บทที่ 4.2
แม่ตัวอย่าง
หลังเรื่องวุ่นๆ จบลงถังซานก็พาคนกลับมาทำแผลที่บ้านพักของเขา เฉินซิ่วลี่ล้างแผลให้เด็กชายตัวน้อยเบาๆ ทว่าถึงเธอจะพยายามเบาน้ำหนักมืออย่างที่สุดแล้วแต่บนแก้มของหลี่ชุนก็มีน้ำตาไหลลงจนถึงปลายคางเล็ก ในใจของเฉินซิ่วลี่พลันรู้สึกกรุ่นโกรธอยากจะออกไปตีคนอีกสักรอบ แต่เมื่อคิดถึงผลได้ผลเสียที่จะตามมาก็ได้แต่อดกลั้นเอาไว้ เอ่ยถามเด็กน้อยเสียงอ่อนโยน
“เจ็บมากหรืออาชุน”
ใบหน้าเล็กๆ ที่อาบไปด้วยน้ำตาส่ายไปมา พลางก้มหน้าใช้มืออีกข้างเช็ดน้ำตาบนแก้มออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มกว้างให้คนเป็นแม่
“แผลนิดเดียวเองผมไม่เจ็บครับแม่”
หลี่ชุนมักเป็นเช่นนี้เสมอให้พบเจอเรื่องร้ายแค่ไหน บนใบหน้าของเขาก็จะมีรอยยิ้มกว้างส่งพลังให้คนอื่นตลอดเวลา ทว่านี่กลับเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เฉินซิ่วลี่รู้สึกเจ็บปวดมากกว่ารอยน้ำตาเมื่อครู่ของเขาเสียอีก มือนุ่มดึงร่างผอมบางของเขาเข้ามาสวมกอด ทั้งที่เป็นเพียงเด็กชายสามขวบตัวเล็กๆ คนหนึ่งกลับต้องมาเจอเรื่องร้ายแรงมากมายถึงเพียง ผู้คนเหล่านี้ช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว
“ไม่เป็นไรนะอาชุน แม่อยู่นี่แล้ว”
เสียงหวานละมุนเอ่ยปลอบโยน พลางใช้ฝ่ามือนุ่มลูบบนแผ่นหลังเล็กเบาๆ ความอดกลั้นพยายามทั้งหมดของหลี่ชุนพลันพังลงในทันที น้ำตามากมายไหลลงอาบแก้มตอบ
“แม่ครับ พ่อตายแล้วจริงๆ เหรอครับ พวกเราจะเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีพ่อ ไร้บิดาอบรมใช่ไหมครับ”
คำถามเบาๆ ที่สั่นสะท้านนี้สะท้อนเข้าไปในอกคนฟังจนเฉินซิ่วลี่ต้องกะพริบตาถี่ระรัวไล่ไอร้อนในตาของเธอ สะใภ้ใหญ่บ้านเฉาสตรีน่ารังเกียจ เมื่อครู่เธอน่าจะตีคนเพิ่มอีกสักสองสามที
"อาชุน เด็กดีอย่าไปฟังคำพูดพวกนั้นเลยนะลูก"
เฉินซิ่วลี่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี จึงจะจัดการเรื่องเจ็บปวดในใจของเด็กๆ ออกไปได้ หรือเธอควรบอกความจริงที่นักเขียนซ่อนเอาไว้ไปเลยดีหรือไม่ แต่หากทำเช่นนั้นเส้นเรื่องจะเปลี่ยนหรือเปล่า หากพ่อตัวร้ายนั่นไม่กลับมาเล่า เธอจะทำอย่างไร เด็กๆ จะเสียใจมากกว่าเดิมไหม คำถามมากมายเกิดขึ้นในใจของเฉินซิ่วลี่จนเธอแสบร้อนในดวงตามากขึ้น ในที่สุดก็ไม่อาจอดกลั้นหยาดน้ำตาไหลลงอาบแก้มนวลใส
หลี่ชุนที่สัมผัสได้ถึงอาการสั่นสะท้านน้อยๆของแม่ก็รีบขยับตัวออกจากอกนุ่ม วางมือเล็กที่ไม่เจ็บลงบนแก้มของแม่ ในใจเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมา เพราะเขาอ่อนแอแม่จึงเสียใจใช่ไหม เด็กน้อยข่มกลั้นความรู้สึกของตนสูดลมหายใจเขาแล้วกลับมายิ้มกว้าง
“ไม่เป็นไรครับ ความจริงแต่ไหนแต่ไรพ่อก็ไม่เคยอยู่บ้านอยู่แล้ว จะมีเขาหรือไม่มีล้วนไม่ต่างกัน ขอเพียงต่อไปมีแม่อยู่กับผมกับพี่ชายก็พอแล้วครับ”
เด็กน้อยที่ก่อนหน้ายังตัวสั่นในอ้อมกอดเธอ ตอนนี้กลับกลายเป็นฝ่ายเอ่ยปลอบเธอเสียแล้ว เฉินซิ่วลี่ได้แต่มองรอยยิ้มน้อยๆ ผ่านม่านน้ำตาแล้วดึงเขามากอดอีกครั้ง
“ได้ๆ แม่จะอยู่กับลูกๆ”
หลี่ชุนกระชับอ้อมแขนเล็กโอบกอดมารดา ที่แท้อ้อมกอดของแม่อบอุ่นได้ถึงขนาดนี้ เช่นนั้นเขาไม่มีพ่อก็ได้ ใครจะว่าเขาเป็นเด็กกำพร้าไร้พ่อ ไร้บิดาอบรม ก็ช่างเขาไม่ใส่ใจ
หลี่หมิงที่ลอบมองแม่กับน้องชายอยู่ที่หลังประตู หัวใจของเขาเกิดความรู้สึกสับสนและหวาดกลัวขึ้นมา ที่ผ่านมาแม่ไม่เคยดีต่อเขาและหลี่ชุนยิ่งความอบอุ่นอ่อนโยนแบบนี้ยิ่งไม่เคย
ในใจของเขาจึงไม่เคยสนใจความคงอยู่ของคนเป็นแม่ หลายครั้งที่เขามีความคิดอยากให้มารดาใจร้ายคนนั้นตายจากไปเสีย ทว่าเวลานี้ความคิดของเขากลับตรงกันข้าม รอยยิ้มที่อ่อนโยน อ้อมกอดที่อบอุ่น และแผ่นหลังที่ปลอดภัยนี้ ทำเขารู้สึกหวาดกลัวเหลือเกิน กลัวว่าเขาจะเผลอคิด หรือทำบางอย่างผิดพลาด แล้วจะสูญเสียมารดาคนนี้ไปจริงๆ ดั่งที่เขาเคยต้องการ หลี่หมิงเม้มริมฝีปากเล็กขบคิดจนคิ้วขมวดแน่น เขาต้องทำอย่างไรจึงจะรักษาแม่คนนี้เอาไว้ได้ตลอดไป
เป็นเด็กดีเชื่อฟังแม่
ดูเหมือนที่ผ่านมาแม่จะพูดคำนี้บ่อยๆ วันนี้แม่บอกว่าให้พวกเขามาช่วยทำงานใช้หนี้ ดังนั้นเขาก็ควรเชื่อฟัง เมื่อตระหนักได้หลี่หมิงก็หันหลังหยิบตะกร้าสานใส่บ่าออกไปเกี่ยวหญ้าในทันที
ถังซานมองเด็กชายฝาแฝดตัวน้อยทั้งสอง คนหนึ่งออกไปทำงานด้วยท่าทางขยันขันแข็ง อีกคนก็นั่งเฝ้ามารดาด้วยท่าทีสงบ เป็นเด็กที่รู้ความอย่างยิ่งในใจเขาจึงยิ่งชื่นชมพวกเขาสองพี่น้องเป็นทบทวี พลันสายตาคมก็มาหยุดอยู่ที่หญิงสาวคนเดียวในบ้านพัก
เฉินซิ่วลี่ ภรรยาสหายสนิทคนนี้ เกิดอะไรขึ้นกับเธอ ทำไมผู้หญิงที่มีดีเพียงหน้าตาแต่นิสัยและความคิดนั้นร้ายกาจจนยากจะรับได้เช่นนั้นถึงได้เปลี่ยนไปราวกับคนละคนแบบนี้ ถังซานที่นั่งตรวจสินค้าอยู่หน้าบ้านพักมองผ่านหน้าต่างเข้าไปอย่างเหม่อลอย พลางขบคิด มุมปากของเขายกขึ้นอยู่บ่อยครั้งยามที่เห็นว่าคิ้วเล็กๆ คู่นั้นขมวดเข้าหากัน ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อนโดยธรรมชาติขยับไปมาน้อยๆ คล้ายกับกำลังนับบางอย่างบนนิ้วเรียวขาว ไม่รู้ว่าภาพของอีกฝ่ายสะกดเขาไว้นานเพียง กว่าจะได้สติกลับคืนมาดวงตะวันก็เลื่อนตัวขึ้นสูงจนตรงศีรษะแล้ว ดูเหมือนถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว
ถังซานมองคนงานในไร่ที่ทยอยเดินออกมาทีละคน ก่อนจะเลื่อนสายตามองกลับเข้าไปในบ้านพักอีกครั้ง มือขาวประสานกันก่อนจะยกเรียวแขนขึ้นเหยียดตรงเหนือศีรษะ ถึงแม้จะรู้ว่าไม่ควรแต่ท่าทางเช่นนี้ของเฉินซิ่วลี่กลับทำให้เขาเห็นสัดส่วนรูปร่างของเธอชัดเจนจนยากจะถอนสายตา สองแก้มสากพลันร้อนผ่าวไปจนถึงใบหู เมื่อตั้งสติได้ก็รีบดึงสายตาออกจากภาพตรงหน้าแล้วใช้ฝ่ามือหยาบตบแก้มตัวเองไปมา ก่อนจะลุกเดินเข้าไปเรียกคนโดยไม่มองหน้า
“คุณถัง ขอเวลาฉันอีกนิดนะคะใกล้เสร็จแล้ว”
เฉินซิ่วลี่เอ่ยบอก เมื่อเห็นว่าคนเดินเข้ามาคล้ายจะทวงงาน
“คิดไม่ได้ก็ไม่ต้องทำให้เสียเวลา ก็แค่เงิน...”
“อีกหน้าเดียวก็เสร็จแล้วค่ะ คุณรอสักครู่นะคะ”
เฉินซิ่วลี่บอกแล้วก้มหน้าคิดคำนวณตัวเลขที่ค้างอยู่ตรงหน้าอย่างตั้งใจ ถังซานมองบัญชีตรงหน้าแล้วเบิกตากว้าง นี่เฉินซิ่วลี่เธอทำบัญชีให้เขาเสร็จแล้วจริงๆ
“บัญชีเล่มนี้สำคัญมากเธอจะมาทำมั่วๆ ไม่ได้นะ”
“ฉันไม่ได้ทำมั่วๆ นะคะ”
เฉินซิ่วลี่ตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากตัวเลข ปลายนิ้วมือซ้ายชี้ที่ตัวเลขมือความขยับคำนวณด้วยท่าทางที่เขาไม่คุ้นเคย ก่อนจะจดลงในสมุดบัญชีได้อย่างรวดเร็ว
“หากคุณไม่เชื่อหลังฉันทำเสร็จจะลองตรวจดูก่อนก็ได้ค่ะ”
ตรวจดู บัญชีทั้งเดือนจะให้เขาตรวจดูในทันทีได้อย่างไร ต่อให้เป็นเฉินซิ่วจูญาติผู้พี่ของเฉินซิ่วลี่ที่เป็นเหรัญญิกคณะกรรมการก็ยังไม่สามารถตรวจเสร็จได้ในหนึ่งวัน แต่จะให้บอกว่าเขาทำไม่ได้ก็ดูจะเป็นการเสียหน้าเกินไป
“อืม... เธอทำเสร็จแล้วก็เอาวางไว้ ว่างๆ ฉันจะตรวจดู”
“ค่ะ ฉันมั่นใจว่าไม่มีข้อผิดพลาดแน่นอน เพราะฉันตรวจรอบที่สองแล้ว”
เฉินซิ่วลี่ยังถึงกับตรวจไปแล้วสองรอบในเวลาเพียงครึ่งวัน ในใจของถังซานรู้สึกหงุดหงิดกับคำโอ้อวดเกินตัวนี้ของอีกฝ่ายขึ้นมา ทว่าในเมื่อเขาเป็นคนยื่นงานนี้ให้เธอ เขาก็ต้องยอมรับ เพียงแต่หากตรวจสอบแล้วพบว่าเธอทำแบบขอไปทีแล้วล่ะก็ เขาจะเอาคืนให้หนักสมกับคำโอ้อวดเกินตัวนี้ของเธอเลย
“เสร็จแล้วค่ะ ฉันวางไว้ตรงนี้นะคะ”
บัญชีหน้าสุดท้ายถูกเธอคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว ถังซานได้แต่คัดค้านเรื่องนี้อยู่ในใจแต่ไม่ได้พูดออกมา
“อย่างนั้นฉันกับลูกๆ ขอตัวก่อนนะคะใกล้ได้เวลามื้อเที่ยงของเด็กๆ แล้ว”
“ไปกินข้าวที่โรงอาหารก่อน กินเสร็จแล้วค่อยกลับ”
เฉินซิ่วลี่ได้ยินว่าถังซานจะเลี้ยงอาหารกลางวันด้วยก็ยิ้มกว้าง เป็นเช่นนี้ก็เท่ากับประหยัดเงินหยวนในกระเป๋าเธอไปได้ไม่น้อย
พลันภาพหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความคิด ก่อนหน้านี้หลี่หมิงมาทำงานให้ถังซานเขาก็จะได้รับสิทธิกินมื้อเที่ยงเช่นคนงานอื่นๆ แต่เพราะห่วงหลี่ชุนเขาจึงขอห่ออาหารกลับไปแบ่งให้น้องชายกินที่บ้าน ไม่คิดว่าพอเจ้าของร่างเดิมรู้เรื่องก็ยึดอาหารของลูกชายมากินจนหมด เด็กสองคนจึงได้ตัวผอมแห้งเช่นนี้
เฉินซิ่วลี่ เธอช่างเป็นแม่ที่มีเรื่องให้ด่าได้ไม่ซ้ำจริงๆ
.........................................