ตอนที่3. คิดถึงวันเก่าๆ

1598 Words
ซิ่นฮวาลอบมองมารดา เมื่อเห็นสีหน้าไม่ถือโทษโกรธที่นางแอบหนีออกไปนอกตำหนักตามลำพังแล้วก็ลอบถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก นางยกมือลูบหน้าอกตัวเองเป็นการปลอบขวัญ ท่าทางของหญิงสาวทำให้แฝดผู้พี่ที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วถึงกับปล่อยเสียงหัวเราะอย่างไม่เกรงใจอีกฝ่าย ซิ่นฮวาขึงตาใส่แต่ซิ่นหลิงเพียงไหวไหล่ไม่สนใจ  “เอาละ ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้นานแล้ว พวกเจ้าก็เหมือนกัน ใช้ชีวิตอยู่บนเขาหนางเจียงมานาน วันนี้กินให้อิ่มหน่ำเถิดนะ” เป็นเสียงจื่อเหยี่ยน บ่าวคนสนิทของพระชายาหนิงเหมยเอ่ยขึ้นมา แม้เป็นหญิงรับใช้แต่ในวันนี้ได้รับอนุญาตให้นั่งร่วมรับประทานอาหารพร้อมกัน นางมองลูกชายที่ยามนี้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก หางตาพลันมีน้ำตาซึมออกมา จากชีวิตทาสหนีตายไม่คิดว่าจะได้มีชีวิตมาถึงวันที่ได้เห็นลูกชายเติบใหญ่เช่นนี้ และหากไม่เพราะบุตรชายของนางได้ติดตามซิ่นหลิงไปร่ำเรียนกับท่านอาจารย์ฟู่ซิวอี๋ ผู้เคยเป็นอาจารย์ของท่านอ๋องมาก่อน กันอี๋ของนางคงไม่ได้มีวาสนาเช่นนี้  “เห็นแบบนี้แล้วคิดถึงวันเก่าๆ ขาดแค่กุนซือปากร้ายผู้นั้น” รองแม่ทัพ ซานม่านหวาเอ่ยขึ้นพลางหยิบน่องไก่ชิ้นโตส่งให้ลูกชาย นางเป็นหญิงมีนิสัยห้าวหาญ แต่เพื่อ ‘ซาโม่’ บุตรชายของตนแล้ว นางมักเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้เสมอ ภายนอกมาร์คัสเหมือนคนไม่ค่อยพูดจา แต่เมื่ออยู่กับคนที่รู้สึกสนิทใจก็เปิดเผย รอยยิ้ม ลักษณะเด่นทั้งจากมารดาและบิดาหล่อหลอมให้ซาโม่บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ ดวงตาสีน้ำตาล และหากมองดวงตาคู่นี้ใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้าจะเห็นว่าดวงตาคู่นี้เป็นประกายสีแดงร้อนแรง “ก่อนกลับมาบ้าน ข้าได้แวะไปเยี่ยมเยือนซิ่นเจี่ยงแล้ว พวกเขาสบายดียิ่งและฝากความระลึกถึงทุกคนด้วย” ซิ่นหลิงเอ่ยตอบ แต่ไม่ได้เล่าทั้งหมดความว่ากุนซือคนสนิทของบิดาโอดครวญอยากกลับตุนหวงเพียงใด  “ดีจริงพวกพี่ได้เดินทางกันตั้งแต่อายุสิบสอง ข้าสิปีนี้อายุสิบสี่แล้วยังต้องอยู่เฝ้าตำหนักอยู่เลย” ซิ่นสือบ่นขึ้นมาบ้าง “ก็ใครให้เจ้าเกิดช้าไปตั้งสามปีเล่า” ซิ่นหลิงอดหยอกเย้าน้องชาย ไม่ได้เจอกันห้าปี น้องชายตัวน้อยคนนั้นกลับกลายเป็นหนุ่มน้อยหล่อเหลาเสียแล้ว หากได้ฝึกปรือเคี่ยวกรำตนเองอีกสักหน่อย ต้ององอาจไม่แพ้ใครเป็นแน่  “เอาเถิดๆ เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง ตอนนี้กินข้าวกันก่อนเถิด” คราวนี้พระชายาเอ่ยปากด้วยตนเอง ทุกคนจึงมุ่งความสนใจมาที่อาหารตรงหน้าซึ่ง ตระเตรียมเพื่อต้อนรับบุตรชายที่เพิ่งได้กลับบ้าน หลังอาหารค่ำผ่านไป เหล่าผู้ใหญ่ต่างปล่อยให้เด็กๆ ได้พูดคุยกันตามประสาพี่น้อง แต่ละคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน อ่อนแก่กันแค่ปีเศษ แม้กันอี๋เกิดก่อนแต่ซิ่นหลิงกับซิ่นฮวาไม่เคยเรียก ‘พี่’ นำหน้า มิใช่ว่าเป็นเพราะเขาเป็นเพียง บุตรชายของบ่าวรับใช้ แต่เพราะความสนิทสนมของพวกเด็กๆ มากกว่า  เนื่องจากชินอ๋องเฟยเทียนรักใคร่เอาอกเอาใจบุตรสาวยิ่งนัก ในสวนกระจ่างใจจึงตบแต่งอย่างงดงามราวแดนสวรรค์ บิดาสั่งทำชิงช้างดงามให้บุตรสาวที่รักได้นั่งเล่นพักผ่อน ซึ่งกลายเป็นมุมโปรดของซิ่นฮวา แม้เป็นยามค่ำคืนแต่แสงจากโคมไฟที่ประดับประดาตกแต่งงดงามให้ความรู้สึกสว่างสดใส  ร่างบอบบางในชุดสีชมพูกลีบบัวนั่งอยู่ที่ชิงช้าโดยมีกันอี๋ช่วยแกว่งชิงช้าให้อยู่ที่ด้านหลัง เมื่อครั้งที่นางยังเด็ก เขาก็ทำให้เช่นนี้ เพียงแต่ยามนี้เด็กหญิงผู้นั้นกลายเป็นหญิงสาวงดงามที่ทำให้หัวใจชายหนุ่มเต้นผิดจังหวะทุกครั้งที่สบตา “พี่จ้าวต้าจะกลับมาทันงานบวงสรวงเทพมังกรดินหรือไม่นะ” ซิ่นสือพึมพำพลางโยนเม็ดถั่วเคลือบน้ำตาลเข้าปาก พี่จ้าวต้า’ เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวดูเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง แต่ความจริงนั้นตรงข้าม อาจเป็นเพราะเมื่อยังเป็นเด็ก ‘พี่จ้าวต้า’ เป็นเด็กกำพร้าที่ พระชายาหนิงเหมยซื้อตัวมา ตั้งแต่นางยังเป็นเพียงว่านหนิงเหมย จ้าวต้าติดตามพระชายาจากเมืองหลวงมาอยู่ตุนหวง แม้จะเป็นเพียงเด็กรับใช้แต่พระชายาให้ความเอ็นดู สนับสนุนให้ร่ำเรียนและมีชากกี-สามีของจื่อเหยี่ยนเป็นครูสอนการต่อสู้ให้ จ้าวต้าเติบโตคอยดูแลเด็กๆ ในตำหนัก พระชายาผู้ไม่ถือยศศักดิ์ให้เด็กๆ เรียก ‘พี่จ้าวต้า’และยังให้เขาเป็น ‘พ่อบ้าน’ ดูแลความเรียบร้อยในตำหนักอีกด้วย   “อ้อ! อีกสามวันถึงพิธีบวงสรวงเทพมังกรดินนี่เอง ท่านแม่จึงโกรธเจ้าที่หนีออกไปนอกตำหนักเช่นนี้” ซิ่นหลิงแย่งถั่วเคลือบน้ำตาลในจานของน้องชายมากิน  “ข้าเป็นผู้เชิญดอกไม้บูชาเทพมังกรดินทุกปี เรื่องแค่นี้ไม่มีวันทำผิดพลาด” นางเบ้ปากเล็กน้อยแล้วแหงนหน้าขึ้น “กันอี๋ เจ้าแกว่งแรงอีกหน่อยซิ”  กันอี๋นิ่งงันไป เขาไม่กล้าออกแรงมากนัก เกรงว่าจะทำให้นางบาดเจ็บ แต่เสียงหัวเราะของซาโม่ทำให้เขาหงุดหงิด “นางไม่ตกชิงช้าง่ายดายหรอก” ซาโม่หัวเราะ เขารู้ว่ากันอี๋กังวลเรื่องใดอยู่ “แกว่งแรงอีกนิดเถิด ถ้านางร่วงลงไปข้าจะกระโดดไปรับให้เอง”  “อย่าเลย หน้านางยิ่งขี้เหร่อยู่ เผลอตกชิงช้าหน้าคว่ำคะมำไป ความงามที่มีอยู่น้อยนิดนี่จะจมหายไปกับพื้นดินเสียหมด”   “ซิ่นหลิง! ปากเจ้านี่มันปากสุนัขชัดๆ!” ซิ่นหลิงตวาดออกมาด้วยความโมโห หากไม่เพราะพวกเขาทั้งหมดเกิดและเติบโตพร้อมกัน คงไม่มีใครเชื่อว่าเทพธิดาน้อยๆ ผู้นี้จะมีอีกด้านที่เกรี้ยวกราดเอาแต่ใจ  “เฮ้! คนปากสุนัขต้องเป็นซาโม่ต่างหากไม่ใช่ข้า” ซิ่นหลิงโบ้ยไปทางซาโม่ เพราะความสนิทสนมนั่นแหละที่ทำให้พวกเขากล้าต่อปากต่อคำได้เผ็ดร้อนเช่นนี้  “ไม่เจอกันหลายปี เจ้าควบคุมตัวเองได้แล้วหรือซาโม่” ซิ่นฮวาถามอย่างเพิ่งนึกได้ ความลับหนึ่งที่น้อยคนจะรู้คือ มาร์คัสบิดาของซาโม่นั้นเป็นมนุษย์หมาป่า เมื่อแต่งงานกับซานม่านหวาไม่นานก็ได้กำเนิดบุตรชายคือซาโม่ ในปีที่ซาโม่อายุเจ็ดขวบ เขาแปลงกายเป็นหมาป่าครั้งแรก แต่เนื่องจากเป็นลูกครึ่งหมาป่าและมนุษย์ทำให้ยังไม่อาจควบคุมการแปลงกายของตนเองได้นัก อาจเป็นเพราะยังเด็กอยู่ และเมื่อแปลงกายเป็นหมาป่าเมื่อใด เขามักจำช่วงเวลานั้นไม่ได้ ชินอ๋องเฟยเทียนจึงเสนอให้ซาโม่เดินทางพร้อมกับซิ่นหลิง และกันอี๋ นอกจากร่ำเรียนศึกษาศาสตร์ด้านการปกครองแล้ว อาจารย์ฟู่ซิวอี๋ ผู้เคยเป็นอาจารย์ของท่านอ๋องมาก่อน เชื่อว่าการฝึกจิตสมาธิที่ดีและถูกต้องจะทำให้ซาโม่สามารถควบคุมการร่างกายของตนเองได้  “ฮืม” ซาโม่เพียงรับคำในลำคอ หลายปีมานี้เขาทุกข์ทรมานกับการถูกฝึกฝนอย่างหนักหน่วง เพื่อควบคุมอีกร่างของตน เขาอยากวิ่งหนี อยากฉีกทึ้งอีกร่างของตน เมื่อครั้งแรกที่ตนเองแปลงกายเป็นหมาป่านั้น เขาจดจำอะไรไม่ได้เลย ตื่นมาพบคราบเลือดเต็มเนื้อตัว เขายังจำความรู้สึกชิงชังตัวเองได้อย่างดียิ่ง ทว่าอาจารย์ฟู่ซิวอี๋กลับอดทนสั่งสอนไม่ถอดใจกับศิษย์โง่คนนี้ เขาจึงสามารถเข้าถึงอีกร่างของคนและใช้มันได้ตามใจต้องการ  ซิ่นฮวาเข้าใจไปว่าซาโม่ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ นางจึงไม่เอ่ยถามอะไรอีก ทั้งหมดพูดคุยกันจนดึกดื่น จนกระทั่งปี้เอ๋อร์-บ่าวรับใช้คนสนิทอีกคนของพระชายาหนิงเหมยมาตามให้กลับห้องพักผ่อน ทุกคนจึงเห็นควรยุติการสนทนาที่คล้ายไม่จบสิ้นเอาง่ายๆ  กันอี๋หยุดชิงช้าและยื่นมือไปประคองซิ่นฮวาลงจากมา หญิงสาวหันมาส่งยิ้มกว้าง นางไม่เคยหวงรอยยิ้ม ไม่ว่ากับผู้ใดนางมักยิ้มให้เสมอ กันอี๋เผลอขวมดคิ้ว นางกับซิ่นหลิงเกิดพร้อมกัน เป็นฝาแฝดที่หน้าตาเหมือนกันมาก ยามเด็กเขาเองเคยจำซิ่นหลิงกับซิ่นฮวาสลับคนกัน แต่เพียงห้าปีที่เดินทางจากมา เวลานี้ซิ่นหลิงสูงใหญ่เป็นบุรุษที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายนักรบ ทว่าซิ่นฮวากลับเป็นหญิงสาวที่รูปร่างบอบบาง เวลานี้ทั้งสองไม่เหมือนฝาแฝดกันเลยสักนิด ความสูงของนางแค่ปลายคางของเขาเอง และนั้นทำให้เขาได้กลิ่นหอมจากเรือนผมของนาง “ขอบใจนะ”  “อะ..อืม” กันอี๋พยายามปรับสีหน้าตนเอง เขาเห็นนางเป็นน้องแม้จะไม่เรียกว่าน้องก็ตาม ตลอดเวลาที่ผ่านมา มารดาของเขามักพร่ำบอกถึงฐานะที่แตกต่างของเขากับนาง วันนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไม
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD