บทที่ 4.3
แม่ตัวอย่าง
เฉินซิ่วลี่จับมือเด็กชายสองคนเดินกลับบ้าน หลี่ชุนที่ได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้วว่าแม่มีความสามารถในการคิดคำนวณและอ่านเขียนได้ดีเยี่ยมก็ชื่นชมเธอไม่หยุด
“แม่ครับ แม่สอนผมกับพี่ชายคิดบัญชีบ้างได้ไหมครับ”
“ได้สิ อย่างนั้นเริ่มจากนับเลขก่อนดีหรือไม่”
เด็กในวัยสามขวบ หากเทียบเท่าในยุคของเธอพวกเขาก็น่าจะอยู่ในช่วงอนุบาลหนึ่ง ดังเริ่มต้นเรียนรู้จากการนับลำดับก็นับว่าถูกต้องแล้ว
“อาหมิงลูกนับเลขได้หรือไม่”
เฉินซิ่วลี่ชวนเด็กชายที่เอาแต่เดินเงียบๆ สนทนา แต่หลี่หมิงก็คือหลี่หมิงเขากลับตอบเพียงสั้นๆ คำเดียวเท่านั้น
“ครับ”
“พวกลูกนับเลขได้แล้ว ใครสอนกัน”
“อารองสอนครับ แม่ลืมไปแล้วเหรอครับว่า...”
“ถึงสะพานแล้วอาชุนเดินระวัง”
อยู่ดีๆ หลี่หมิงก็พูดขัดกลางประโยค คิ้วเรียวของเฉินซิ่วลี่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เรื่องนี้ต้องมีบางอย่างที่เจ้าของร่างไปสร้างวีรกรรมเอาไว้แน่ๆ ไม่เช่นนั้นหลี่หมิงคงไม่มีท่าทีคล้ายกลับไม่อยากให้เธอจำได้เช่นนี้
เพราะไร่ตระกูลถังอยู่ที่ท้ายหมู่บ้าน ตอนที่เดินกลับจึงต้องผ่านลำธารสายหลักของหมู่บ้าน ขณะที่เดินข้ามสะพานเฉินซิ่วลี่เห็นปลาตัวโตกระโดดอยู่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำก็เบิกตากว้าง
“อาหมิง อาชุน อยากกินปลาเปรี้ยวหวาน กับน้ำแกงปลาไหม”
ถึงแม้จะเป็นประโยคคำถามแต่เฉินซิ่วลี่กลับไม่ต้องการคำตอบ เธอหยิบมีดออกมาจากตะกร้าบนหลัง เดินไปตัดกิ่งไม้ยาวข้างทางมาเหลาจนปลายแหลม ก่อนจะหยุดยืนที่ริมลำธารใช้สายตามองลงไปในพื้นน้ำ เพราะหมู่บ้านต้าหยาง อยู่ห่างไกลแหล่งอุตสาหกรรม น้ำในลำธารจึงใสกระจ่างไม่นานก็มองเห็นปลาตัวโตแหวกว่านผ่านตา ไม้แหลมในมือของเฉินซิ่วลี่พุ่งตรงลงไปในสายน้ำผ่านกลางลำตัวของปลาตัวโต เด็กชายสองคนมองฝีมือของแม่ด้วยความตื่นตะลึง
เฉินซิ่วลี่ยิ้มกว้างทว่าตอนที่กำลังจะกระโดดลงไปจับปลาขึ้นมา ร่างเล็กข้างๆ ก็กระโจนลงไปก่อนแล้ว
หลี่หมิงว่ายน้ำด้วยความรวดเร็วก็หยิบไม้ที่เสียบปลานำกลับมาส่งให้แม่ ถึงแม้ตรงนี้คนจะไม่พลุกพล่านแต่กว่าจะถึงบ้านยังต้องผ่านบ้านของคนอื่นอีกหลายหลัง แม่ของเขาเป็นผู้หญิงเสื้อผ้าเปียกแนบตัวคงไม่ดีนัก
โตขึ้นลูกต้องปกป้องน้องและดูแลแม่ให้ดี
เด็กชายยังจำคำของพ่อได้ ดังนั้นต่อให้ก่อนหน้านี้แม่จะปฏิบัติต่อเขาสองพี่น้องไม่ดีนัก หลี่หมิงก็ไม่เคยนึกแค้นเคืองและยังเชื่อฟังคำสอนของพ่อคอยดูแลแม่อยู่เสมอ
“อาหมิงเก่งมาก”
เฉินซิ่วลี่รับปลาจากมือลูกชายมาแล้วดึงออกจากไม้ วางตะกร้าสานบนหลังลงแล้วเอาปลาใส่ไว้
“อาชุนลูกถือตะกร้า แม่จะปาปลา ส่วนอาหมิงลูกเตรียมว่ายน้ำไปจับมานะ”
“ครับ”
สองเด็กชายขานรับพร้อมกัน เฉินซิ่วลี่เริ่มเพ่งสายตาลงในแม่น้ำอีกครั้งก่อนจะปาไม้ในมือลงไปกลางสายน้ำ ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงในตะกร้าก็มีปลามากกว่าสิบตัว
“แม่เก่งที่สุดเลยครับ”
หลี่ชุนร้องชมคนเป็นแม่เสียงก้อง เฉินซิ่วลี่ยิ้มกว้างมองดูปลาในตะกร้าที่มากเกินกว่าจะกินหมดในมื้อเดียว พลันความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้น
“พวกเราไปที่ร้านสหกรณ์หมู่บ้านกัน”
“ไปซื้ออะไรหรือครับ”
หลี่หมิงถามพลางช่วยดันตะกร้าขึ้นใส่หลังแม่ เฉินซิ่วลี่หันมายิ้มกว้างให้เด็กชายช่างสงสัย
“ไปขายปลาต่างหากเล่า เยอะขนาดนี้คงทำกินไม่หมด”
แม้ในนิยายเรื่องนี้จะอ้างอิงในยุค 80 แต่คล้ายผู้เขียนจะกลัวว่านางเอกของเรื่องจะยากลำบากเกินไปในการดำรงชีวิต เรื่องราวหลายอย่างจึงมักไม่สมเหตุสมผลอย่างเช่นปลาในแม่น้ำสายนี้ ยุคที่ผู้คนยากลำบากขนาดนี้จะยังหลงเหลือปลาตัวโตให้เธอจับได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เธอจะเอาปลาไปขาย หากเป็นเรื่องจริงการกระทำเช่นนี้เธอคงถูกรุมประชาทัณฑ์ ด้วยเหตุผลที่ว่าเอาทรัพยากรส่วนกลางอันเป็นสาธารณะไปสร้างรายได้ส่วนตัว
“ปลาตายจะขายได้อย่างไรครับ กินไม่หมดก็ตากแห้งดีไหมครับ”
หลี่หมิงเห็นป้าชุน ซึ่งอยู่บ้านข้างๆ มักทำปลาตากแห้งบ่อยๆ จึงเอ่ยแนะนำคนเป็นแม่ไป เมื่อคิดถึงข้อนี้เฉินซิ่วลี่ก็ขมวดคิ้วแน่น ปลดตะกร้าลงจากบ่าอีกครั้ง เดินไปที่ริมแม่น้ำแล้วจัดการชำแหละปลาเป็นชิ้นขนาดพอดีปรุงอาหาร ก่อนจะจัดการห่อแต่ละตัวด้วยใบบัวขนาดใหญ่
หลี่หมิงมองการกระทำที่แปลกประหลาดของคนเป็นแม่แล้วได้แต่สบตาน้องชายอย่างท้อใจ แต่เมื่อเห็นแววตามั่นใจว่าจะต้องขายปลาเหล่านี้ได้แน่นอนเขาก็ไม่คิดเอ่ยคัดค้านให้แม่ขุ่นเคืองใจอีก ทำเพียงจับมือน้องชายเดินตามหลังคนแบกตะกร้าไปยังร้านสหกรณ์
“ซิ่วลี่! เธอ... จะซื้ออะไร”
ตงเหยา เจ้าหน้าที่ประจำร้านสหกรณ์หมู่บ้านทักทายเฉินซิ่วลี่ด้วยน้ำเสียงปกติ หากแต่กลับมีสายตาหวาดระแวงและท่าทีเว้นระยะห่างจากเธออยู่ไม่น้อยกว่า 3 ก้าว เฉินซิ่วลี่ขมวดคิ้วเรียวหากแต่ก็ไม่คิดสอบถามอะไรให้ยุ่งยากวุ่นวาย เรื่องวุ่นวายในอดีตที่เจ้าของร่างนี้สร้างเอาไว้มีมากมาย จะให้เธอตามแก้ไขทั้งหมดคงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเฉินซิ่วลี่จึงเลือกที่จะเดินไปข้างหน้าทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วอดีตของวันพรุ่งนี้ก็จะดีเอง
“ฉันไม่ได้มาซื้อของค่ะ แต่จะมาขายของ”
เฉินซิ่วลี่นำปลาที่ห่อด้วยใบบัวออกมาจากตะกร้าสานบนหลัง ตงเหยามองปลาตายและยังถูกชำแหละหั่นเป็นชิ้นด้วยความสงสัย ปกติผู้คนไม่นิยมซื้อปลาตาย ยิ่งชำแหละแล้วแบบนี้ยิ่งไม่มีคนสนใจอย่างแน่นอน
“ซิ่วลี่ ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากรับซื้อปลาของเธอ แต่ปลาตายแล้วแบบนี้ฉันซื้อมาก็ขายไม่ได้”
“อย่างนั้นฉันขอนั่งขายข้างๆ ตรงนี้ได้ไหมคะ”
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวมุ่งมั่นจะขายปลาให้ได้ ตงเหยาก็จำใจพยักหน้าอนุญาต เพียงแต่ไม่คิดว่าผ่านไปเพียงสิบห้านาทีก็มีหญิงแก่คนหนึ่งเดินไปเลือกดูปลาของเธอ
“ปลาพวกนี้ขายอย่างไรกัน”
“1 ห่อมีปลา 1 ตัว ขายที่ห่อละ 6 เหมา สองห่อ 1 หยวนค่ะ”
ตงเหยาได้ยินราคาที่เฉินซิ่วลี่เอ่ยบอกก็ได้แต่ถอนหายใจยาว ทำการค้าไม่เป็นย่อมค้าขายไม่ได้ ปลาหนึ่งตัวราคาปกติขายกันที่ 2-3 เหมา เฉินซิ่วลี่ขายถึง 6 เหมา ใครจะซื้อของเธอกัน
“อย่างนั้นฉันเอาสองตัว ตาแก่ที่บ้านไม่ได้กินน้ำแกงปลามานานแล้ววันนี้คงดีใจมากแน่ๆ”
“ขอบคุณค่ะ”
ตงเหยาได้ยินหญิงชราหยิบเงินจ่ายค่าปลาก็ขมวดคิ้วแน่น เป็นไปได้อย่างไรกัน ไม่เพียงแค่นั้นต่อมาไม่นานก็มีหญิงชราในวัยเดียวกันกับคนก่อนหน้าเดินมาซื้อปลาของเธออีกสองสามคน พริบตาปลาเพียงสิบห่อก็ขายเหลือเพียงสองห่อ
“ปลาขายหมดแล้วหรือ”
“วันนี้ขายหมดแล้วค่ะ”
เฉินซิ่วลี่เอ่ยบอกหญิงชราด้วยสายตาขอโทษอยู่ในที แววตาของหญิงชราพลันหม่นลงในทันทีก่อนจะเปลี่ยนเป็นวาวโตเมื่อเห็นว่าในตะกร้าด้านหลังยังมีปลาอีกสองห่อ
“อีกสองห่อในตะกร้าฉันขอซื้อได้หรือไม่ ฉันจ่ายห่อละ 1หยวนก็ได้นะ”
“สองห่อนี้เป็นของเด็กๆ ค่ะ ต้องขอโทษด้วย”
เฉินซิ่วลี่แม้จะเสียดายเงินหยวน แต่เธอรับปากเด็กๆ แล้วว่าจะทำปลาเปรี้ยวหวานและน้ำแกงปลาให้พวกเขากินเป็นมื้อเย็น ดังนั้นจึงได้แต่เอ่ยปฏิเสธไป
“น่าเสียดายนัก ฉันอายุมากแล้วซื้อปลาเป็นมาก็ไม่มีแรงทุบ มือไม้ก็ไม่แข็งแรงจะชำแหละปลาแต่ละทีก็ไม่ค่อยสะดวก วันนี้ได้ยินว่ามีคนเอาปลาที่ชำแหละแล้วมาขายก็เลยรีบมาซื้อ ไม่คิดว่าจะมาช้ากว่าผู้อื่นไปหนึ่งก้าว”
เฉินซิ่วลี่ได้ยินหญิงชราบอกเล่าในใจก็เกิดความเห็นใจ ก่อนจะหันมาสบตาเด็กชายทั้งสองคน ไม่ทันเอ่ยถามอะไรหลี่ชุนก็หยิบปลาออกมาหนึ่งห่อแล้วส่งให้อีกฝ่าย
“คุณยายครับ นี่เป็นปลาส่วนของผม ผมยกให้คุณยายครับ”
หญิงชราเห็นน้ำใจของเด็กชายก็ยิ้มกว้าง เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวขายปลาอย่างขอความเห็น
“ปลาห่อนั้นเป็นของอาชุน ก็แล้วแต่อาชุนเลยค่ะ”
หลังรับปลามาหญิงชราก็หยิบเงินมาส่งให้เด็กชาย แต่มือเล็กกลับดันเงินนั้นคืนไม่ยอมรับ
“แม่บอกว่าวันนี้ปลาที่ขายหมดแล้ว ห่อนี้จึงขายไม่ได้ครับ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการไม่เชื่อฟัง ปลาห่อนี้ผมยกให้คุณยายนะครับ”
คำพูดอย่างใสซื่อของเด็กชายทำให้หญิงชรายิ้มกว้าง มองสามแม่ลูกด้วยความชื่นชม
“เธอสอนลูกได้ดีทีเดียว”
เฉินซิ่วลี่ยิ้มคำชมของอีกฝ่ายจนแก้มแดงก่ำ หลี่หมิงถอนหายใจยาวอย่างระอาใจ สอนอะไรกัน มารดาผู้นี้ตั้งแต่จำความได้มีแต่สั่งให้พวกเขาทำงานเท่านั้น และเพราะหลี่ชุนแบ่งปลาให้ผู้อื่นไปหนึ่งห่อ อาหารเย็นวันนั้นจึงถูกลดลงไปหนึ่งจาน จากที่จะมีปลาเปรี้ยวหวานและน้ำแกงปลา ก็เหลือเพียงน้ำแกงปลาหนึ่งชามให้กินเท่านั้น
.........................................