“อีกสามวันทำตัวให้ว่างล่ะ ฉันจะพายัยหนูมาแนะนำให้แกรู้จัก”
“ยัยหนูของแม่ไม่มีปัญญาหาผู้ชายหรือไงถึงต้องมาวุ่นวายกับผม” วันนี้เป็นเวรจีมินกับไอ้แจ็คเฝ้าร้านครับ ผมเลยกลายเป็นคนว่างงานไปโดยปริยาย แต่เหมือนจะคิดผิดเลยที่อยู่บ้านวันนี้
“ไอ้เดย์! แกเป็นผู้ชายนะจะพูดจาอะไรให้เกียรติน้องหน่อย”
“ทำไมจะพูดไม่ได้ล่ะครับ หรือจะอ้างว่าผู้หญิงเป็นเพศแม่ ผู้ชายก็เป็นเพศพ่อเหมือนกันมันไม่เท่าเทียมตรงไหน”
“ไม่เถียงฉันสักวันแกจะตายมั้ยห๊ะ ที่ฉันพูดที่ฉันบ่นนี่กำลังอบรมสั่งสอนแกอยู่นะอยากให้แกได้ดี”
“ผมรู้ว่าแม่หวังดี แต่เรื่องแต่งงานผมเลือกเองไม่ได้เหรอ ผัวเมียมันต้องอยู่ด้วยกันไปยันตายเลยนะแม่” แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมพูดประโยคนี้ แต่พูดไปก็เท่านั้นแหละ
“เหอะ เลือกเองงั้นเหรอ แล้วเป็นไงล่ะยัยปูเปรี้ยวของแกน่ะ ขยันทำงานหาเงินงก ๆ เราจะสร้างทุกอย่างไปด้วยกันนะ แล้วสุดท้ายเป็นไงมันก็หอบเงินหนีไปอยู่กับผู้ชายคนอื่น”
“แม่!”
“ทำไม? ฉันพูดอะไรผิดไปงั้นเหรอในวันที่แกหมดตัวไม่เหลืออะไร มีหมาสักตัวไหมที่ยื่นมือมาช่วยเหลือนอกจากแม่อย่างฉัน! แกมันไม่เคยมีแม่อยู่ในหัวเลย คนอื่นสำคัญหมดยกเว้นฉันคนเดียว” จบประโยคแม่ก็ออกจากบ้านไปเลย กำลังน้อยใจผมอยู่สินะไม่ใช่ว่าไม่สำคัญแต่ผมโตแล้วอยากแก้ปัญหาด้วยตัวเองไม่อยากให้ท่านต้องมาคอยตามแก้ให้ผมไปเรื่อย ๆ
ย้อนกลับไปสมัยที่ผมยังเรียน ตอนนั้นผมคบกับผู้หญิงคนหนึ่งเธอชื่อปูเปรี้ยวครับ เธอเป็นคนสวย น่ารัก นิสัยดีตรงใจผมทุกอย่าง ปูเปรี้ยวเรียนบัญชีส่วนผมเรียนช่างยนต์เธอเป็นน้องผมหนึ่งปี พวกเราคบหาดูใจกันนานพอสมควรจวบจนผมจบปวส. และตัดสินใจหยุดการเรียนไว้แค่นั้นเพื่อตามความฝันของตัวเองนั่นคือเปิดอู่ซ่อมรถ
มันอาจเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนอื่น แต่สำหรับผมใจมันรักครับไม่ต้องหวือหวามากแค่สร้างมันด้วยสองมือของตัวเองก็พอแล้ว ผมหุ้นกันกับเพื่อนอีกสามคน ส่วนอาชีพช่างสักมีไอ้แจ็คเป็นลูกมืออีกคน
หลังจากเปิดอู่อย่างเป็นทางการได้ประมาณสองปีทุกอย่างมันไปได้สวยมาก โชคดีของผมแหละที่มีเพื่อนฝูงเป็นที่รู้จักมากมายและเป็นที่นิยมในระแวกนั้น พักหลังผมยุ่งอยู่กับงานที่ตัวเองรักมากจนเกินไป จึงทำให้ไม่ค่อยมีเวลาให้ปูเปรี้ยวเท่าที่ควร นี่คงเป็นเหตุผลหนึ่งละมั้งที่ทำให้เธอทิ้งผมไว้กลางทางแล้วไปต่อกับคนอื่นแทน
ผมไม่รู้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนไหน แต่พักหลังเธอไม่มาหาผมเลยหรือบางทีผมจะไปรับเธอก็เลือกที่จะปฏิเสธ มันเป็นแบบนี้อยู่พักใหญ่ จนสุดท้ายเธอมาหาผมแล้วจบที่มีอะไรกัน ตื่นมาเช้าอีกวันเธอก็หายไปแล้วพร้อมกับเงินในบัญชีของผมทั้งหมด คนเราคิดจะสร้างเนื้อสร้างตัวเติบโตไปด้วยกันเป็นธรรมดาที่จะให้ความไว้ใจเชื่อใจถามว่าตอนนั้นรักเธอไหม ผมรักเธอมากและเธอก็ทำผมเจ็บมากเช่นกัน
จากวันนั้นจนถึงวันนี้เกือบห้าปีแล้วครับที่เธอหายไป ทุกอย่างมันดีขึ้นตามกาลเวลานอกจากเพื่อนสนิทแล้วก็มีแม่ผมนี่แหละที่ไม่เคยทิ้งหายไปไหน เรื่องแต่งงานอาจจะเป็นเรื่องเดียวที่ผมทำให้แม่พอใจก็ได้นะ เพราะที่ผ่านมาผมก็ไม่เคยทำอะไรให้ท่านภูมิใจเลยสักอย่างแถมยังยียวนกวนประสาทให้แม่ปวดหัวไปวัน ๆ อีกต่างหาก
จะว่าไปแล้วเหมือนจับฉลากเลยครับ จะได้เจ้าสาวนิสัยใจคอแบบไหน หน้าตาเป็นยังไง หรือแม้แต่ชื่ออะไรผมยังไม่รู้เลย แต่ช่างเถอะแต่งได้ก็เลิกได้นี่ใครแคร์กันล่ะ นี่มันสมัยไหนแล้ว
สามวันถัดมา
“ถามจริง ๆ ทำไมแม่ถึงอยากให้ผมแต่งงานนัก” ผมยังคงถามหาเหตุผลอีกครั้งและหวังว่าจะได้คำตอบ
“ฉันแก่แล้วนะ ก็อยากอุ้มหลานบ้างสิ”
“ก็ไปรับเด็กมาเป็นลูกบุญธรรมสักคนสิครับผมยังไม่อยากมีเมียสักหน่อย”
“อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธนักเลยรอเจอน้องก่อนดีกว่าแม่รับรองว่าแกต้องชอบแน่ ๆ” สีหน้าท่าทางออกรสเชียวครับ จะสวยสักแค่ไหนกัน
“เอ่อ... สวัสดีค่ะป้าซิน” น้ำเสียงใสของใครบางคนดังขึ้นแต่ผมไม่ได้สนใจที่จะมองหรอกนะ ไม่สบอารมณ์มากด้วยตอนนี้
“จ้ะลูก หนูมาคนเดียวเหรอน้องมิว”
“คุณแม่ไปเข้าห้องน้ำน่ะค่ะ”
“จ้ะ มานั่งก่อนสิ” ผู้ที่มาใหม่นั่งลงตรงที่ว่างตรงข้ามผม “เดย์นี่น้องมิว ว่าที่เจ้าสาวของแก”
“...”
“น้องมิว นี่พี่เดย์ลูกชายป้าเองจ้ะ น่าจะโตกว่าหนูห้าปีนะ”
“สวัสดีค่ะ” น้ำเสียงใสเอ่ยพร้อมกับยกมือไหว้ผมตามมารยาท
“อืม”
“ไอ้เดย์”
“อะไรอีกล่ะแม่”
“พูดจาให้มันดี ๆ หน่อย”
“ผมพูดไม่ดีตรงไหน”
“ฉันล่ะปวดหัวกับแกจริง ๆ เลย” ผมทำอะไรผิดล่ะครับ แค่ตอบว่าอืม... แค่นี้มันผิดมากเหรอ แถมยัยบ้องแบ้วของแม่ยังเรียบร้อยเกินไปอีกต่างหากติดไปทางซื่อบื้อด้วยซ้ำมั้ง
“ชื่ออะไรนะ”
“คะ? ถามหนูเหรอ”
“ถามแมวมั้ง”
“มิวสิกค่ะ”
“…” ไม่ได้อะไรเธอก็น่ารักดี “อายุเท่าไหร่ ทำงานอะไร”
“ยี่สิบห้าค่ะ หนูเป็นนักเขียน”
“นักเขียน?”
“เขียนนิยาย เขียนเรื่องสั้นเรียบเรียงเรื่องราวที่มันสะท้อนสังคมประมาณนั้น”
“อ๋อ... พวกชอบเพ้อฝันนี่เอง”
“หนูไม่ได้เพ้อฝันสักหน่อย แค่จินตนาการเก่งก็เท่านั้นเอง”
“เถียงเก่งอีกต่างหาก”
“ไม่ได้เถียงค่ะแค่อธิบายให้ฟังเฉย ๆ”
“เธอนี่มัน...”
“ไอ้เดย์!!”
“เฮ้อ...” กรอกตาไปมาอยากจะถอนหายใจวันละร้อยรอบ
“แล้วพี่ล่ะคะ ทำงานอะไร”
“ธุรกิจส่วนตัว”
“เกี่ยวกับอะไรคะ”
“ทำไม... สนใจจะช่วยทำเหรอ”
“ค่ะ ถ้าเงินเดือนสามหมื่นหนูจะช่วย”
“ถ้าจะเอาเงินเดือนขนาดนั้นมาเป็นเจ้าของร้านแทนเลยก็ได้นะ”
“ได้เหรอ?”
“กูประชด”