“ท่านพี่ ท่านก็เป็นเช่นนี้ยิ่งทำให้ฮวาเอ๋อร์ได้ใจ”
ผู้เป็นภรรยาส่ายหน้าไปมา เพราะในตำหนักมีเพียงซิ่นฮวาเป็นเด็กหญิงเพียงคนเดียว ทำให้เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของทุกคน คนสนิทของนางล้วนมีแต่บุตรชาย รองแม่ทัพหญิงซานม่านหวาและมาร์คัสได้ให้กำเนิดบุตรชายชื่อซาโม่ ส่วนจื่อเหยี่ยนแม้เป็นเพียงบ่าวรับใช้แต่นางให้ความนับถือดุจพี่สาว จื่อเหยี่ยนเป็นภรรยาของชากกี-มือขวารองแม่ทัพ
ซานม่านหวาให้กำเนิดบุตรชายชื่อกันอี๋ ส่วนนางเองให้กำเนิดบุตรฝาแฝดชายหญิงนามซิ่นหลิงและซิ่นฮวา สามปีถัดมาให้กำเนิดบุตรชายคนเล็กชื่อซิ่นสือ ในบรรดาเด็กทั้งหมดในตำหนักมีเพียงซิ่นฮวาที่เป็นหญิง บิดาจึงรักใคร่เอ็นดูทั้งเอาอกเอาใจ รวมทั้งบ่าวไพร่ก็ยังรักเอ็นดูเด็กหญิงอย่างแท้จริง
ทว่าเด็กที่เติบโตท่ามกลางคนเอาอกเอาใจนั้นมักเอาแต่ใจตนเอง นางซึ่งเป็นมารดาจึงหวั่นเกรงบุตรสาวจะเสียนิสัย และกลายเป็นสร้างความเดือดร้อนให้ตนเองและคนรอบข้างอย่างไม่รู้ตัว นางจึงคอยห้ามปราบลูกสาวสุดกำลัง แต่ทำให้นางกลายเป็นมารดาใจร้าย
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ฮวาเอ๋อร์ยังเด็กนัก”
“เด็กได้อย่างไรกัน ปีนี้นางอายุสิบเจ็ดแล้ว ตอนที่หม่อมฉันอายุสิบแปดก็สมรสกับท่านแล้ว” พูดเรื่องนี้แล้วก็ใจชื้น ทั้งสองสามีภรรยาคิดตรงกันที่ไม่เร่งรีบให้บุตรสาวแต่งงานออกเรือน ไม่คิดบังคับฝืนใจหรือให้นางแต่งงานด้วยเงื่อนไขต่างๆ ขอเพียงให้บุตรสาวได้แต่งงานกับคนที่นางรักและรักนางก็เพียงพอ เหตุผลนี้รวมถึงบุตรชายทั้งสองด้วย หรือถ้านางจะไม่แต่งงานออกเรือน ทั้งสองก็ไม่คิดบีบคั้นจิตใจบุตรสาว
แต่ประการหลังนั้น...อาจจะ...หรือเป็นไปไม่ได้ เหตุเพราะนางรู้ดีว่าบุตรสาวมีชายในดวงใจแล้ว แม้บิดาใจกว้างให้บุตรสาวเลือกคู่ครองของตนได้เอง ทว่าผู้ที่บุตรสาวหลงรักอยู่นั้น บิดามิใคร่ชอบพอเท่าไรนัก เพราะชายผู้นั้นคือเทพมังกรดิน!
“เอาเถิดๆ วันนี้ หลงเอ๋อร์ กันอี๋ และซาโม่กลับมาแล้ว เจ้าเป็นมารดาควรดีใจกับพวกเขาถึงจะถูกสิ”
คนเป็นมารดาส่ายหน้าอีกครั้ง “เด็กพวกนี้ก็เหมือนกัน จะกลับบ้านก็ไม่รู้จักเขียนจดหมายส่งข่าวมาบอกก่อน พ่อแม่จะได้เตรียมตัวต้อนรับ”
มือแข็งแกร่งประคองร่างภรรยาเดินออกมาที่ห้องโถง ระหว่างเดินจากเรือนของตนนั้น ว่านหนิงเหมยหวนคิดถึงวันเวลาที่นางให้กำเนิดบุตรชายหญิงฝาแฝดคู่นั้น เด็กทั้งสองมีใบหน้าที่เหมือนกันมาก และด้วยความซุกซน เด็กทั้งสองมักสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกันเพื่อให้ผู้อื่นทายไม่ถูกว่าใครหรือซิ่นหลิง ใครคือซิ่นฮวา แม้
ซิ่นหลิงเป็นผู้ชายแต่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสตรีอย่างไม่ขัดเขิน ซ้ำยังงดงามน่ารักไม่ต่างจากซิ่นฮวาเลยสักนิด เมื่อซิ่นฮวาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าบุรุษของซิ่นหลิงก็ไม่ต่างกัน ทั้งสองซุกซนเหลือเกิน ทว่านางรู้ดีว่าลูกๆ เป็นคนจิตใจอ่อนโยน รักความถูกต้องยุติธรรม แม้ทั้งสองมีใบหน้าเหมือนกันมากแต่นิสัยก็แตกต่างกันมากเช่นกัน ในความซุกซนของซิ่นหลิงมีความเงียบขรึมและสงบนิ่ง ดวงตาคมวาวเช่นเดียวกับบิดา ในขณะที่ซิ่นฮวาดุจนกน้อยร่าเริงและอ่อนหวาน เป็นซิ่นฮวาต่างหากเป็นผู้ชักชวนให้ผู้อื่นเล่นสนุกซุกซนกับนาง
แต่สิ่งหนึ่งที่ซิ่นฮวาแตกต่างจากซิ่นหลิงอย่างชัดเจนที่สุดคือ นางมองเห็น ‘เทพมังกรดิน’ ตั้งแต่ซิ่นฮวายังเป็นเพียงทารกตัวน้อยดุจก้อนแป้งนุ่ม ดวงตางามคู่นั้นมักมองเลยไปที่ใดที่หนึ่งเสมอ เมื่อนางเริ่มพูดได้ สื่อความรู้เรื่องมากขึ้น ซิ่นฮวามักชี้นิ้วไปที่ใดที่หนึ่งแล้วเรียกว่า ‘พี่ชาย’ หลายคนเข้าใจไปว่า ‘พี่ชาย’ ของซิ่นฮวาคือซิ่นหลิง แต่ผู้แป็นแม่สังหรณ์ใจว่าไม่ใช่เช่นนั้น เมื่อได้คุยกับลูกสาว พี่ชายที่นางพูดถึงคือบุรุษผู้มีเส้นผมสีเงินยาวสลวย นางจึงเข้าใจได้ในทันที เพราะนางเองก็เคยพบ ‘พี่ชาย’ หรือ ‘เทพมังกรดิน’ มาก่อน
‘ฮวาเอ๋อร์ เจ้ากลัวเขาผู้นั้นหรือไม่’
‘เหตุใดต้องกลัวด้วยเจ้าคะ ท่านแม่’ เด็กหญิงตัวน้อยในวัยช่างเจรจาเอ่ยถาม
‘มีเพียงเจ้าที่มองเห็นเขาผู้นั้น...’
‘ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่กลัว พี่ชายชอบทำเป็นมองไม่เห็นข้า ทั้งที่ข้าโบกมือส่งยิ้มให้ตั้งหลายครั้ง’
ผู้เป็นมารดากลั้นหัวเราะแล้วยื่นมือไปลูบผมยาวของลูกสาว ‘เหตุใดเจ้าทำเช่นนั้นเล่า’
‘ก็ทุกครั้งที่ข้าเห็นพี่ชายผมสีเงิน เขามักอยู่คนเดียว ไม่มีเพื่อนเล่นเลย ข้าคิดว่าพี่ชายต้องเป็นเหงาแน่ ข้าเลยอยากทำให้พี่ชายหายเหงา’
‘เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าพี่ชายผมสีเงินผู้นั้นเหงา’ เป็นเด็กเป็นเล็กรู้จักเหงาได้อย่างไรกัน
‘ก็...’ เด็กหญิงเอียงคอครุ่นคิดก่อนชี้ที่ดวงตาของตนเอง ‘พี่ชายผมเงินผู้นั้น มีดวงตาหมองเศร้าไม่เหมือนข้าหรือหลิงเอ๋อร์เลยสักนิด พี่ชายผมเงินอยู่ผู้เดียวไม่มีใครเลย เขาต้องเหงาแน่เจ้าค่ะ’
นางมองลูกสาวแล้วส่ายหน้าไปมา เมื่อคราวที่นางได้พบเทพมังกรดินเป็นครั้งแรกนั้น นางอายุเก้าขวบแล้ว แต่นี่ลูกสาวของนางทำเหมือนกับว่าเห็นเทพมังกรดินมาตั้งแต่เกิด เมื่อคิดว่าเทพผู้นั้นที่แวะเวียนมาคงเพราะยังเป็นห่วงนางแต่ไม่ปรากฏกายให้นางเห็น ทว่าซิ่นฮวากลับมองเห็นแต่ซิ่นหลิงเป็นฝาแฝดกลับไม่เห็น เมื่อคิดเช่นนี้ นางจึงกระซิบบอกความลับเกี่ยวกับ ‘พี่ชายผมเงิน’ ให้ซิ่นฮวาล่วงรู้ นั้นคือ ‘ชื่อ’ ของเทพมังกรดิน
ชื่อของปวงเทพมิใช่สิ่งที่สมควรกล่าวเล่นพร่ำเพรื่อ แต่ซิ่นฮวามิได้สนใจเรื่องนั้น ตั้งแต่ห้าขวบ นางก็เรียก ‘พี่ชายผมเงิน’ มาเป็นเพื่อนเล่นของนาง เรื่องนี้เกิดความคาดหมายของนางนัก ในคืนหนึ่ง เทพมังกรปรากฏตัวเบื้องหน้านางด้วยสีหน้าฉาบความไม่พอใจอยู่หลายส่วนแต่ไม่ได้โกรธเกรี้ยวถึงขนาดจะเผาเมือง
‘เจ้าให้ลูกสาวของเจ้ารู้ชื่อของข้า’
‘เรื่องนั้น...’ ยังไม่ทันจะอธิบายอะไร เทพมังกรดินผู้แสนสง่างามองอาจเดินวนไปมาเหมือนหนูติดจั่น คล้ายเจอคู่ปรับที่ไม่อาจต่อกรได้
‘นางเป็นเด็กแต่เจ้าเล่ห์มากกลอุบายนัก ข้าจะทำอะไรก็มิได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก’ เทพมังกรเดินพร่ำบ่นเดินวนไปวนมาเบื้องหน้านาง ยามนี้เขามองนางมิใช่ด้วยสายตาของบุรุษที่มองหญิงสาวอีกแล้ว แต่เป็นสายตาที่มองกันอย่างมิตรสหายมากกว่า
‘ท่านมิได้ใช้เวทมนตร์พรางกายกับนางหรือ?’
‘เคยแล้ว ปกติข้าใช้เวทพรางกายย่อมไม่มีผู้ใดมองเห็น แต่เด็กนั่นกลับยังเห็นข้าแถมโบกไม้โบกมือให้ข้าอีก’ เขาถูกเด็กห้าขวบปั่นหัวจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน เด็กคนนี้ช่าง! ไม่เหมือนมารดาที่เรียบร้อยอ่อนหวานเลยสักนิด!
‘พี่ชาย...เป็นนางที่เห็นท่าน มิใช่ข้าทำให้นางมองเห็น’
ถ้อยคำของนางทำให้เทพมังกรดินชะงักเท้า ร่างนิ่งงันไปราวกับเพิ่งได้สติ ก่อนจะหลับตาลงร้องโอดครวญอยู่ในใจ
‘เด็กนั่นที่ท่านพูดถึงคือบุตรสาวของข้า อย่างไรก็ตาม ข้าหวังใจว่าพี่ชายจะเอ็นดูนาง’
ว่านหนิงเหมยที่เวลานี้นางเป็นชายาของชินอ๋องเฟยเทียน และเป็นมารดาของบุตรทั้งสาม แม้ซิ่นฮวาจะซุกซนจนมีเรื่องให้ผู้เป็นมารดาอย่างนางต้องปวดเศียรเวียนเกล้าแทบทุกวัน แต่เรื่องดีเรื่องเดียวในความซุกซนนี้คือทำให้ ‘พี่ชาย’ หรือ ‘เทพมังกรดิน’ ผู้แสนเยียบเย็นมีรอยยิ้ม
นางส่ายหน้าไปมา หวังว่า ‘พี่ชาย’ จะรู้ตัวว่าเขายิ้มทุกครั้งที่พูดถึง ‘เจ้าเด็กนั่น’ ของนาง
ความครื้นเครงที่หายไปนานกลับมาอีกครั้ง กว่าห้าปีที่ซิ่นหลิง กันอี๋ และซาโม่ออกเดินทางไปร่ำเรียน แม้มีองครักษ์อย่างเจิ้งหู่เจิ้งไฉเดินทางไปด้วย แต่นี่เป็นการเดินทางไกลครั้งแรกของพวกเขาและใช้ชีวิตไกลบ้านเกิด กลับมาครั้งนี้เด็กชายทั้งสามเติบโตขึ้นมาก กลายเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่และสง่างาม ซิ่นหลิงถอดแบบบุรุษร่างนักรบจากบิดา ในขณะที่กันอี๋ยังคงเป็นบุรุษพูดน้อย ใบหน้าคมคายประดับรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากอยู่เสมอ ส่วนซาโม่รูปร่างสูงใหญ่ที่สุดในบรรดาเด็กชายทั้งสาม ทว่าดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นมีแววเจ้าเล่ห์และไม่ยอมใคร
แม้เจ้าของตำหนักจะเป็นถึงชินอ๋อง แต่เจ้าของตำหนักใคร่สนใจธรรมเนียมเช่นคนในเมืองหลวงนัก ผู้ที่อยู่รวมโต๊ะอาหารเย็นจะเป็นรองแม่ทัพหญิง ทหารผู้ติดตามและหญิงรับใช้ประจำตัวพระชายา ทว่าทุกคนเป็นมิตรสหายคนสนิทที่จริงใจกับเจ้าของตำหนักมากที่สุด จึงทำให้ระหว่างพวกเขาเป็นสหายรัก
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ซิ่นฮวาปรากฏกายอีกครั้งในชุดสีชมพูกลีบบัว ใบหน้างดงามอ่อนหวาน ดวงตาดุจหงส์ ใบหน้าประดับรอยยิ้มอยู่เสมอ ผิวอ่อนบางดุจหยกใส มิอาจกล่าวได้ว่านางเป็นโฉมสะคราญล่มเมือง ทว่าความงดงามที่ประกอบในตัวหญิงสาวนั้นก็ทำให้ผู้คนไม่อาจถอนสายตาได้