บทที่ 3.2
แม่ที่ใฝ่ฝัน
หลายวันมานี้บ้านตระกูลหลี่ค่อนข้างสงบ เพราะหม่าอิงหงพาหลี่อันอันที่ถูกเฉินซิ่วลี่หักข้อมือเข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในเมือง ส่วนหลี่อันเผยลูกชายอีกคนของบ้านหลี่ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย ในรั้วบ้านหลี่จึงมีเพียงพวกเขาสามคนแม่ลูกเท่านั้น
นึกดูตามนิยายแล้วคล้ายจะกล่าวว่าหกเดือนหลังจากที่ทางค่ายทหารส่งข่าวการตายของหลี่อันเฉิง หลี่อันเผย น้องชายต่างมารดาของหลี่อันเฉิงผู้นี้ก็เรียนจบระดับมหาวิทยาลัยกลับมาเป็นครูประจำที่โรงเรียนในหมู่บ้าน และตามตื๊อจีบเฉินซิ่วจูนางเอกของนิยายจนมีเรื่องกับเย่ชิงเหวินพระเอกในนิยายอยู่บ่อยๆ เมื่อนับดูเวลาแล้วก็คืออีก 3 เดือนข้างหน้า
เฉินซิ่วลี่ไม่สนใจเส้นชะตารักของเฉินซิ่วจู แต่ที่เธอใส่ใจก็คือนิสัยของน้องสามีหลี่อันเผยผู้นี้ เพราะตอนนี้เขานับเป็นผู้นำตระกูลหลี่ เธอที่เป็นแม่ม่ายสามีตายหากไม่กลับบ้านเดิมก็ต้องพึ่งพาอยู่ภายใต้การดูแลเขา หากอีกฝ่ายมีนิสัยเช่นหม่าอิงหงผู้เป็นมารดา ชีวิตในอีกสามเดือนข้างหน้าของเธอก็นับว่ายากลำบากแล้ว เช่นนี้เธอควรเร่งวางแผนหาทางรอดให้ตนเองกับลูกชายของพ่อตัวร้ายเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
“ลูกว่าแม่เปิดร้านขายบะหมี่ดีหรือไม่”
เฉินซิ่วลี่เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเด็กๆ ชอบกินบะหมี่ฝีมือเธอกันมาก แต่เมื่อเอ่ยถามไปแล้วกลับได้ยินเสียงสำลักตอบกลับมาแทน เฉินซิ่วลี่รีบส่งน้ำให้พวกเขาดื่มคนละแก้วในทันที ก็แค่คิดหาทางรอดเลี้ยงตัวเองและพวกเขา ทำไมเจ้าก้อนแป้งสองคนต้องทำราวกับพบเจอเรื่องประหลาดด้วยกัน เธอคือเจ้าของร้านบะหมี่ชื่อดังเลยนะ
“แม่อยู่บ้านเฉยๆ เถอะครับ”
แม่ของเขาคนนี้นอกจากแต่งตัวสวยๆ แล้วที่ผ่านมาหลี่หมิงก็ไม่เห็นว่าเธอจะทำอะไรเป็น ดูอย่างวันก่อนแค่ไปเกี่ยวหญ้าเก็บชาก็ยังแพ้ตัวแดงกลับมา ดังนั้นการอยู่เฉยๆ จึงนับว่าดีที่สุด
แม้ไม่ได้เงิน แต่ก็ไม่เสียเงิน
พูดจบหลี่หมิงก็ลงจากเก้าอี้เก็บชามบะหมี่เปล่าของตนเองและน้องชายไปล้าง ก่อนจะเดินกลับมาหยิบถุงยาที่กู้เหยียนจัดให้ออกมาจัดกินเอง
เฉินซิ่วลี่ที่เห็นเด็กชายกำลังจะจัดยากินเองพลันเบิกตากว้างรีบคว้าถุงยาจากมือเล็กมาถือไว้ในทันที
“อาหมิง ยาเป็นเรื่องสำคัญจะกินผิดไม่ได้”
“ยาเม็ดสีเหลือแก้เวียนหัวกินครั้งละหนึ่งในสี่เม็ดสามเวลา ยาสีเขียวฟ้าแก้อักเสบกินครั้งละเม็ดก่อนอาหารและก่อนนอนรวมสี่เวลา ยาเม็ดสีขาวแก้ปวดกินครั้งละครึ่งเม็ดเวลาปวดหรือมีไข้”
เฉินซิ่วลี่เบิกตากว้างเมื่อสิ่งที่เด็กชายพูดมานั้นถูกต้องทั้งหมด นี่เขาคือเด็กวัยสามขวบจริงๆ หรือ ทำไมถึงได้มีความจำดีขนาดนี้กัน แต่อย่างไรเขาก็อ่านหนังสือไม่ออก เรื่องยาเป็นสิ่งสำคัญจะปล่อยให้เขากินมั่วซั่วไม่ได้
“ถึงลูกจะจำได้ก็ห้ามจัดยากินเอง ผิดพลาดขึ้นมาจะทำอย่างไร”
“แต่...”
“พี่ชายเชื่อฟัง”
หลี่ชุนกระตุกชายเสื้อตัวเก่าของพี่ชายแล้วเอ่ยบอกเบาๆ เขาไม่ต้องการทำให้คนเป็นแม่โมโห เพราะกลัวว่านิสัยเดิมของแม่จะกลับมา หลี่หมิง ย่อมเข้าใจเจตนาของน้องชายจึงเอ่ยขานรับอย่างว่าง่าย
“ครับ”
“เก่งมาก เด็กดี”
เด็กดี หรือว่าเด็กดีที่แม่ของเขาเคยบอกก็คือเด็กที่ยอมให้ผู้ใหญ่จัดยาให้กิน หลี่หมิงขมวดคิ้วคิดวิเคราะห์ในใจ ก่อนจะรับยาใส่ปากกลืนลงท้องโดยไม่มีท่าทางงอแงเลยแม้แต่น้อย
“เก่งมากเด็กดีของแม่ กินยาแล้วก็ไปนอนพัก เดี๋ยวเย็นๆ ค่อยออกไปเล่นกับเพื่อนๆ ที่นอกบ้าน”
“ไม่เล่น... ครับ”
เมื่อได้ยินคำตอบของเด็กชายเฉินซิ่วลี่ก็กลายเป็นฝ่ายขมวดคิ้วแทน หลี่หมิงกำมือ เม้มปากแน่น เด็กที่นอกบ้านพวกนั้นล้วนน่ารังเกียจ เพราะเห็นว่าหลี่ชุนร่างกายอ่อนแอ พบเจอเขาเมื่อไหร่ก็ชอบรังแก ที่ผ่านมาหลี่หมิงจึงออกไปทำงานข้างนอกเพียงลำพังแล้วให้น้องชายอยู่ทำงานเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านแทน
ทว่าเฉินซิ่วลี่ย่อมไม่เข้าใจความคิดของหลี่หมิง เธอรู้เพียงเด็กวัยนี้ควรได้รับการส่งพัฒนาการด้วยเล่นตามวัยเพื่อที่จะได้เรียนรู้และเติบโตอย่างเหมาะสม ทว่าเจ้าของร่างเดิมนั้นต้องการให้พวกเขาช่วยงานที่เกินวัยจึงไม่ได้ส่งเสริมพัฒนาการเหล่านี้ แต่เธอไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น ทั้งนี้เธอก็ไม่ต้องการบังคับพวกเขาเช่นกัน
“เพราะอะไรลูกถึงไม่เล่นหรือ”
“ไม่อยากเล่นครับ”
คำตอบแบบกำปั้นทุบดินของหลี่หมิงชวนให้คนเกิดโทสะได้อย่างง่ายดาย ทว่าเฉินซิ่วลี่ที่สังเกตพวกเขามาสักพักย่อมรู้ว่านี่คือนิสัยที่ถูกหล่อหลอมโดยมารดาน่าโมโหผู้นั้น
“อย่างนั้นลูกๆ อยากทำอะไร”
“เรียนหนังสือครับ”
ในชนบทแห่งนี้หากอยากมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมมีเพียงต้องได้รับการศึกษาที่ดี แม้รู้ว่าตอนนี้พ่อได้จากไปแล้วและครอบครัวก็ไม่มีรายได้เพียงพอจะส่งเสริมเขาและน้องชายให้ได้รับการเรียนหนังสือ แต่หลี่หมิงก็ยังคงอยากเรียน และยิ่งอยากให้หลี่ชุนได้เรียนด้วย
“ผมจะทำงานหาเงินเองครับ”
ตอนนี้เขาอายุสามขวบ โรงเรียนประถมเริ่มรับเด็กเข้าเรียนชั้นประถมหนึ่งตอนอายุห้าขวบเวลาสองปีนี้เขาน่าจะเก็บเงินได้มากพอกับค่าเรียนของตนเองและน้องชาย
“ไม่ได้!”
คำพูดเดียวของคนเป็นแม่ทำลายความฝันทั้งหมดของหลี่หมิงลงในทันที ทว่าเขารู้ดีว่าตนเองไม่มีอำนาจในการต่อต้านคัดค้าน ถึงแม้ไม่ยินดีก็ต้องยอมรับเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่โมโหจนทุบตีเขากับน้องอีก
“หากลูกอยากเรียนก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม จะออกไปทำงานหาเงินไม่ได้”
คำพูดของแม่ทำให้หลี่หมิงและหลี่ชุนเบิกตากว้างเงยหน้ามองเธอด้วยความตะลึงงัน
“แม่หมายความว่าจะให้พวกเราเรียนหนังสือใช่ไหมครับ”
หลี่ชุนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงและแววตาที่คาดหวัง แม้ในใจจะมีความหวาดกลัวโทสะของแม่อยู่เล็กน้อยก็ตาม แต่เพราะความอยากเรียนมีมากกว่าจึงกลั้นใจข่มความกลัวเอ่ยถามออกมา
“ใช่จ้ะ แต่ลูกๆ ต้องสัญญาว่าจะตั้งใจ”
“ครับ”
เฉินซิ่วลี่ได้ยินคำขานรับที่หนักแน่นของเด็กชายทั้งสองก็ยิ้มกว้าง ต้องรออีกสองปีเด็กๆ ทั้งสองจึงจะถึงวัยเข้าโรงเรียน ในตอนนั้นหลี่อันเฉิงก็คงกลับมาแล้ว มีเขาอยู่เธอยังต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายอะไรอีก ระหว่างนี้เธอแค่เป็นแม่ที่ดี เตรียมความพร้อมให้พวกเขาก่อนเข้าเรียน เมื่อตัวร้ายผู้นั้นกลับมาย่อมไม่ถือโทษโกรธเคืองเรื่องในอดีตที่เจ้าของร่างเคยทำไว้และปล่อยเธอไปอย่างแน่นอน
“อย่างนั้นพรุ่งนี้แม่จะไปทำงานหาเงินไปซื้ออุปกรณ์การเรียนมาให้”
เฉินซิ่วลี่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นภาคภูมิใจ ราวกับการส่งเสริมเด็กชายทั้งสองเป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่ระดับชาติ ยิ่งสบแววตายินดีของหลี่ชุนที่ชัดเจนราวกับได้พบแม่ในฝัน หัวใจของเฉินซิ่วลี่ก็ยิ่งพองโต ทว่าไม่ทันได้ซึมซับความภาคภูมิใจนี้ให้เต็มอิ่มเด็กชายอีกคนก็เอ่ยเสียงราบเรียบ
"แม่ใช้หนี้ค่ายาลุงสามถังหมดแล้วหรือครับ”
เฉินซิ่วลี่เบิกตากว้าง เธอลืมเรื่องนี้ไปเลย ใบหน้าหวานซีดเผือด เธอหายหน้ามาร่วมสัปดาห์ชายหน้าดุผู้นั้นจะคิดว่าเธอหนีหนี้หรือไม่ ยังไม่ทันคิดหาวิธีแก้ไขเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าบ้าน
“เฉินซิ่วลี่ ออกมา เดี๋ยวนี้!”
.........................................