“คุยกันไปนะ วันนี้หน้าที่ของแกคือดูแลน้องมิวให้ดี แล้วพาไปส่งบ้านด้วย เข้าใจไหม”
“แม่ว่าไงนะ”
“คำพูดฉันถือเป็นคำขาด โอเคนะ”
“ป้าซินกับคุณแม่จะไปไหนกันล่ะคะ” ยัยบ้องแบ้วเอ่ยถามอย่างร้อนรน ดูท่าแล้วก็คงถูกบังคับไม่ต่างจากผมหรอก
“แม่กับซินจะไปไหว้พระกันน่ะ ถ้ายังไงป้าฝากน้องด้วยนะเดย์” ประโยคหลังแม่ของเธอหันมาพูดกับผม
“ครับ” เป็นการตอบรับที่ไม่มีจิตวิญญาณเอาซะเลย
“ให้ดีนะไอ้เดย์” ไม่พูดเปล่ายังชี้หน้าคาดโทษอีกด้วย “ถ้ามันแกล้งอะไรบอกแม่นะน้องมิวเดี๋ยวแม่จัดการให้” เสียงหวานเชียวทีกับลูกตัวเองแทบจะกินหัวอยู่แล้ว
“ค่ะ”
คล้อยหลังทั้งคู่ทุกอย่างจึงตกอยู่ในความเงียบ เงียบมากครับไม่มีใครปริปากพูดอะไรออกมาสักคำ มีเพียงผู้หญิงตรงหน้าที่กินเค้กอย่างสบายใจ
“พี่กลับก่อนเลยก็ได้ค่ะ หนูกลับเองได้ไม่ต้องใส่ใจคำพูดของผู้ใหญ่หรอก”
“ถามจริง ๆ ทำไมไม่ปฏิเสธ”
“แล้วพี่ล่ะคะ ทำไมถึงไม่ปฏิเสธ”
“กูปฏิเสธแล้วแต่พูดไปก็เท่านั้น”
“ก็คงไม่ต่างกัน” คนตรงหน้าตอบด้วยท่าทีสบาย ๆ ดูไม่ได้กังวลอะไรขนาดนั้น
“ถ้าอย่างนั้นเรามาตกลงกันไหม”
“ตกลงอะไรคะ”
“บอกตามตรงว่ากูไม่อยากแต่ง”
“หนูก็ไม่อยากแต่งกับพี่หรอก”
“ทำไม? กูออกจะหล่อ”
“หล่อมันกินไม่ได้ค่ะ ไม่ได้รัก ไม่ได้ชอบ จะอยู่ด้วยกันได้ยังไง”
“หนึ่งปีหลังจากแต่งงานเราค่อยอย่ากันโอเคไหม”
“ตั้งหนึ่งปี! มันไม่นานไปหน่อยเหรอ” ไม่พูดเปล่ายังกรอกตาไปมาใส่ผมอีกต่างหาก “หนึ่งปีเลยนะพี่ นึกว่ามีเรื่องแบบนี้แค่ในนิยายซะอีก”
“แต่งแล้วเลิกเลยมันได้เหรอวะ เธอเป็นถึงนักเขียนช่วยใช้สมองอันน้อยนิดคิดเยอะ ๆ หน่อยได้ไหม
“พูดดี ๆ ก็ได้ค่ะไม่เห็นต้องด่าเลย”
“กูก็เป็นของกูแบบนี้แหละ หยาบคาย และชอบพูดตรง ๆ ด้วย”
“พูดตรงกับไม่มีมารยาทมันไม่ต่างกันมั้ง” พึมพำคนเดียวแต่ผมหูดีไงเลยได้ยิน
“ต่างสิ มารยาทส่วนมารยาท หยาบคายก็คือหยาบคาย”
“แต่เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นที่พี่จะมาพูดมึงกูใส่”
“แล้วต้องสนิทขนาดไหนถึงจะพูดได้?”
“…”
“อิ่มหรือยังจะได้ไปกันสักที”
“ไปไหนคะ”
“ถึงก็รู้เองแหละ ไม่พามึงไปขายหรอก”
ขืนปล่อยให้ยัยบ้องแบ้วกลับบ้านไปนะเป็นเรื่องแน่ ก็รู้อยู่ว่าแม่ผมเป็นคนยังไง อีกอย่างแค่พาไปที่ร้านเองคงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง
“มาทำอะไรที่นี่เหรอคะ” เมื่อรถจอดนิ่งสนิทคนข้าง ๆ ผมก็ขยับปากขึ้นทันทีหลังจากที่เงียบมาตลอดทาง
“ตามมาเถอะ”
“โอ้โหสวรรค์! ปกติวันหยุดไม่เคยเห็นหัว” พอเห็นหน้าผมปากหมา ๆ ของไอ้แจ็คก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาทันที
“ถ้างั้นกูกลับละ”
“โอ๋ ๆ ล้อเล่น มึงไม่เข้าร้านสาว ๆ ถามหากันเพียบครับ”
“ธรรมดาก็คนมันหล่อ”
“นั่นใครน่ะเดย์” จีมินเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นยัยบ้องแบ้วเดินตามผมมา
“นั่นเพลง ว่าที่เมียกูไง”
“หนูชื่อมิวสิกค่ะ ไม่ได้ชื่อเพลงสักหน่อย”
“มันเรียกยาก กูจะเรียกแบบนี้มีปัญหาอะไรไหม”
“ไม่มีค่ะ หนูเข้าใจว่าพี่แก่แล้ว”
“แก่อะไรเขาเรียกว่าวัยหนุ่ม”
“โทษทีพอดีหนูวัยรุ่น”
“มึงแม่ง!”
“พอหยุด! เลิกเถียงกันได้แล้ว”
“เออ ไม่มีใครยอมใครเลยจริง ๆ”
“เถียงกันแบบนี้โบราณว่าลูกดกนะ” ไอ้แจ็คกับจีมินปรามขึ้นเมื่อเห็นท่าทีของเราสองคนที่คุยกันรู้เรื่องได้แค่ไม่กี่คำ
“ไม่หัวกลางท้ายอะไรทั้งนั้น ฝันไปเถอะว่าจะได้เห็นขาอ่อนหนู”
“อยากเห็นตายแหละยัยตุ๊กตายาง”
“ตุ๊กตายาง... ของเล่นผู้ชายใช่ไหมคะ ต้องสวยมากแน่ ๆ ถ้างั้นหนูจะถือว่าเป็นคำชม”
“เฮ้อ...กูเครียด!”
... : ฮ่า ๆ
“บางทีพี่ก็อารมณ์แปลปรวนบ่อยไปนะคะ เป็นวัยทองหรือไง” ต่อล้อต่อเถียงเก่งมากครับ แม่หาอะไรมาให้ผมเนี่ย
“พอแล้วเลิกเถียงกัน สรุปคนนี้ใช่ไหมที่แม่มึงหาให้”
“เออ”
“พี่ไม่ต้องทำหน้าเบื่อโลกขนาดนั้นหนูก็ไม่ได้อยากแต่งสักหน่อย”
“เงียบปากเถอะยัยบ้องแบ้วแล้วอย่ากวนด้วยกูจะทำงาน”
“ค่ะ” กระแทกเสียงใส่ผมก่อนจะพาตัวเองไปนั่งรอที่โซฟา
ปวดหัวครับบอกได้คำเดียว มองผิวเผินเธอดูเงียบก็จริง แต่ถ้าได้เถียงจะเป็นอีกคนหนึ่งไปเลย
“น่ารักว่ะ กูเป็นผู้หญิงกูยังชอบเลย แถมขยันเถียงมึงทุกคำด้วยนะ” จีมินว่ายิ้ม ๆ
“เออดิ เถียงเก่งฉิบหาย”
เลิกสนใจเธอก่อนจะหันมาตั้งใจออกแบบลายสักที่ทำค้างไว้ให้เสร็จ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นเธอยิ้มเล็กยิ้มน้อยคนเดียวกับหน้าจอมือถือ
“สงสัยจะหนัก”
“เปล่าสักหน่อยพี่ไม่เข้าใจโลกของหนูหรอก”
“กูพูดคนเดียว ไม่ได้พูดกับมึง”
“หนูก็พูดลอย ๆ แต่บังเอิญหมาน้อยได้ยิน”
“เพลง!”
“คิกคิก”
“มึงแม่ง” ลอยหน้าลอยตามากแถมยังเถียงทุกคำจริง ๆ นี่ขนาดเพิ่งเจอกันนะ แล้วคิดดูสิถ้าอยู่ด้วยกันไปทุกวันจะปวดประสาทขนาดไหน “กูถามจริงมึงเต็มไหมเนี่ย”
“อะไรของพี่เนี่ยหนูอ่านนิยายอยู่”
“ไหนมึงบอกว่าตัวเองเป็นนักเขียนไง”
“ก็อยากเป็นนักอ่านบ้างมีอะไรไหม”
“ถ้าตอบอะไรที่มันเป็นประโยชน์ไม่ได้ก็เงียบปากไปเถอะ”
“ขอโทษค่ะก็อ่านของนักเขียนท่านอื่นบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้นเอง”
“อ่านทำไมในเมื่อตัวเองก็เป็นคนเขียน”
“พี่ไม่รู้อะไร มันมีหลายเรื่องเลยนะที่ให้แง่คิดกับเรา คิดให้กว้าง คิดให้ใหญ่ ใคร ทำอะไร ที่ไหน ยังไง ผลเป็นยังไงแล้วมันสะท้อนอะไรในชีวิตเราบ้าง หรือบางเรื่องก็อ่านแบบฟิน ๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก อ่านเพื่อความบันเทิงน่ะเข้าใจหรือยังค””
“ไม่เข้าใจ”
“โวะ!”
“อ้าว ก็กูไม่เข้าใจนี่
“ลองอ่านไหมคะ เรื่องนี้เลยหนูแนะนำ ผู้หญิงปากร้ายกับผู้ชายปากเสีย หนูเป็นนางเอกพี่เป็นพระเอก”
“ลามปามนะมึงอะ”
... : ฮ่า ๆ
“ไหนแม่บอกกูว่ามึงน่ารักเรียบร้อยไง แต่ที่กูเห็นตอนนี้ไม่ใช่เลยนะ อย่างกับม้าดีดกะโหลก”
“คิกคิก ป้าซินคงเข้าใจอะไรผิดไป”
“กลับเข้าโลกนิยายของมึงไปเถอะกูจะทำงานต่อละ”
“ถ้าพี่ไม่มัวแต่กวนหนูนะ ป่านนี้งานพี่คงเสร็จไปนานแล้วแหละค่ะ”
“เพลง!!”
“โอ๊ย...หนูชื่อมิวสิกค่ะ มิวสิกน่ะได้ยินไหม”
“ได้ยิน แต่ไม่ทำตามมีไรไหม”
“ไม่มีค่ะ หนูเข้าใจว่าพี่แก่แล้วเลยเข้าใจอะไรยาก”
“กูไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่ามึงเลยจริง ๆ”
“ไม่ต้องด่าค่ะ หนูจะอยู่เฉย ๆ เรียบร้อยพูดน้อยพี่สบายใจได้” พลางฉีกยิ้มกว้างให้ผม
“อะแฮ่ม!”
“กูสองคนยังอยู่ตรงนี้นะเผื่อมึงลืมไปไอ้เดย์”
“ก็มึงดูดิ เถียงกูทุกคำเลยแม่กูก็อวยไว้ซะเยอะ เรียบร้อยอย่างนั้น เรียบร้อยอย่างนี้ นิสัยดี น่ารัก แล้วมึงดูสิ่งที่กูเจอ” ให้ตายเหอะนี่ผมกำลังเจอกับอะไรอยู่ แม่นะแม่ทำกันได้ลงคอ
“ยาคลายเครียดหน่อยไหมเพื่อน”
“มึงก็อีกคน เดี๋ยวกูถีบไปโน่นเลย”
“โหดฉิบหาย”
ต่อปากต่อคำกับผมเก่งมากครับ แต่เวลาอ่านนิยายนะเหมือนหลุดไปเป็นอีกคนนึงเลย ผมไม่รู้เลยว่านิสัยใจคอที่แท้จริงของเพลงมันเป็นยังไงกันแน่ บอกตามตรงว่าจับทางผู้หญิงคนนี้ไม่ถูก
“เพื่อนรักพวกกูมาแล้ว” ไอ้กราฟกับไอ้แม็กเสียงดังมาแต่ไกลเชียว
“ซื้ออะไรมาเยอะแยะวะ”
“ของกินดิครับ หรือมึงเห็นเป็นอาหารหมา”
“ไอ้กราฟ ไอ้สัสกูเป็นคนหมาเหี้ยไรจะหล่อขนาดนี้”
“หลงตัวเองฉิบหาย แล้วนั่นใครอะเด็กมึงเหรอ”
“ไม่ ๆ มึงอย่ามองกูด้วยสายตาอันชั่วร้ายแบบนี้นะ ว่าที่เมียไอ้เดย์มันโน่น” ไอ้แจ็ครีบอธิบาย
“ห๊ะ คนนี้เหรอที่แม่มึงหามาให้”
“เออ แม่ง...มึนฉิบหาย” พลางเบือนหน้าไปมองยัยบ้องแบ้วที่กำลังขะมักเขม้นกับการอ่านนิยายอยู่
“ได้ยินนะคะ”
“พูดลอย ๆ หมาน้อยได้ยิน”
“นั่นมันคำพูดหนู”
“อ้าวเหรอกูนึกว่าพูดคนเดียวซะอีก”
“...”
“อะไรของพวกมึงวะยิ้มกันอยู่ได้” ผมหันไปถามพวกมันที่เอาแต่จ้องหน้าผมอยู่นั่นแหละ
“ปกติกูไม่เห็นมึงอยากพูดคุยกับผู้หญิงคนไหนเลย” ไอ้แม๊กเอ่ย
“ใช่ พูดด้วยคำสองคำมึงก็เดินหนีละ”
“จริง! วันนี้มึงพูดเยอะผิดปกติไปนะ”
“พวกมึงก็ดูสิมันยอมกูซะที่ไหนต่อปากต่อคำตลอด”
“แล้วทำไมน้องมันต้องยอมมึงด้วย?” จีมินเอ่ย
“กูโตกว่าตั้งหลายปีต้องฟังกูดิ ไม่ใช่เถียงกูทุกประโยคแบบนี้”
“พี่ก็ควรฟังคนอื่นเหมือนกันนะคะ ไม่ใช่จะให้คนอื่นฟังอยู่ฝ่ายเดียว หนูรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็แค่อยากทดสอบอารมณ์ของพี่ก็เท่านั้นเอง แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้วแหละแค่นี้ก็พอจะมองออกบ้างแล้ว”
“ในสายตามึงกูเป็นยังไงเหรอ”
“ปากร้ายค่ะ แถมยังเจ้าอารมณ์อีกด้วย”
“อันนั้นมันเป็นสันดานนะ ไม่ใช่ภาวะด้านอารมณ์ของกู”
“ไม่ต่างกันมั้งคะ ช่างเถอะเอาเป็นว่าหนูจะอยู่เงียบ ๆ เรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ เชิญพี่คุยธุระกับเพื่อนต่อเลยค่ะ” พูดจบก็หันไปสนใจนิยายต่อครับ
“คนแรกเลยนะที่กล้าสอนมึงเนี่ย” ไอ้แม็กว่าพลางกลั้นขำเอาไว้
“สอนอะไร หลอกด่ากูเห็น ๆ”
“อันนี้พวกกูไม่เถียง”