ตอนที่ 16 ความจริงของเชาเย่

1680 Words
ตอนที่ 16 ความจริงของเชาเย่ เชาเย่เป็นใคร ? สิ้นคำพูดของเชาเย่ หวังเย่หันขวับไปมองใบหน้าของเชาเย่ทันที “นี่เจ้า!” หวังเย่พูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก ใช้มือชี้หน้าเชาเย่ เชาเย่นางได้แต่ก้มหน้างุด ๆ พูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา “ศิษย์พี่” O___O <<<< สีหน้าของฉัน งงเจ้าค่ะ “ทั้งสวรรค์ตามหน้าเจ้ากันทั่ว เหตุใดเจ้ามาอยู่เมืองมนุษย์ได้เล่า หากท่านพ่อของเจ้ารู้ว่าเจ้าหนีมาเมืองมนุษย์ เจ้าจะโดนไม่ใช่น้อย” หวังเย่พูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วง แต่ปนด้วยความดุเล็กน้อย “คือว่าข้า ข้าเป็นห่วงศิษย์พี่หญิงของข้า ข้าจึงแอบหนีมาดูแลศิษย์พี่หญิง” เชาเย่อธิบายอย่างตะกุกตะกัก ก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิด “เจ้ากลับไปกับข้า แล้วไปบอกท่านพ่อของเจ้า” หวังเย่พูดแล้ว ดึงข้อมือของเชาเย่ให้ตามไป แต่ทว่าเชาเย่ขัดขืน “ข้าไม่ไป ศิษย์พี่!” เชาเย่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทำให้หวังเย่ชะงัก แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกนึง “เพราะเหตุใด” “คือว่าข้าผนึกพลังเซียนของตนเอาไว้ หากยังช่วยศิษย์พี่หญิงไม่ได้ข้าจะไม่กลับ ข้าขอร้องท่านล่ะ ศิษย์พี่ใหญ่ให้ข้าอยู่ต่อเถิดนะ เมื่อข้าให้ศิษย์พี่หญิงกลายเป็นเทพแล้วข้าจะกลับไป ข้าต้องตอบแทนศิษย์พี่หญิง เรื่องนี้เป็นเรื่องของข้า เผ่าจิ้งจอกของข้า ถือว่าการตอบแทนคุณคือเรื่องใหญ่” เชาเย่พูดด้วยความอ้อนวอน หวังเย่คิ้วขมวด ทำสีหน้าครุ่นคิดหนัก แล้วพูดขึ้น “เช่นนั้นก็ได้ แต่เจ้าอย่าใช้พลังเทพเซียนที่โลกมนุษย์ และเจ้าอย่ายื่นมือช่วยหรือขัดขวางชะตากรรมของมนุษย์” หงึก ๆ ๆ <<< เชาเย่พยักหน้า -..- คงจะลืมไปแล้วว่าฉันนอนเปลือยหลัง นอนหัวโด่อยู่ตรงนี้ หากเชาเย่เป็นเทพเซียน อย่างนั้น เชาเย่คงไม่ใช่คนร้ายที่ฉันสร้างขึ้น แบบนี้ไม่เท่ากับนับศูนย์ใหม่หรอกรึ แล้วเชาเย่นางไม่รู้หรอว่าฉันไม่ใช่หลิน ซานซาน ศิษย์พี่ของนาง หรือบางที่อาจจะรู้แล้วอยู่ตามหาศิษย์พี่หญิงของนางต่อ “พวกท่าน เอ่อ เจ้าเชาเย่ รู้จักกันงั้นหรอกรึ แล้วข้าต้องเรียกเชาเย่ว่า อย่างไร” ฉันถามออกไปเพื่อไขความกระจ่าง ตอนนี้งงเจ้าค่ะ “คุณหนูเรียกเชาเย่เช่นเดิมเถอะเจ้าค่ะ” เชาเย่ตอบ ฉันพยักหน้าหงึก ๆ ให้มันแน่นะ หากฉันเรียกเซียนด้วยสรรพนามที่ธรรมดาจะโดนแส้ฟาดหลังอีกไหม ฉันมองหวังเย่ด้วยหางตา เขาหันหน้าไปทางอื่น อีกแล้ว “นี่ท่าน เหตุใดท่านไม่มองหน้าข้า” ฉันถามหวังเย่ หวังเย่ถอนหายใจ แล้วสะบัดมือแค่ทีเดียว ผ้าห่มผืนบาง ได้ลอยขึ้นมาคลุมหลังของฉัน และคลุมหัวจนมิด แม้จะไม่พอใจที่เขาเอาผ้าห่มคลุมหัวของฉัน แต่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ใช้มือดึงผ้าห่มลง โผล่ให้เห็นแค่หัวและลำคอระหง “เจ้าทะนุถนอมร่างของศิษย์น้องของข้าได้หรือไม่ อย่าทำให้ร่างกายของนางบาดเจ็บเช่นนี้อีก” หวังเย่พูด แล้วมองฉันด้วยสายตาที่เป็นห่วง นี่เขาเป็นห่วงร่างของหลินซานซานงั้นหรือ แต่แววตาของเขามันมีอะไรแอบแฝงมากกว่านั้น “ฮั่นแน่! ท่านรักหลินซานซานใช่หรือไม่” ฉันถามด้วยน้ำเสียงที่เริงร่า แล้วใช้นิ้วชี้ ชี้ไปยังใบหน้าของเขาเพื่อล้อเลียน แล้วหลุดหัวเราะออกมาน้อย ๆ อีตาเทพเซียนหวังเย่ ใบหน้าแดงก่ำไปถึงใบหู แต่สีหน้ายังคงนิ่งขรึม หวังเย่มองฉันด้วยสายตาที่ค่อนข้างดุ แล้วใช้มือหยิบหมอนที่วางอยู่ปลายเท้าของฉัน ปาใส่แผ่นหลังของฉัน “ว๊ากก เจ็บ ๆ ๆ ๆ นี่ท่านจะเขินอะไรดูด้วยสิ ท่านบอกให้ข้า ทะนุถนอม แต่ท่านนั่นแหละที่ทำร้ายนาง” ฉันร้องดังลั่น ด้วยความเจ็บ ฮือ ใจร้ายที่สุด “เชาเย่ เจ้าดูศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าสิ ทำร้ายข้าได้ลงคอ” ฉันฟ้องเชาเย่ยกใหญ่ ตอนนี้นางน่าจะรู้แล้วว่าฉันไม่ใช่ศิษย์พี่หญิงของนาง “ศิษย์พี่ใหญ่นางคือ..” “เจ้ากลับสวรรค์เมื่อไหร่ ข้าจะบอกเจ้าเอง” หวังเย่พูดตัดบท เชาเย่หน้ามุ่ยแล้วก้มหน้าลง “เอ่อ คือ ข้ามีคำถาม เมื่อครู่ท่านบอกว่าข้าตั้งกฎตระกูลเองใช่หรือไม่” ฉันถามหวังเย่ออกไปด้วยความสงสัย “เจ้าจำไม่ได้หรอกรึ กฎนี้เจ้าเป็นคนเขียนเองกับมือ นี่เจ้าคงไม่ได้เลอะเลือนไปแล้วกระมัง” หวังเย่พูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบ ฉันส่ายหัวออกมาน้อย ๆ แทนคำตอบ แน่นอนว่าฉันลืมสนิท แต่งนิยายไม่รู้กี่เรื่อง จำไม่ได้ สมองอันน้อยนิดมีความจำไม่พอ T^T เมื่อใช้สมองอันน้อยนิดประมวลผลดึงเอาความทรงจำออกมา ฉันเป็นคนเขียนกฎนี้จริง ๆ แง นี่สินะที่เขาเรียกว่าเวรกรรม ! ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่แต่งนิยายได้แส้ลงหลัง คราวนี้จะไปบ่นใครได้ จะให้ฉันโทษจื่อรุ่ยงั้นหรอ ต้องโทษที่เขาไม่ยอมกลับไปบ้านของฉันหรอ ฉันเป็นคนสร้างเขามาให้มีนิสัยแบบนี้เอง จะโทษใครไม่ได้เลย ฮือ จบแล้วชีวิตน้อย ๆ ของหลินหลิน “ท่านมาวันนี้ ท่านมาทำอะไรรึ” ฉันถามด้วยสีหน้าสงสัย หรือว่าจะมาจับตาดูฉันอย่างใกล้ชิด ไม่นะ หากอยู่กับเขา เนื้อตัวฉันก็ไม่น่วมหมดหรอ “ข้ามาดูเจ้าว่าตายหรือยัง” หวังเย่พูดออกมาหน้าตาเฉย O[]O นั่นคำพูดที่ออกมาจากลมปากของเทพเซียนงั้นหรอ “นี่ท่าน!..” ฉันใช้นิ้วชี้ ชี้ไปยังหน้าของหวังเย่ แล้วชักมือกลับ เมื่อหวังเย่มองมาที่ฉันด้วยสายตาอันเย็นเยียบดุจมีดคมกริบเล่มนึง ไม่กล้าหือค่ะ หลินหลินเป็นคนที่รักตัวกลัวตาย ไม่กล้ามีเรื่องกับเทพเซียนค่ะ หวังเย่มองฉันด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายถอนหายใจออกมาเฮือกนึง “ข้ามาเพื่อมาดูความคืบหน้าของเจ้าว่าไปถึงไหนแล้ว เจ้าจงรู้ไว้ ยิ่งเจ้าช้าเท่าไหร่ โลกใบนี้ก็จะยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ เจ้าบอกข้ามา ว่าเจ้าคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว” “แหะ ๆ คือข้าได้ไปสืบมาแล้ว แต่ยังไม่พบเบาะแสอะไร” ฉันยิ้มเจื่อน ๆ ให้หวังเย่ หวังเย่สีหน้าถมึงทึง พร้อมกับเสกแส้ออกมาเพื่อขู่ฉัน แล้วยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “อ้ะ ๆ ท่านใจเย็นลงก่อนนะ คือว่าข้าจะพยายาม แต่ภายในวันสองวันนี้ คงจะขยับตัวไม่ได้ ถ้าหากว่าข้าหายดี ข้าจะออกไปตามหากลีบดอกบัวทันที” ฉันพูดอย่างลนลาน เบะปากน้อย ๆ เรียกความน่าสงสารจากหวังเย่ พร้อมกับกะพริบตาปริบ ๆ เมื่อฉันพูดจบ หวังเย่ปัดมือเพียงเล็กน้อย แส้อันเบ้อเริ่มนั่นก็หายวับไปเพียงชั่วพริบตา “เช่นนั้น ข้าจะมาพบเจ้าอีก พักนี้ข้าอาจจะไม่ได้ลงมาพบเจ้า ข้าขอฝากให้ศิษย์น้องดูแลนางแทนข้าด้วย” หวังเย่พูดกับฉัน เขาหันหน้าไปฝากฝังกำชับเชาเย่อีกที “ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้าดูแลตัวเองได้ ท่านไปนาน ๆ เลย พักผ่อนเยอะ ๆ แหะ ๆ” หวังเย่หันมามองหน้าฉันด้วยแววตาที่เรียบนิ่งคาดเดายากว่าเขานั้นหมายถึงอะไร แววตาของหวังเย่เจือปนด้วยความอาวรณ์แปลก ๆ แต่กลับไม่พูดอะไรซักคำ จากนั้นหวังเย่เบือนใบหน้าที่หล่อเหลา ไปหาเชาเย่ “ศิษย์น้องรักษาตัวด้วย ข้าต้องไปแล้ว” หวังเย่พูดกับเชาเย่ เชาเย่นางพยักหน้าหงึก ๆ แทนคำตอบ เมื่อหวังเย่พูดจบ เขาลุกขึ้นยืน ใช้มือโบกทีเดียว ก็หายตัวไปเพียงชั่วพริบตา หายตัวได้ด้วยแฮะ -0- ฉันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เกร็งแทบตาย กลัวเขาจะเอาแส้มาฟาดอีก “นี่เชาเย่เล่ามาให้หมดเดี๋ยวนี้นะ มันเป็นมายังไง” ณ ตำหนักขององค์ชายสาม (จื่อรุ่ย) จินฝานเร่งรุดเดินเข้ามาในตำหนักขององค์ชายสามอย่างร้อนรน เพื่อมาแจ้งข่าวที่สาวใช้ในตำหนักของพระชายาหลินซานซานได้พูดคุยกันว่า พระชายาถูกท่านแม่ทัพ ผู้เป็นบิดาลงโทษ ตามกฎของตระกูล ด้วยการโบยหลัง 20 ที “องค์ชายขอรับ” จินฝานพูดพร้อมกับทำความเคารพองค์ชายสาม “เจ้าพูดมา” “สาวใช้ในตำหนักพูดกันว่า วันนี้องค์ชายไม่ได้กลับบ้านไปกับพระชายา ทำให้พระชายาถูกลงโทษ ตอนนี้พระชายาไม่สามารถเดินได้ ท่านจะไปดูพระชายาหรือไม่ขอรับ” “ไม่ล่ะ” “เหตุใดท่านจึงไร้น้ำใจกับนางเช่นนี้ขอรับ หรือว่านางมีความสัมพันธ์ลับ ๆ กับเองค์ชายรองต๋อยี เหตุนั้น ฝ่าบาทเองได้ไตร่สวนหาคำตอบแล้วนะขอรับ ว่ามีคนใส่ร้ายพระชายาและองค์ชายรอง....” “จินฝาน นี่เจ้าออกความเห็นเป็นตั้งแต่เมื่อใดกัน” องค์ชายจื่อรุ่ยพูดขัด เมื่อเห็นว่าจินฝานพูดมากไป “มิกล้าขอรับ เพียงแต่เหตุนี้เกิดจากที่องค์ชายไม่ไปตามประเพณีจึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ด้วยเหตุนี้ข้ากลัวเพียงแต่ชื่อเสียงขององค์ชายจะ ถดถอยลง” จินฝานอธิบาย แล้วพูดต่อ “ท่านไปเยี่ยมพระชายาเถิดขอรับ วันแต่งงานท่านยังไม่แม้แต่จะพบหน้าพระชายา เกรงว่าข่าวลือนี้ จะลือไปไกลจนถึงหูชาวเมือง และฝ่าบาทขอรับ” องค์ชายชะงักเล็กน้อย ทำหน้าครุ่นคิดหนัก “ข้าขอคิดดูก่อน ประเดี๋ยวข้าไป”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD