปวางไว้ในจานของเธอ...แทนที่จะเป็นของตัวเอง “คุณนั่นแหละกินเยอะ ๆ ตัวกะเปี๊ยกเดียว”
“ค่ะ...” ขานรับเสร็จก็ใช้ซ่อมจิ้มกุ้งตัวนั้นที่ผมแกะเปลือกให้
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเลิกให้ความสนใจกันจนมากเกินความจำเป็นแล้ว ผมจึงเคลื่อนสายตากลับมา...จัดการกับอาหารตรงหน้าอย่างเงียบเชียบ
ทว่าระหว่างที่เคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ อยู่นั้น พี่ควีนก็ไม่วายหาโอกาสตักโน่นตักนี่มาใส่จานผมคล้ายว่านี่เป็นสิ่งที่ควรทำ
และเธอเองก็เต็มใจ
แทบทันทีที่เงยหน้าขึ้นหมายจะห้ามปรามเนื่องจากไม่ได้ง่อยจนหยิบจับหรือทำอะไรไม่เป็น
ทว่ายังไม่ทันได้ปริปากดังที่ใจคิด คำพูดทั้งหมดก็จำต้องหุบฉับโดยอัตโนมัติเพียงเพราะได้รับรอยยิ้มสว่างสดใสที่ผู้หญิงคนนั้นมอบให้แทนความห่วงใย
ให้มันได้อย่างนี้สิวะ
สุดท้ายสิ่งที่ผมทำก็มีเพียงการสบถโดยไม่ให้อีกฝ่ายสังเกตเห็น ก่อนก้มหน้าก้มตากินทุกอย่างที่เธอตักให้อย่างว่าง่าย
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเรียกได้ว่าเงียบสงัดจนน่าอึดอัดอยู่บ้าง ยังดีที่ภายในร้านอาหารเปิดเพลงคลาสสิกคลอ ความอึดอัดที่เกิดขึ้นจึงมีไม่มากนัก
แน่นอนว่าระหว่างนี้ผมเองก็ลอบมองเธอทุกครั้งเมื่อมีโอกาส
ไม่ได้มองเพราะพิศวาสอะไร แค่เพิ่งได้เห็นพฤติกรรมการกินอาหารของเธอแบบชัด ๆ เลยรู้สึกทึ่งไม่น้อย
พี่ควีนนั่งหลังตรงแหน่ว แผ่นหลังแทบไม่สัมผัสกับจุดพิง ซ้ำยังเคี้ยวอาหารด้วยริมฝีปากที่ปิดสนิท ไม่รีบร้อน ไม่มูมมาก และไม่มีเสียงจ๊อบแจ๊บรบกวนหู