บทที่ 3.3 แม่ที่ใฝ่ฝัน

2232 Words
บทที่ 3.3 แม่ที่ใฝ่ฝัน “เฉินซิ่วลี่ ออกมา!” เฉินซิ่วลี่หันมองไปทางประตูรั้ว พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา เหตุการณ์เช่นนี้บังเอิญเกินไปหรือไม่ ช่างสมกับเป็นเรื่องราวในนิยายเสียจริงๆ เดิมทีเฉินซิ่วลี่คิดอยากจะหลบหลีก แต่หลบวันนี้พรุ่งนี้ก็ต้องเจอ ไม่สู้ออกไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตรงๆ เธอเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวหยิบเงินออกมา 3 หยวนอย่างลำบากใจ เงิน 3000 หยวนตอนนี้เหลือเพียง 2900 หยวนแล้ว หากยังไม่เร่งหามาทดแทนอนาคตเธอย่อมตกที่นั่งลำบาก เฉินซิ่วลี่ เธอช่างเป็นตัวละครที่ทะลุมิติมาได้น่าสงสารจริงๆ ไม่เพียงเป็นตัวละครที่ตกยาก ยังไม่มีมิติ ไม่มีระบบช่วยใดๆ สวรรค์! นี่คงไม่ใช่การทะลุมิติมาเพื่ออดตายใช่หรือไม่ ทว่าไม่รู้เพราะอาลัยอาวรณ์เงินหยวนนานเกินไปหรือไม่ ตอนที่ออกมาจากห้อง คนที่ร้องเรียกหน้าบ้านก็หายไปแล้ว “อาชุน ลุงสามถังของลูกเล่า เขาหายไปไหนแล้ว” “พี่ชายออกไปบอกลุงสามถังว่าแม่ไม่สบาย พรุ่งนี้พี่ชายจะไปทำงานแทน ลุงสามถังเลยบอกว่าอย่างนั้นก็ยกหนี้ให้ครับ” “ยกหนี้ให้!" เฉินซิ่วลี่ร้องด้วยความตกใจ ถังซานผู้นั้นหน้าตาดุดัน พูดจาโผงผาง ท่าทางไม่ยอมคน ให้คิดอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะใจดียกหนี้ให้เธอง่ายๆ เงิน 3 หยวนนี้ เทียบเท่ากับค่าแรงของชายฉกรรจ์ในชนบทถึง 2 วัน ใช้ซื้อบะหมี่ได้ถึง 6 ชามเขียวนะ "ยกให้่ง่ายๆ แบบนี้เลยหรือ” เฉินซิ่วลี่ถามย้ำลูกชายตัวเล็กตรงหน้าอีกครั้งด้วยท่าทางไม่เชื่อถือ อีกฝ่ายยิ้มกว้างตอบเสียงสดใสร่าเริง ในแววตาเต็มไปด้วยความชื่นชมต่อคนที่ถูกกล่าวถึง “แม่ลืมไปแล้วหรือครับลุงสามถังเป็นเพื่อนสนิทของพ่อ ตอนพวกผมสองขวบลุงสามถังยังรับพวกเราเป็นลูกบุญธรรมแบบลับๆ ด้วย ความจริงแล้วที่ผ่านมาต่อให้พี่ชายไม่ทำงานพวกเราก็ไม่อดตายหรอกครับ แต่พ่อเคยสอนว่าไม่ควรติดหนี้บุญคุณคนอื่น พี่ชายจึงไปเกี่ยวหญ้าเก็บชาแลกข้าวครับ” “อาชุน!” หลี่หมิงที่เดินกลับเข้ามาได้ยินคำพูดของน้องชายเอ่ยปรามขึ้นทันที ด้วยกลัวว่าหากว่าคนเป็นแม่รู้ว่าลุงสามถังพึ่งพาได้อาจไปสร้างความยากลำบากให้เขา ยิ่งเห็นดวงตาของแม่เบิกกว้างอย่างตื่นตะลึงกับสิ่งที่หลี่ชุนบอก ในใจหลี่หมิงก็ยิ่งกังวล ได้แต่นึกขอโทษท่านลุงสามถังในใจ ทว่าพริบตาคนที่มีท่าทียืนดีก็เปลี่ยนเป็นขึงขัง “พ่อของลูกพูดถูก! พวกเราไม่ควรติดหนี้บุญคุณคนอื่นแบบนี้ ดังนั้นเมื่อเป็นหนี้ก็ต้องชดใช้ พรุ่งนี้พวกเราไปทำงานใช้หนี้กัน” ถึงแม้ว่าการไม่ต้องเสียเงินชดใช้หนี้จะเป็นเรื่องดี แต่เฉินซิ่วลี่ไม่ใช่คนชอบเอาเปรียบผู้อื่น มีบุญคุณต้องทดแทน มีหนี้ก็สมควรต้องชำระ ที่สำคัญเธอจะกระทำตัวขัดต่อคำสั่งสอนของพ่อตัวร้ายไม่ได้ ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายกลับมาอาจจะลงมือกับเธอโทษฐานที่สั่งสอนให้เด็กๆ ดื้อดึงต่อคำสอนของเขา หลังคิดทบซ้ายทบขวา เฉินซิ่วลี่ก็ได้ข้อสรุปออกมา... ไม่ว่าอย่างไรหนี้ก้อนนี้เธอก็ควรชดใช้ “พวกเราหรือครับ” หลี่หมิงเอ่ยถามย้ำ เมื่อครู่แม่ใช้คำว่า พวกเรา นั่นย่อมหมายรวมถึงเขากับหลี่ชุนด้วยใช่หรือไม่ “ใช่! แม่คนเดียวทำงานใช้หนี้คงต้องใช้เวลาสามวัน แต่ถ้าพวกเราสามคนแม่ลูกร่วมมือร่วมแรงกันทำงาน ก็นับเป็นสามแรง วันเดียวก็ปลดหนี้ได้แล้วไม่ใช่หรือไง” หลี่หมิงถอนหายใจยาว ค่าแรงของเด็กสามขวบเช่นเขาจะเท่ากับผู้ใหญ่เช่นคนเป็นแม่ได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการพาหลี่ชุนที่ร่างกายอ่อนแอออกไปทำงาน เรื่องนี้ยิ่งไม่สมควร “อาชุนไม่ค่อยแข็งแรงให้เขาอยู่บ้านเถอะครับ” “ไม่ได้!” เด็กชายถอนหายใจอีกครั้ง นิสัยที่ไม่อาจอดทนต่อความยากลำบากของแม่ให้อย่างไรก็คงแก้ไขไม่ได้จริงๆ แต่หลี่ชุนร่างกายไม่แข็งแรงจะให้ออกไปทำงานหนักได้อย่างไร “อย่างนั้นวันมะรืนจะไปผมจะทำงานแทนน้องเองครับ” เฉินซิ่วลี่ย่อมรู้ความคิดของลูกชายหน้านิ่งของตัวเอง แขนเรียวยกขึ้นกอดอก พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อาหมิงแม่รู้ว่าลูกห่วงน้อง แต่ลูกคงไม่คิดให้น้องอยู่ในบ้านไปตลอดชีวิตใช่หรือไม่” หลี่หมิงเม้มริมฝีปากช้อนดวงตาคมมองน้องชาย สายตาที่รักและเทิดทูนโดยไม่มีแววตาตำหนิใดๆ ของหลี่ชุนทำให้เขารู้สึกปวดหนึบอยู่ในอก “แม่อย่าตำหนิพี่ชายเลยครับ อะไรที่พี่ชายว่าดีผมก็ว่าตามนั้นครับ ผมอยู่บ้านได้ จะเชื่อฟังทำงานบ้านให้ดีครับ” เฉินซิ่วลี่มองเด็กชายตัวน้อยทั้งสองแล้วถอนหายใจยาว ช่างเป็นพี่ร้องน้องรับรักใคร่ปรองดองกันได้ดีจริงๆ “แล้วหากคนบ้านโน้นกลับมาเล่า อาชุนจะทำอย่างไร” คนบ้านโน้น ที่เฉินซิ่วลี่เอ่ยถึงย่อมหมายถึงหม่าอิงหง และ หลี่อันอัน จากเหตุการณ์ที่เฉินซิ่วลี่หักข้อมือหลี่อันอันจนต้องไปนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลในเมืองอยู่หลายวัน หลี่อันอันย่อมต้องเจ็บแค้นรอวันกลับมาเอาคืนพวกเธออย่างแน่นอน และหลี่ชุนคงตกที่นั่งลำบากหากต้องอยู่บ้านรับมือสตรีร้ายกาจสองคนนั้นเพียงลำพัง “ถ้าอย่างนั้นไม่ให้น้องทำงานได้ไหมครับ” ความหมายของหลี่หมิงคือให้หลี่ชุนออกจากบ้านไปด้วยกัน แต่ไม่ต้องลงมือทำงาน “หากได้ออกแรงบ้างจะช่วยทำให้น้องร่างกายแข็งแรงมากขึ้น อาหมิงแม่รู้ว่าลูกห่วงน้อง แต่ชีวิตนี้เป็นของน้อง ลูกไม่สามารถดูแลเขาไปได้ตลอดชีวิตเข้าใจหรือไม่” เฉินซิ่วลี่เลือกใช้เหตุผลในการอธิบายให้หลี่หมิงยอมรับความคิดเธออย่างใจเย็น เพราะวิเคราะห์แล้วว่าอีกฝ่ายมีความคิดความอ่านที่เกินวัย ย่อมเข้าใจเหตุผลเหล่านี้ได้แน่นอน “ก็ได้ครับ" หลี่หมิงไม่ต้องการโต้แย้งให้มารดาขุ่นเคืองใจจึงยอมรับคำ แต่ในใจย่อมไม่ยินดีทำตาม เมื่อไปถึงไร่ตระกูลถังเขาจะไปร้องขอท่านลุงสามถังให้เขามอบงานที่เบาแรงแก่น้องชายก็แล้วกัน เมื่อตกลงกันได้แล้ว วันต่อมาเฉินซิ่วลี่ก็พาลูกชายทั้งสองคนมารับจ้างทำงานในไร่ของถังซาน ตระกูลถังนั้นไม่เพียงเลี้ยงวัวนม แต่ยังมีไร่ชาขนาดใหญ่ งานในไร่จึงมีหลากหลาย เช่นเดียวกับคนที่ทำงานให้เขาก็มีมากมายเช่นกัน ทว่าเฉินซิ่วลี่นั้นแพ้ขนหญ้า และงานในไร่ชาก็ยากลำบากเกินไป มองไปจนทั่วก็ยังหางานที่เธอสามารถรับผิดชอบไม่ได้ ดังนั้นถังซานจึงไม่รู้จะให้เธอทำงานอะไรดี “ฉันคิดเลขเป็น อ่านหนังสือได้ เขียนอักษรก็พอได้ค่ะ” ถังซานขมวดคิ้วแน่น แม้เฉินซิ่วลี่จะจบชั้นมัธยมต้น แต่ก็เป็นเพียงคนสมองทึบไม่ได้เรื่องได้ราวผู้หนึ่ง หากไม่ใช่เพราะผู้อำนวยการโรงเรียนกับพ่อของเธอรู้จักกันวุฒิการศึกษามัธยมต้นนี้ของเธอก็คงไม่ได้มา แต่ในเมื่อคนโอ้อวดตัวมาขนาดนี้ถังซานย่อมไม่คิดขัดข้อง หยิบสมุดบัญชีรายรับรายจ่ายยื่นให้เธอ "อย่างนั้นก็ตรวจบัญชีให้ฉันก็แล้วกัน" เดิมทีถังซานคิดจะแกล้งคนขี้อวด หวังดูท่าทางลำบากใจของเธอคิดไม่ถึงหญิงสาวไม่เพียงไม่มีทีท่าวิตกกังวล ยังรับสมุดในมือเขาไปด้วยรอยยิ้มกว้างยินดี "ได้ค่ะ" คนตัวโตมองท่าทางยินดีนี้อย่างขัดตา เป็นผู้หญิงแต่งงานแล้ว แม้จะมีสถานะหม้ายจำเป็นต้องยิ้มกว้างให้ผู้ชายขนาดนี้เลยหรือไง ช่างไม่รู้จักรักษาธรรมเนียมมารยาท ถังซานตำหนิคนในใจแต่ยิ่งมองเธอใบหูเขาก็ยิ่งร้อนผ่าว สุดท้ายจึงพูดเสียงเข้มดุขู่คนออกมา “ถ้าเธอคิดบัญชีของเดือนนี้เสร็จ เงิน 3 หยวนนั้นก็ถือว่าหายกัน” “คุณพูดแล้วห้ามคืนคำนะคะ” “ฉันไม่ใช่คนพูดจาเรื่อยเปื่อยโอ้อวด ถ้าเธอทำได้หนี้ 3 หยวนก็ถือว่าหมดไป” “อย่างนั้นฉันขอกระดาษเปล่า ดินสอและยางลบด้วยค่ะ” หลี่หมิงได้ยินบทสนทนาของแม่กับลุงสามถังก็ได้แต่ถอนหายใจยาว แม้ว่าแม่ของเขาจะไม่ชอบทำงานหนัก แต่การโอ้อวดตัวเองแบบนี้กลับทำให้ขายหน้ามากกว่าไม่ใช่หรือ หากแต่หลี่ชุนกลับไม่คิดเช่นพี่ชาย เมื่อได้ยินคนเป็นแม่บอกอย่างฉะฉานว่าคิดเลขเป็น อ่านหนังสือได้ เขียนอักษรก็ได้ ในใจเขาก็รู้สึกภาคภูมิใจมาก แม่ที่เก่งกาจเช่นนี้คือ แม่ที่เขาใฝ่ฝันถึงเสมอมา เท้าเล็กขยับไปประชิดพี่ชายก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงยินดีปลาบปลื้ม "พี่ชายแม่ของพวกเราเก่งมากเลย" เห็นท่าทางภาคภูมิใจของน้องชายแล้ว หลี่หมิงก็ได้แต่ถอนหายใจยาว "ลุงสามครับอาชุนไม่ค่อยแข็งแรง ลุงมีงานที่ไม่หนักมากให้เขาทำไหมครับ ไม่ต้องจ่ายค่าแรงก็ได้ครับ" ถังซานมองเด็กชายฝาแฝดตรงหน้าแล้วถอนหายใจยาว เรื่องสุขภาพของหลี่ชุนเขาที่มีฐานะพ่อบุญธรรมย่อมรู้ดี "ช่วงนี้ย่าถังของหลานบ่นปวดเมื่อยอยู่บ่อยๆ อาชุนไปช่วยบีบนวดให้ย่าถังดีหรือไม่" "ครับ" หลี่ชุนขานรับอย่างเชื่อฟังก่อนจะเดินไปยังบ้านใหญ่ถังซึ่งอยู่ถัดไปอีกฝั่ง ส่วนหลี่หมิงเดินไปหยิบตะกร้าสานมาใส่บ่าแยกไปเก็บใบชาในไร่ "เอ๋ ดูสินั่นใครกำลังเดินมา" เสียงของเด็กชายวัยเก้าขวบเอ่ยร้องทักเมื่อเห็นหลี่ชุน "โอ๊ะโอ นั่นคุณชายน้อยหลี่ไม่ใช่หรือ" เพราะหลี่ชุนร่างกายไม่แข็งแรงที่ผ่านมาหลี่หมิงจึงมักให้เขาอยู่ในบ้าน เนื้อตัวเด็กชายจึงขาวกระจ่างและมักถูกเด็กนอกบ้านเหล่านี้ล้อเลียนว่าทำตัวเป็นคุณชายอยู่เสมอ ในใจของหลี่ชุนหวาดหวั่น สองตาแดงก่ำเม้มริมฝีปากและเร่งเท้าเดิน ขอเพียงไปถึงบ้านใหญ่ถังคนเกเรพวกนี้ก็ไม่สามารถรังแกเขาได้แล้ว ทว่าให้หลี่ชุนเร่งเท้าอย่างไรก็ไม่พ้นเด็กตัวโตกว่าสามคนที่วิ่งมาดักหน้า "หยิ่งซะด้วย ทำไมจะรีบไปฟ้องพี่ชายแกเหรอ คิดว่ามันจะทำอะไรพวกเราได้หรือไง ไอ้เด็กไม่มีพ่อ!" เด็กชายตัวโตแซ่เฉาพูดพลางผลักหลี่ชุนจนหงาย ฝ่ามือเล็กไถลไปกับพื้นจนเกิดแผลถลอก ทว่าท่าทางเช่นนี้ของเขากลับทำให้อีกฝ่ายขบขัน เสียงดัง หลี่หมิงมองเห็นน้องชายถูกรังแกก็วางตะกร้าบนบ่าวิ่งไปในทันที มือเล็กยังหยิบหินก้อนใหญ่เท่ากำปั้นเอาไว้ในฝ่ามือ เมื่ออยู่ในระยะที่เหมาะสมก็ปาออกไปสุดแรง แม้เขาจะเป็นเพียงเด็กน้อยสามขวบแต่เพราะแรงวิ่งและเจ้าตัวก็เหวี่ยงแขนจนสุดกำลัง หินในมือที่พุ่งออกไปเมื่อถูกหัวคนจึงทำให้ใบหน้าอีกฝ่ายอาบไปด้วยเลือดในทันที "โอ๊ย!" "ตีคน! เด็กแฝดบ้านหลี่ตีคนแล้ว!" เสียงเด็กชายอีกคนร้องก้อง มารดาของพวกเขาที่ทำงานในไร่ก็รีบวิ่งออกมา สะใภ้บ้านเฉาเมื่อเห็นใบหน้าของเฉาอี้ลูกชายอาบไปด้วยเลือดก็ชี้หน้าด่าคน หลี่หมิงที่วิ่งมาถึงตัวน้องชายยืนกางแขนปกป้องเขาไว้ด้านหลังในทันที ดวงตาคมแข็งกร้าวจ้องมองสะใภ้บ้านเฉาอย่างไม่หวั่นเกรง “เจ้าเด็กไม่มีพ่อ แกกล้าตีลูกฉันเหรอ วันนี้ฉันจะสั่งสอนแทนพวกพ่อแกที่ตายไปเอง” ไม่มีพ่อ คำพูดที่ออกมานี้แม้ไม่หยาบคายแต่กลับทำให้เด็กชายทั้งสองเจ็บปวดจนตัวสั่น “เขารังแกอาชุนก่อน” “แล้วอย่างไร แกทำเขาหัวแตกวันนี้ฉันก็จะตีพวกแกให้ตัวแตกเช่นกัน” .........................................
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD